Ep.9 : ในห้องไหมคะ มีถุงยาง

3556 Words
เมื่อถึงวันที่ต้องไปลงทะเบียนนักศึกษา หมอก็บอกกับทางมหาลัยว่าจะมาเรียนเอาใบปริญญาอีกใบ แน่นอนมหาลัยเอกชนที่หิวเงินรับหมอเข้ามาเรียนด้วย แล้วฉันก็เลือกเรียนบริหารธุรกิจจริง ๆ ฉันคิดว่าถ้าฉันมีประโยชน์กับแม่ แม่อาจจะเห็นฉันสำคัญบ้าง แต่มันแปลกตรงที่หมอก็มาเรียนบริหารด้วยหมอจะเรียนไปบริหารอะไร?? การเดินของหมองี่เง่าทำให้พวกผู้หญิงมองเป็นตาเดียว ทางเดินของมหาวิทยาลัยที่เต็มไปด้วยผู้คนมากมาย สองข้างทางเต็มไปด้วยต้นไม้น้อยใหญ่ ทางเดินที่มีคนหัวเราะคิกคัก มันกลับทำให้ฉันหวั่นใจไม่ดี จะมีคนที่อารมณ์ดี ก็มีแค่หมอ!!! “ยิ้มอะไร ดีใจที่ถูกมองรึไง” ฉันถามคนที่โปรยยิ้มไปทั่ว “ก็หมอ ไม่สิ พี่หล่อ ตอนนี้หนูต้องเรียกหมอว่าพี่ทีแล้วนะ พี่ดีใจนะ ที่หนูออกมายืนในแสงสว่างได้ อย่าให้เรื่องเลวร้ายหนึ่งครั้ง มาทำให้ทั้งชีวิตของหนูพัง หูฟังสวยนะเนี่ย 7,000 น้ำตาจะไหล” หมอยอมลูบหัวฉันแล้ว หลังจากที่ทำตัวหมางเมินฉันมาทั้งอาทิตย์ ฉันไม่ได้ตอบอะไร เพียงแค่ยกหูฟังที่หมอซื้อให้มาใส่ จนแล้วยังต้องมาเสียตังค์อีก น่าสงสารจริง ฉันไม่ได้สนใจหมออีกจนกระทั่งเพลงในหูฟังดับลง ฉันเลยหันขวับไปที่เจ้าของโทรศัพท์ ที่ฉันต่อบลูทูธอยู่ ที่ตอนนี้มีสายเข้า เสียงสายเข้าที่ดังรัว ทำให้เขาต้องกดรับโทรศัพท์ แต่มันดันต่อกับหูฟังของฉันอยู่ ฉันเลยถอดหูฟังมาใส่ให้หมอ ความใกล้ระดับนี้ ถ้าเป็นผู้ชายคนอื่นจะกล้าเข้าใกล้ไหมนะ หมอเดินไปคุยโทรศัพท์ไป “ครับพ่อ ผมเข้าใจแล้ว ผมเข้าไปอยู่ครับ ไม่ลืมครับ ไม่เลทแน่นอน” เสียงตอบของหมอกับสีหน้าที่ไม่ดีเอาซะเลย ทำให้ฉันต้องเดินเงียบ ๆ อยู่ห่าง ๆ อย่างห่วง ๆ เพราะมาอยู่กับฉันรึเปล่า หมอโดนพ่อดุรึเปล่า ฉันเดินใจลอยจนจะไปชนกับคนที่เดินสวนมา แต่กลับโดนหมอโอบให้หลบออกมาจนพ้นทาง ทำให้ฉันตกใจเงยหน้าคนที่คุยโทรศัพท์กับพ่อทันที ขนาดคุยโทรศัพท์ก็ยังใส่ใจฉันเหรอ จุ้นจ้านจังเลย ไม่ได้ต้องการสักหน่อย ไม่ขอบคุณหรอกนะ แล้วจะปล่อยฉันเมื่อไหร่ ฉันดันเขาออก เพราะฉันเดินเองได้ ทำไมหมอชอบทำอะไรเกินหน้าที่จังเลย เราเดินออกมาจนถึงหน้าประตูมหาลัย ก็เจอคุณติณที่ยืนรออยู่แล้ว มันพอดีกับที่หมอวางโทรศัพท์ด้วย “ไงสาวน้อย อันนี้ฉันให้ จะได้ไม่ต้องแย่งของหมอใช้ หมอให้ของขวัญที่สอบผ่านแล้วใช่ไหม อันนี้ของฉัน” กล่องโทรศัพท์เครื่องใหม่แกะกล่องถูกส่งมาให้ฉัน กล่องโทรศัพท์ Samsung Note20 ถูกส่งมาให้ฉัน ซึ่งมันเป็นรุ่นเดียวกับคุณติณ “โอ้ววววว ทำไมใจดี” ฉันมองอย่างไม่ไว้ใจ แต่ก็รับกล่องโทรศัพท์ของคุณติณมา “ขึ้นรถแล้วจะอธิบายให้ฟัง” คุณติณอธิบายว่าบนโทรศัพท์ที่ให้ฉัน ตำรวจลงแอปติดตามเอาไว้เพื่อความปลอดภัย แล้วเอาไว้ติดต่อประสานงานต่าง ๆ ให้ฉันรับเอาไว้อย่างไม่มีข้อแม้ ในระหว่างที่ฉันเรียนอยู่ที่นี่ คุณติณจะมาเป็นอาจารย์ ในเครื่องนี้มีเบอร์เขาเป็นเบอร์แรก “มีแค่โน้ตบุ๊กเก่าของคุณติณ ก็ช้อปสนั่นหวั่นไหว นี่มีโทรศัพท์อีก แล้วอีกอย่างแค่โทรศัพท์ผมก็ซื้อให้ได้” แล้วคนที่นั่งข้างหน้าข้างคนขับก็บ่นงึมงำ แต่ฉันได้ยิน “หมอเก็บเงินไว้ซื้อขนมเถอะหน่า” ฉันตอบกลับคนที่ใช้เงินไม่ดูตัวเองเลย แต่หมอกลับหันมามองหน้าฉันแล้วงอนไปเลย อะไร??? งอนก็งอนไป ไม่ง้อหรอกนะ ฉันเป็นห่วงการเงินของหมอนะ มางอนกันได้ไง ฉันมองโทรศัพท์ใหม่ที่คุณติณให้ ฉันยื่นโทรศัพท์ให้หมอพิมพ์เบอร์ของตัวเอง ซึ่งหมอก็รับไปพิมพ์แบบไม่เต็มใจนัก อะไรของหมอเนี่ย ปกติก็ไม่เคยโกรธฉันเลย เราต่างนั่งเงียบ ๆ จนมาถึงบ้าน พอถึงบ้านหมอก็ตรงเข้าบ้านขึ้นห้องไปเลย สร้างความตกใจให้ฉันกับคุณติณเป็นอย่างมาก อะไร แค่คุณติณซื้อโทรศัพท์ให้ โกรธขนาดนี้เลยเหรอ!!!! เกินไปแล้ว “งอนจริงแฮะ หนีไปเลย” เจ้าของบ้านยังประหลาดใจกับการกระทำของหมอเลย หรือฉันทำอะไรผิด ฉันยังไม่ได้ทำอะไรเลยนะ!!!! . . พอตกเย็นฉันทำอาหารเย็น ฉันไม่เคยรู้เลยว่าหมอชอบกินอะไร ทำอะไรดีอะ ฉันเลยหันไปถามคุณติณที่เอาโน้ตบุ๊กมาเปิดทำงานอยู่ที่โต๊ะอาหาร แน่นอน เขาตอบเพียงว่าอะไรก็ได้ แต่อาหารที่ชื่อว่าอะไรก็ได้มันไม่มีอยู่จริง “ฉันได้เอกสารข้อมูลยาจากหมอแล้วนะ มันเป็นตัวยาในกลุ่มจำพวก Benzodiazepine ถ้าคนที่ได้รับในปริมาณน้อย ๆ จะทำให้สงบ แต่ถ้ามาก ๆ ก็จะเป็นแบบเธอ ทำให้วิตกกังวล หมอเขียนให้อย่างละเอียดเลยแฮะ” ฉันก้มมองเอกสารของอดีตยา ที่ฉันเคยใช้มาตลอด 1 ปี “หมอจ่ายยาผิดเหรอ” ฉันหันมาถามคุณติณในขณะที่ตายังมองจออยู่ ซึ่งมันทำให้เราหน้าใกล้กันแค่นิดเดียว แค่ลมหายใจรดกัน มันทำเอาฉันเองตกใจแล้วรีบดึงตัวเองกลับ “เห็นหมอบอกว่ายาของเธอโดนสับเปลี่ยนด้านใน มีคนไม่อยากให้เธอหาย แล้วแห้งตายในโรงพยาบาลบ้า แต่มันชัดเจนพอเธอหยุดยาในระยะเวลา 1 เดือนที่อยู่ที่นี่ เธอเองก็ดูจะเป็นปกติดี มีบางเวลาที่ปล่อยมาริยะออกมาสร้างความป่วน แต่ก็ไม่ได้ไล่กัดใคร หรือถือมีดไล่ฟันใคร แต่หมอเขียนบอกว่า เธอเป็นมีสภาวะ ดิสโซสิเอทีฟ ฟิวจ์ Dissociative fugue คือผู้ป่วยละทิ้งสิ่งแวดล้อมหรือประสบการณ์ที่คุ้นเคย รวมทั้งจำอดีตของตนเองไม่ได้ ภาวะนี้อาจเกิดการสับสนระหว่างเอกลักษณ์จริง ๆ ของตนกับเอกลักษณ์ใหม่ได้ และ บุคลิกภาพแตกแยก หรือชื่อเดิมและชื่อที่ใช้ใน Multiple Personality Disorder คือผู้ป่วยมีบุคลิกภาพแตกต่างกันตั้งแต่ 2 บุคลิกขึ้นไปสลับเปลี่ยนกันมีบทบาทต่อพฤติกรรมโดยผู้ป่วยจะจำลักษณะข้อมูลสำคัญของอีกบุคลิกหนึ่งไม่ได้” คุณติณยังอธิบายสิ่งที่หมอส่งมาให้ฉันฟัง ทำให้ฉันนึกไปถึงมาริยะ ที่ชอบออกมาตอนที่ฉันกลัว ดาวน์จนไม่อยากจะอยู่บนโลกใบนี้แล้ว “คุณติณ หรือหมอจะหึงที่ฉันรับโทรศัพท์จากคุณ ยังไงคุณสองคนก็คนที่เคยมีความสัมพันธ์กัน เขาต้องหึงคุณแน่ ๆ ฉันคิดว่าคุณควรไปอธิบายให้หมอเข้าใจ ว่าคุณกับฉันมันเป็นแค่งาน หมอเข้าใจแบบนี้มันไม่ดีเลย” ฉันพูดกับคนที่เอาแต่อ่านเรื่องของฉัน “ฉันชอบผู้หญิงได้ยินไหม” คุณติณตวาดใส่ฉัน จนฉันต้องรีบถอยจนเกือบตกเก้าอี้ ด้วยความตกใจว่ามันจะตกเอาอี้แน่ ๆ ฉันเลยผวาหาที่ยึดเหนี่ยว ประจวบคุณติณรวบฉันเอาไว้ ทำให้ฉันกอดกับเขาแบบสมบูรณ์แบบเลย ฉันมองตาดุ ๆ แล้วพยายามจะผลักออกแต่เขากลับกอดเอาไว้แน่น ความกลัวในใจมันยิ่งทำให้ฉันดิ้นแรงขึ้นอีกด้วยความกลัว “ชู่ววววว ฉันไม่ได้จะปล้ำเธอ นิ่งและฟัง!!! ฉันสัญญาไปแล้วว่าจะปกป้องเธอ เพราะฉะนั้นจะไม่ทำอะไรถ้าเธอไม่เต็มใจ แต่ถ้าเต็มใจก็อีกเรื่อง แล้วฉันไม่ได้ชอบหมอ แล้วหมอก็ไม่ได้ชอบฉัน เราไม่เคยมีความสัมพันธ์กัน เรื่องวันนั้น แค่ไปทำแผลที่ฉันโดนเธอเอาส้อมแทง แต่หมอบอกว่าเธอจะจำไม่ได้ ไม่อยากให้เธอรู้สึกไม่ดี ไม่อยากให้เธอเห็นแผล เลยไปทำแผลในห้องน้ำ อย่ามาเพ้อไปไกลมันน่าขนลุก ขอย้ำอีกที ฉันชอบผู้หญิง” คนที่พูดเริ่มเอาหน้าเข้ามาใกล้เกินไปแล้ว ฉันกระทุ้งเข่าเข้าเป้าคนที่กอดฉันไม่ปล่อย จนคนที่โดนตัวงอไปเลย “ไม่หึงคุณ แล้วหมอจะงอนทำไม แล้วก็อย่ามากอดคนอื่นมั่วซั่วนะ!!! ” ฉันรีบหนีคนที่จุกเจ็บจนหน้าแดงหน้าเขียวไปให้ไกล “หึงเธอไง” “ไม่มีทาง” “ไม่รู้ หรือแกล้งทำเป็นไม่รู้ อาจจะโง่จริงก็ได้ เพราะคนที่รู้น่าจะเป็นมาริยะ ฉันอยากกินต้มยำ ไปทำด้วย ไม่ทำฉันจะไปทำเอง” คำขู่ว่าจะไปทำเอง ทำให้ฉันต้องรีบเข้าครัว เพราะกลัวเจ้าของบ้านจะทำยาพิษแจกจ่ายคนในบ้าน เจ้าของบ้านพูดจริงรึเปล่า ไม่จริงหรอก หมอไม่ได้ชอบเรา หมอไม่ได้คิดอะไรหรอกจริงไหม เขาแค่พูดมั่ว ๆ ฉันรีบไปทำกับข้าว ตั้งโต๊ะ และไปขึ้นไปตามหมอลงมากินข้าว แต่เคาะยังไง หมอก็ไม่ยอมเปิดห้อง เลยถือวิสาสะเปิดประตูเข้าไป กลับเจอหมอที่นอนหลับอยู่เตียง “ให้นอนไปแบบนี้ก่อนก็แล้วกัน” ฉันปิดไฟแล้วเดินออกจากห้อง ปล่อยให้หมอนอน ติณ Say :: หลังจากกินข้าว จัดการตัวเองเสร็จ ผมก็เข้ามาหาหมอที่ห้อง หมอก็ไม่ได้หลับอย่างที่มาริจังว่า แถมยังอารมณ์บูดนั่งทำงาน ขนาดผมมายังไม่รู้ตัว ผมเลยต้องเคาะประตูให้เขาได้ยิน “อ๊ะ คุณติณ” แหนะ มีใจตกใจด้วย ใจลอยไปถึงไหน “งอนรึไง ฉันไม่โรคจิตชอบเด็กหรอกหน่า ให้หมอจิตคนเดียวพอแล้ว ไปหาจีบครูในมหาลัยดีกว่า ที่ให้โทรศัพท์เพื่อความปลอดภัย งอนไปได้” ผมเดินเข้ามาดูหมอที่ไปเอาแม็คบุ๊กมาจากไหนวะ ไม่เคยเคยเห็นหยิบออกมาใช้สักที “ผมเปล่างอนนะ ผมกำลังดูว่าอาการของมาริจังว่าแย่ลงมาก ๆ เลยตั้งแต่ตอนไหน อาจจะมีน้อยใจบ้าง แต่ไม่ถึงกับงอนหรอก เธอคิดว่าผมน่าสมเพชขนาดนั้นตั้งแต่เมื่อไหร่ ช่างเถอะ ผมจัดการอารมณ์ตัวเองได้” หมอทีหันหน้าจอคอมมาให้ผมดูภาพจากการบันทึกการรักษา เด็กหญิงมีที่มีอาการกลัวแล้วพยายามจะเอาหัวโขกกำแพง ในห้องพักผู้ป่วย “นี่คือตอนที่ผมตัดสินใจ ให้หมอโรงพยาบาลที่สนิทกันสะกดจิต แยกความรู้สึกของเธอออกมา” ไฟล์วิดีโอพวกนี้หมอคงจะดูเป็นร้อย ๆ ครั้งแล้ว อะไรทำให้หมอเครียด “มีอะไรมากกว่านี้รึเปล่า” “ที่บ้านโทรมา ให้กลับไปทำความรู้จักใครก็ไม่รู้ น่าเบื่อชะมัด ผมอาจจะต้องกลับบ้านหลายวัน ฝากมาริจังด้วยนะ” หมอพูดอย่างหนักใจ ที่แท้ก็ดูตัว “บอกที่บ้านไปสิ ว่าผมไม่สนผู้หญิงที่บรรลุนิติภาวะแล้ว” ผมแกล้งแหย่คนที่ชอบเด็ก จนคนที่โดนแซวหรี่ตามองพร้อมกับปาเม้าท์ที่น่าจะราคาแพงมาใส่ผม ผมเลยรับแล้วปาคืนกลับไป แล้วสัญญาว่าจะเลี้ยงต้อยเด็กแทนให้ เช้าวันต่อมา หมอออกจากบ้านไปตั้งแต่เช้า ผมเลยต้องรับหน้าที่เป็นผู้ปกครองเด็กสติแตกแทน วันนี้คนที่ดูจะเป็นปกติมานานแล้ว เกิดมีอาการไม่ปกติ หงุดหงิด ว้าวุ่น เดินไปเดินมาทั้งวัน จนผมที่นั่งทำงานอยู่ที่โต๊ะอาหารเกิดอาการรำคาญ “มีอะไรรึเปล่า” “ไม่มีชุดใส่ไปเรียน” “มหาลัยใส่ชุดไปรเวทไม่ใช่เหรอ เสื้อผ้าที่มี ใส่ไปไม่ได้เหรอ” ผมพูดแค่นี้ งอนเข้าห้องปิดประตูดังปัง!!!!! พวกผู้หญิงทำไมใส่ชุดซ้ำไม่ได้รึไง!!!!! อะไรวะ!!!!! แต่ไม่นานเธอก็ออกมาในชุด ที่แทบปิดหน้าอกไม่มิด แถมสั้นจิ๋ว โอ้วววว...แบบนี้มันได้มาเลย แล้วเธอก็กลับเข้าไปในห้องแล้วออกมาพร้อมกับเสื้อผ้าชุดใหม่ที่มันสั้นกระจิริด อ้อออออออ จะบอกว่าใส่ไม่ได้แล้วว่างั้น แต่ จุ๊จุ๊ ผมไม่สายเปย์แบบหมอ ผมไม่ซื้อให้แน่นอน เสียเป็นแสนแขนไม่ได้จับ ไม่ใช่ทางผม ได้ชิมก่อนอร่อยค่อยจ่าย นี่ต่างหากทางผม “ฉันจะไม่จ่ายเงินให้คนที่ไม่ได้ฟัน ไปรอหมอกลับมาโน่น ซื้อเสื้อผ้าให้หนู พี่เอาเงินไปลงอ่างดีกว่า” ผมยิ้มให้คนที่ทำหน้าเศร้าลง “ไม่อยากรบกวนหมอเลย หมอไม่ได้มีเงินเยอะแยะ ไม่เป็นไร ฉันแค่เห็นว่ามันเล็กจนฟิต เมื่อก่อนใส่ฟิต ๆ มันก็ดูน่ารัก ตอนนี้ฉันไม่ได้อยากให้ใครเห็นรูปร่าง ฉันไม่ชอบ ฉันกลัวคนมอง” แล้วคนที่ผิดหวังก็เดินคอตกเข้าไปในห้องของตัวเอง น่าสงสารแฮะ ผมส่งไลน์ไปถามหมอ ว่าอนุญาตให้พาเธอออกไปไหม แค่ผมบอกว่า ผมคิดค่าพาไปแพงนะ ถึงกลับต้องรีบปฏิเสธ หมอบอกว่าเขาซื้อเสื้อผ้าไว้ให้เธออยู่แล้ว อยู่ในตู้เสื้อผ้าในห้องนอน ให้ผมเอาให้เธอได้เลย ผมก็ทำตามที่เขาไหว้วาน แต่แค่ผมเอาไปให้เด็กน้อยที่อยู่ห้องชั้นล่าง เธอก็ดีใจจน.........กระโดดกอดหมับเลย ตอนยิ้มน่ารักจัง “ขอบคุณนะคะ ใจดีจัง ที่แท้คุณก็เป็นคนปากกับใจไม่ตรงกัน” แต่ยังไม่ที่ผมจะได้พูดอะไร เด็กก็กลับเข้าไปในห้อง แล้วปิดประตูใส่ผมเลย เฮ้ออออออออ “ฉันไม่ ดะ...ได้ซื้อ หมอซื้อ” พูดไปแบบนี้จะได้ยินไหมเนี่ย เฮ้ออออ กลับไปทำงานต่อก็แล้วกัน ผมย้ายก้นกลับมานั่งทำงานอย่างเดิม แต่ตูดดดด ยังไม่ทันสนิทเก้าอี้เลยยยยย ตัววุ่นวายก็เปิดประตูเข้ามา พร้อมกับโทรศัพท์ที่ยังสั่นไม่หยุดดดดดด ไล่ให้ไปทำงานที่บ้าน ทำไมยังมาอีก จี๋ เด็กฝึกงาน ที่ฝึกมันอยู่นั่น ไม่ได้บรรจุสักที เพราะอะไรนะเหรอออออออ “บอสสสสสส โทรศัพท์บอสทำไมไม่รู้จักรับสาย ฉันต้องหาข้อมูลงานให้บอส แล้วต้องจัดการผู้หญิงของบอสอีกเหรอ รู้ไหมมันเหนื่อย มันปวดหัว พอบอกฉันทำงานอยู่บ้าน ยัยเจ้ปากแดงตัวแสบก็ให้แบกร่างกายอันบอบบางออกจากเตียง บอสคะ นี่มันวันอาทิตย์” หญิงสาวหัวหยิกหย็อย ใส่แว่นหนาเตอะ บ่นผมยาวเหยียดที่ผมไม่รับโทรศัพท์เดียร์ ปากแบบนี้น่าให้ผ่านงานไหม ฝึกมันต่อไปแบบนั้นแหละ แต่ความวัวที่มาไม่ทันหาย ความควายที่อยู่ในห้องก็เปิดประตูออกมา “คุณติณ ชุดที่คุณซื้อให้สวยมาก ๆ เลย” แล้วต้องตกใจที่ผมมีแขก ก่อนจะเอ่ยคำขอโทษต่อรัว ๆ “ไม่ต้องขอโทษฉันค่ะ ฉันเป็นแค่ผู้ช่วย บอสคะ นี่รุ่นลูกเลยนะ คุกนะคะ” จี๋หันมาพูดกับผม อะไร คิดว่าผมชอบเด็กแบบนี้เหรอ แต่ถ้าเด็กยอมผมก็ไม่ขัดนะ “ใช่ที่ไหน จี๋นี่หนูมาริ พยานคนเดียวที่ยังรอดชีวิต มาริจังนี่จี๋ เด็กฝึกงาน 3 ชาติ” เพียงแค่ผมแนะนำมาริจัง จี๋ก็ตรงปรี่เข้ามาหาผมเลย “บอส น้องคนนี้บอสบอกเป็นบ้าไม่ใช่เหรอ” เสียงกระซิบเบา ๆ ที่ถามผม เพราะกลัวว่าน้องจะได้ยิน “ใช่คนนี้แหละ ตอนนี้หายละ น้องโดนทำให้บ้า ไม่ได้บ้าจริง จี๋เธอมาก็ดีละ วันนี้หมอไปดูตัว ฝากเล่นกับมาริจังหน่อย ฉันเป็นผู้ชายที่เล่นเป็นแค่จ้ำจี้” เปล่า ผมแค่หาคนมาอยู่เป็นเพื่อนมาริจัง เพราะตัวผมเองจะต้องไปดูที่หลังมหาลัยหน่อย พ่อผมส่งข้อความมาบอกว่า มีรถแปลกๆ มาจอดทุกวัน “ดูตัว?? ” มาริย้ำถามผมอีกครั้ง อ๊ะ แย่แล้วสิ ไม่รู้ว่าหมอบอกเด็กว่าไปไหน “ดูตัวคนไข้ที่โรงพยาบาล” แก้ตัวแบบนี้ยังทันไหม?? “ช่างหมอสิ ทำไมฉันต้องสนใจด้วย จุ้นจ้านไปได้ก็ดี” แล้วคนตัวเล็กก็เข้าไปในห้อง แล้วปิดประตูดังปัง!!!!! รุนแรงแบบนี้สงสารคนที่ยังผ่อนบ้านไม่หมดด้วย “เฮ้ออออ ฝากหน่อยนะ มาริจังไม่ดื้อหรอก” แกร๊กกกก~* แล้วคนที่เพิ่งเข้าห้องไป ก็เปิดประตูออกมา แล้วลากจี๋เข้าไปในห้องด้วยเลย....โชคดีนะ ขอให้เธอไม่ตาย คืนนั้นเอง “อ่าววววววววว ยัยจี๋ไปไหน แล้วหนูเป็นใคร มานั่งที่นี่ทำไม” ผมถามคนแปลกหน้าที่นั่งร้องไห้ในบ้านของผม “ไหนบอกหายบ้าแล้วไงบอสสสส ฉี่แทบราด ฉันโดนเอามีดมาขู่ บอกถ้าฉันไม่ยอมทำ จะโดนแทง ทำไมถึงกับฉันแบบนี้ บอสจะฆ่าฉันเหรอทิ้งฉันไว้แบบนี้” “แจ้งความเท็จ ติดคุกนะ” เสียงแหลมปี๊ดดดด ทำให้ผมต้องหันไปมอง หญิงสาวในชุดสั้นจุ๊ดจู๋ก็เดินออก พร้อมกับมีดในมือ อะไรดลใจมาริยะออกมาอีกแล้ว ผมไล่ให้จี๋กลับไปก่อน ไม่งั้นเดี๋ยวมาริยะแผลงฤทธิ์จะโดนลูกหลงไปด้วย ยัยนี่มันร้าย จะให้ผมมาปกป้องคนอื่นด้วยไม่ไหว พอจี๋ออกจากบ้านไปเรียบร้อยแล้ว คนตัวเล็กก็ทิ้งมีดทันที อุตส่าห์หาพี่เลี้ยงเด็กเอาไว้ให้ ยังจะไล่แทงเขาอีก อะไรทำให้เป็นแบบนี้อีกแล้วน้าา ผมอยากจะบ้า “แหย่เล่นนิดเดียวเอง กลัวไปได้” มาริยะทิ้งมีดลงพื้นแล้วเดินมาหาผม อะไร!!!! เข้ามาใกล้ผมทำไม แขนเล็ก ๆ เกี่ยวที่คอของผมเอาไว้ อารมณ์ไหน!! ของเธอเนี่ย ผมเครื่องฟิตสตาร์ทติดง่ายนะ “แล้วนี่แหย่เล่นอีกไหม” “ทำไมถึงทิ้งฉันไปหมด ไหนบอกจะไม่ทิ้งให้เจออันตราย ทำไมถึงทิ้งให้ฉันอยู่คนเดียว รู้ไหมว่าฉันกลัว” มือเล็ก ๆ ลูบเอวของผมขึ้นลงเบา ๆ จนผมรู้สึกขนลุกไปทั้งตัว เลยพยายามจะจับเอามือเล็ก ๆ ที่ซุกซน แต่เธอกลับซบที่อกของผม มามุกไหนอีกละเนี่ย เสียงสะอื้นเบา ๆ ทำให้ผมต้องชะงัก แล้วลูบหัวเด็กน้อยแทน รู้อะไรไหม เธอไม่ควรกลัวใคร ตัวเองเนี่ยตัวน่ากลัวเลย “ไม่ได้ทิ้ง ไปทำงาน ให้จี๋อยู่ด้วยแล้วไง” “แล้วผู้หญิงสองคน จะไปสู้โจรได้ยังไง ไหนบอกจะอยู่กับฉัน ทำไมถึงทิ้งฉันให้ไปอยู่กับคนอื่น ใจร้าย ใจร้ายเกินไป” แล้วเด็กน้อยก็เริ่มฟูมฟาย ผมได้สัญญาว่าจะอยู่กับเธอตลอดงั้นเหรอ ไม่เห็นจะจำได้เลย “กอดฉันหน่อย นะคะพี่ติณ” คำขอของเด็กน้อย ทำให้ผมต้องทำตามอย่างเลี่ยงไม่ได้ “ไปนอนเถอะ ดึกแล้ว” “หมอไม่อยู่ นอนคนเดียวไม่หลับ นอนกับฉันนะคะ วันนี้ฉันต้องอยู่คนเดียวว้าวุ่นใจ ฉันเริ่มรู้สึกว่าตัวเองมีใจให้พี่ติณ” เด็กเงยหน้ามองผม แย่แล้วสิ ใจไม่ดีเลย หัวใจที่นิ่งสงบ มันกำลังสั่นไหว ไม่ใช่เพราะเธอน่ารัก เพราะผมไม่รักเด็ก แต่เพราะนิ้วเล็กเขี่ยหัวนมผมอยู่ ผมดันร่างเล็ก ๆ จนติดกับโต๊ะอาหาร แรงดึงดูดที่มากมายจากการขาดการเอาน้ำออก บวกกับแววตาเว้าวอนที่ปนหวาดกลัว มันยิ่งทำให้ผมกระหายใคร่อยากจะลิ้มรสเด็กสาววัย 18 มันก็คงไม่แย่หรอกมั้ง อาจจะต้องสอนหน่อย เพราะมือเล็ก ๆ ลูบที่แผงอกด้วยมือสั่น ๆ มันบอกว่า เธอไม่เป็นงานแน่ ๆ “เคยบอกแล้วว่าอย่าเล่นกับไฟ” พอสิ้นเสียงร่างเล็ก ๆ ก็พลิกตัวดันผมจนติดโต๊ะ แต่สายของเธอไม่ได้ใคร่อยากจะทำอะไรกับผมเลยสักนิด แถมมือก็ยังสั่น เหมือนจะกำลังพยายาม “ฉันทำเอง” เสียงประชดประชัน กับมือที่ล้วงเข้ามาใต้ชายเสื้อ “ถ้ายังเล่นแบบนี้ จะโทษฉันไม่ได้ อย่าหาว่าฉันร้าย” “ในห้องไหมคะ มีถุงยาง” =====================
Free reading for new users
Scan code to download app
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    Writer
  • chap_listContents
  • likeADD