ตอนที่ 3
ย้อนไปเมื่อสามปีที่แล้ว
รดาริน เธอมีชื่อเล่นว่า ริน เธอแต่งงานอยู่กินกับสามีและใช้อยู่ด้วยกันจนมีลูกสาวหนึ่ง คือเหมยลี่
พงศ์เทพ สามีของรดารินบริหารผับจนล้มละลายและมีหนี้ต่างๆ มากมาย ในช่วงโควิด หุ้นส่วนต่าง ๆ พากันถอนหุ้นจนหมด สามีของเธอถูกฟ้องล้มละลาย รดารินจึงต้องหย่าขาดกับสามีในทางกฎหมายไปโดยปริยายเพราะไม่พัวพันเรื่องหนี้สินไปกับสามีด้วย และเป็นเหตุให้พงศ์เทพย้ายไปอยู่บ้านเมียน้อย ส่วนหนึ่งก็มาจากต้องคอยหลบหน้าเจ้าหนี้
ในตอนนั้นจารุวรรณบุตรสาวคนเดียวของทั้งคู่ยังเรียนอยู่โรงเรียนสตรีชื่อดังประจำจังหวัดแห่งหนึ่ง รดารินแทบรับไม่ได้กับการที่สามีหนีหายจากธุรกิจและปล่อยให้เธอกับลูกเผชิญชะตากรรมกันตามลำพัง
หลังจากสามีของเธอเสียชีวิตลงด้วยโรคโควิด บ้านราคาหลายล้านที่เธอกับลูกอาศัยอยู่ก็ถูกธนาคารยึด และหลักทรัพย์ต่างๆ ก็ยังถูกธนาคารยึดไปหมดอีก
วันหนึ่ง รดารินรีบบอกเหมยลี่ให้เตรียมเก็บเสื้อผ้าต่าง ๆ ใส่กระเป๋าเดินทางพร้อมเงินติดตัวอีกเพียงเล็กน้อย บางบัวทองคือจุดมุ่งหมายที่เธอจะไป เธอนอนคิดมาตลอดทั้งคืน เพราะแถวนั้นผู้คนมากมาย อยู่ใกล้ ๆ หอพักนักศึกษาจะได้หาลู่ทางทำมาหากินต่อไป
รุ่งเช้าทั้งคู่จึงออกไปยืนโบกรถอยู่หน้าบ้าน ที่ตอนนี้กำลังจะถูกธนาคารยึดขายทอดตลาด แท็กซี่คันหนึ่งชะลอความเร็วและจอดรับสองแม่ลูกขึ้นรถไป ทั้งสองไม่มีอะไรเหลืออีกแล้ว แม้แต่รถที่จะขับ เธอเอามาขายประคองใช้หนี้เรื่อยมา จนแทบสิ้นเนื้อประดาตัว จึงต้องหนีไปตั้งหลัก เธอไม่คิดว่าสามีจะมีหนี้มากมายถึงเพียงนี้
“ให้ไปส่งไหนครับ” แท็กซี่เอ่ยหันมาถามสองแม่ลูก หลังจากช่วยเธอและลูกยกกระเป๋าขึ้นหลังรถเสร็จ
“ไปบางบัวทองค่ะ” รดารินเอ่ยตอบคนขับรถด้วยสีหน้าเศร้าหมอง เพราะเธอเสียดายบ้าน เธอมองบ้านเป็นครั้งสุดท้าย ก่อนที่รถจะเคลื่อนจากไป
“จะให้ผมจอดตรงไหนก็บอกนะครับ” รดารินเหลือบไปมองตามทางเพื่อว่าจะเจอป้ายตรงไหนติดให้เช่าบ้างแต่ก็ยังไม่เห็นมีเลยสักที่ เธอพยายามบอกให้คนขับแท็กซี่ ขับชาลง จนเขาต้องเอ่ยถามขึ้นมา รดารินจึงบอกความจริงกับคนขับแท็กซี่ไป
“อืม! ดิฉันกำลังมองหาบ้านเช่าอยู่ค่ะ แถวบางบัวทอง คุณพอจะรู้จักที่ไหนบ้างไหมค่ะ"
“อ๋อ...มีครับ ผมรู้จักอยู่ที่หนึ่ง เดี๋ยวผมพาไปครับ” คนขับแท็กซี่รีบบอก
“ขอบคุณค่ะ”
คนขับแท็กซี่พาเธอไปแวะหาบ้านเช่าแถว ๆ นั้นตามที่เขารู้จัก เขาช่วยสองแม่ลูกยกกระเป๋าลงรถมาไว้ในบ้านหลังจากที่เธอตกลงเช่าบ้านได้แล้ว
“ผมชื่อมาโนชนะครับ บ้านผมก็อยู่บางบัวทองเหมือนกัน” แท็กซี่วัยไล่เลี่ยกับเธอเอ่ยขึ้นหลังจากรับเงินของเธอไปเพียงแค่ครึ่งเดียว เพราะว่าเขาเห็นใจเธอ ทำให้รดารินซึ้งน้ำใจของเขามาก ทีแรกแท็กซี่จะไม่ขอรับเงินจากเธอด้วยซ้ำ แต่เธอก็เกรงใจคนทำมาหากินเหมือนกัน จึงเอาเงินยื่นให้กับมาโนชอีกรอบหนึ่ง จนเขารับไปแล้วคืนให้เธอครึ่งหนึ่ง
“ค่ะ ดิฉันรดาริน เรียกว่า รินเฉย ๆ ก็ได้ค่ะ”
"ยินดีที่ได้รู้จักครับ คุณริน" ก่อนที่ทั้งสองจะได้คุยอะไรกันต่อไป เหมยลี่ก็ตะโกนเรียกแม่ของเธอ เนื่องจากเจอตุ๊กแกอยู่ในบ้าน มาโนชจึงอาสามาช่วยจับตุ๊กแกออกจากบ้านให้สองแม่ลูก
"ขอบคุณมากนะคะ พี่เลยต้องมาเสียเวลา ช่วยหนูกับลูกเลย"
"ไม่เป็นไรครับ เดี๋ยวพี่ขอตัวไปทำงานก่อนนะครับ" จากนั้นมาโนชคนขับแท็กซี่ก็ขับรถออกไป
รดารินพาลูกสาวหนีการตามล่าของเจ้าหนี้ที่ไม่รู้จักจบจักสิ้น และไม่รู้ว่าสามีไปก่อหนี้เอาไว้ที่ไหนบ้างมันถึงได้มากมายมหาศาลเช่นนี้....เธอหนีมาอาศัยบ้านเช่าในแถบชานเมืองของกรุงเทพฯ ตามที่แท็กซี่แนะนำ เธอได้บ้านเช่าที่พอสู้ราคาไหว ส่วนเหมยลี่ก็ขึ้นรถเมล์ไปโรงเรียน ซึ่งอาจจะไกลไปสักหน่อย แต่ลูกสาวของเธอก็ไม่ว่าอะไร
รดาริน..เธอแทบบ้ากับชีวิต จากการที่เคยแต่งตัวสวย ๆ รักษาหน้าตาด้วยเครื่องสำอางค์ราคาแพง ถึงแม้ว่าวัยของเธอจะขึ้นต้นด้วยเลข4ก็ตาม แต่ก็เหมือนเธอยังอายุแค่สามสิบต้น ๆ เท่านั้น แต่ตอนนี้เธอไม่มีเงินแม้กระทั่งจะซื้อเสื้อผ้าราคาถูก ๆ ใส่ เพราะเอาไปมัดจำบ้านเช่าไปหมดแล้ว
รดารินใช้เวลากับการปรับตัวอยู่นาน เธอหยุดนิ่งไม่ทำอะไร คิดมาก....ร้องไห้ไปวันๆ ทุกวันของรดารินหมดไปกับการร้องไห้ จนเธอเริ่มคิดได้จึงเริ่มอยากจะหางานทำ แต่แถวนั้นก็ไม่มีใครรับเธอเข้าทำงานเลยเนื่องจากวัยที่สูงแล้ว รดารินจำต้องทำงานรับจ้างซักรีด เพื่อจะได้มีเงินเอาไว้ส่งเสียให้ลูกสาวคนเดียวของเธอได้เรียนหนังสือต่อไปถึงแม้ว่าเหมยลี่จะพอมีรายได้จากการไลฟ์สดโฆษณาสินค้าอยู่บ้างก็ตาม มาโนชคนแท็กซี่ที่มาส่งเธอวันนั้น แวะเวียนมาหาเธออยู่บ่อย ๆ แรก ๆ เขาเอาเสื้อผ้าของเขามาจ้างให้เธอซักบ้าง และวันต่อมาเขาก็ช่วยพาเธอขับรถไปรับเสื้อผ้าตามที่ต่าง ๆ ทำให้รดารินมีรายได้ และมาโนชก็พยายามหาลูกค้ามาให้เธอ จนเธอมีลูกค้าซักรีดเพิ่มมากขึ้น