ตอนที่ 7.1

1263 Words
“สวมซะ” คาวะโยนชุดนอนลงตรงหน้าฉันที่นอนตะแคงตัวเปล่าเปลือยอยู่บนพื้นเย็นเยียบ คราบน้ำตายังเหนียวติดแก้ม เนื้อตัวเต็มไปด้วยร่องรอยความใคร่ของคาวะ ฉันเหลือบมองกองผ้าผืนน้อยสายตาเลื่อนลอย “....” “ซายูริ” “ไปให้พ้น” ฉันพูดโดยไม่มองหน้า เกลียดขนาดที่แม้แต่ลมหายใจยังไม่อยากใช้ร่วม “ตามใจ ถ้ามีคนเข้ามาเห็นอย่ามาโทษฉันก็แล้วกัน” ฉันกัดฟันแน่น จ้องชุดนอนตรงหน้าก่อนกลั้นใจลุกขึ้นนั่ง หยิบขึ้นมาสวมเพราะยังไม่พร้อมเผชิญกับปัญหาวุ่นวายเพิ่มขึ้น “ลุกไหวไหม” “ไม่ต้องยุ่ง!” ฉันสะบัดแขนข้างที่ถูกคาวะจับออกอย่างรังเกียจ ต่อให้ล้มหน้าหักฉันก็ไม่ต้องการความช่วยเหลือจากเขา “อย่ามาอวดเก่ง ลุกขึ้น” “บอกให้ปล่อย! อ๊ะ...” คาวะรั้งแขนฉันขึ้นอย่างไม่สนใจท่าทางขัดขืน ทว่าฉันกลับเป็นฝ่ายเพลี้ยงพล้ำ เซไปกองอยู่บนแผ่นอกของคาวะแทน “หึ แค่จะยืนยังไม่มีแรง แล้วยังอวดเก่ง” ฉันเม้มปากแน่นด้วยความเจ็บแค้นใจ ปล่อยให้เขาพยุงมาที่โซฟาอย่างโต้เถียงอะไรไม่ได้ “นั่งตรงนี้สักพัก ดีขึ้นแล้วค่อยกลับห้อง” “....” พูดเสร็จเขาก็ทิ้งตัวลงนั่งข้างๆ ฉันใช้แรงที่พอมีเหลือเขยิบออกห่างจนชิดมุมโซฟา คาวะจ้องมองท่าทีรังเกียจที่ฉันมีต่อเขาเหมือนจะพูดอะไรสักอย่างแต่สุดท้ายเขาก็แค่หรี่ดวงตาคมกริบลงเฉยๆ  ใบหน้าคมคายเหลือบมองไปทางอื่น สักพักก็ลุกขึ้น “เดี๋ยวไปเอานมมาให้” ฉันเงยหน้าขึ้นมองอย่างประหลาดใจ อยู่ดีๆ ก็พูดแบบนั้นออกมาเหรอ จะให้รู้สึกยังไง แถมยังลุกเดินออกไปทันทีอีกด้วย ไม่เปิดโอกาสให้ทักท้วงอะไรสักคำ ถึงงั้นก็ไม่ทำให้ฉันรู้สึกอะไรอยู่ดี ฉันกวาดตามองไปรอบๆ ด้วยสายตาว่างเปล่า จิตใจเปลี่ยวเหงาไม่ต่างจากบรรยากาศเงียบงันรอบตัว  ทุกอย่างดูไร้ค่าไปหมดแม้กระทั่งซูซาคุ  เสียงประตูห้องถูกเปิด ร่างสูงของคาวะกลับเข้ามาพร้อมแก้วนมในมือ วางลงตรงหน้าฉัน “เอามาจากในห้อง ไม่อุ่นแล้ว สงสัยทิ้งไว้นาน” “....” “ดื่มสิ จะได้มีแรง หรือจะเอาแก้วใหม่” เขาพูดราวกับถ้าฉันต้องการก็ยินดีจะทำให้งั้นล่ะ แต่ฉันไม่อยากข้องเกี่ยวอะไรกับคาวะมากไปกว่านี้ หยิบแก้วนมตรงหน้าขึ้นมาดื่มอึกๆ รวดเดียวหมดเหมือนประชด  นมหกเลอะขอบปาก ฉันกำลังจะเช็ดแต่นิ้วคาวะเอื้อมถึงก่อน ในชั่วอึดใจที่นิ้วแข็งๆ กดลงตรงมุมปาก ฉันเผลอมองสบนัยน์ตาคมกริบของคาวะจู่ๆ ก็รู้สึกวูบโหวงในใจประหลาด ผิวแก้มร้อนวูบจนต้องหลบตา “เอาอีกสักแก้วไหม ท่าทางจะชอบ” “มะไม่ต้อง”  ฉันก้มหน้างึมงำ อยากให้เลิกจุ้นจ้านวุ่นวายสักที ที่ทำเนี่ยคือจะเอาใจหรือแค่กวนประสาทฉันกันห๊ะ “จะกลับห้อง” ฉันลุกขึ้น หลังจากดื่มนมก็รู้สึกมีแรงขึ้นมาบ้าง แต่จู่ๆ ก็รู้สึกหนักอึ้งที่ศีรษะแปลกๆ นี่มันเกิดอะไรขึ้น... “ซายูริ?” “อึก... ทำไม...”  ฉันทรุดตัวลงกับโซฟาอย่างอ่อนแรง เปลือกตาหนักอึ้งจนแทบจะลืมไม่ขึ้น ภาพข้างหน้าพร่ามัวทุกขณะ  “...นาย เอาอะไรให้ฉันกิน” “ซายูริ! เฮ้... ซายูริ?” ฉันจ้องหน้าคาวะที่ค่อยๆ จมหายไปในความมืด ได้ยินเสียงร้องเรียกชื่อที่อยู่ไกลออกไปทุกทีก่อนที่ทุกอย่างจะดับวูบลงเหลือไว้เพียงความมืดมิดในจิตใจ ในค่ำคืนที่ทุกอย่างเปลี่ยนไป ระหว่างทางนั่งรถกลับจากไปดูพี่ฮารุแข่งเคนโด้ สายฝนโปรยปรายลงมาจางๆ ตั้งแต่ที่งาน คุณพ่อขับรถด้วยความเร็วปกติ โดยมีแม่นั่งเบาะข้างๆ ส่วนฉันกับพี่ฮารุนั่งอยู่ด้วยกันที่เบาะหลัง ได้ยินว่าคุณพ่อปลีกตัวจากงานสำคัญเพื่อพาพวกเรามาดูพี่ฮารุแข่งในวันนี้โดยเฉพาะ แต่... ท่าทางพี่ฮารุไม่ได้ดีใจสักนิดที่พวกเรามา เขานิ่งขรึมตั้งแต่ตอนลงจากเวทีจนกระทั่งเดี๋ยวนี้ ไม่ยอมพูดยอมจา แม้ฉันจะยิ้มให้เขาก็ไม่สบตา ฉันพูดด้วยเขาก็เหมือนจะไม่ได้ยิน ฉันจ้องมองหูฟังที่เขาเอาแต่สวมอยู่ตลอดเวลา  ...บางทีก็สงสัย พี่ฮารุฟังอะไรอยู่กันนะ  ฉันเคยถามในวันแรกๆ ที่เพิ่งเจอกัน แต่ก็ถูกเมินแล้วยังโดนผลักหัวทิ่มดินร้องไห้หาแม่จ้าละหวั่น หลังจากนั้นก็ไม่เคยคิดจะเซ้าซี้เขาอีก “ทำไมฝนต้องมาตกตอนนี้ด้วย” เสียงแม่บ่นทำให้ฉันละสายตาจากใบหน้านิ่งๆ เหมือนรูปปั้นไร้อารมณ์ของพี่ฮารุไปนอกกระจกรถ เม็ดฝนปรอยๆ สะท้อนเป็นสายเจือจางอยู่ในความมืดสลัวบนท้องถนน พริบตานั้นแสงไฟจากหน้ารถคันหนึ่งก็สว่างจ้าอย่างรุนแรง โครม!!!!! เสี้ยววินาทีต่อมารถถูกปะทะอย่างจัง ตีลังกาพลิกคว่ำไปชนกับราวกั้นสะพาน เสียงกระแทกอย่างหนักหน่วงดังกึกก้องอยู่ในหัวพร้อมกับเสียงกรีดร้องก่อนที่ทุกอย่างจะดับวูบ “กรี๊ดดดด” “ซายูริ! ซายูริ...” ตูมมมม!!! บุ๋งๆๆๆ เสียงน้ำทะลักเข้ามาในรถผ่านทางกระจกที่แตก แรงเขย่าตัวอย่างร้อนรนปลุกฉันให้ได้สติ ลืมตาขึ้นในน้ำ แสงไฟหน้ารถส่องให้เห็นใบหน้าของคนตรงหน้าเลือนลาง แม่!... ใช่ชั่วเวลาสั้นๆ ที่รู้สึกตัว ภาพเบื้องหน้าไม่ต่างจากฝันร้าย ฉันอยากกรีดร้องใจแทบขาดแต่ก็ทำได้แค่ส่ายหน้าไปมาด้วยความตื่นตระหนก  ฝ่ามือของแม่ตบลงที่ผิวแก้มฉันหลายครั้งคล้ายกำลังบอกอะไรบางอย่าง ตอนนั้นฉันไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น จู่ๆ ร่างกายก็ถูกผลักออกมาจากรถที่กำลังจมลึกลงไป สองเท้าเตะน้ำตามสัญชาตญาณเอาตัวรอด ถึงจะเป็นเด็กแต่เพราะทักษะการไหว้น้ำที่สูงมากทำให้ฉันสามารถพาตัวเองโผล่พ้นผิวน้ำขึ้นมาได้อย่างปลอดภัย  ท่ามกลางสายฝนโปรยปราย ฉันหันรีหันขวางมองหาทุกคนด้วยหัวใจที่สั่นระรัว ผิวน้ำรอบๆ กระเพื่อมไหว จ้องมองด้วยใจระทึกว่าแม่จะโผล่มาจากไหน  ปัง! ปัง! ปัง! ฉันสะท้านเฮือก หันขวับไปทางเสียงปืนที่ดังกึกก้อง เห็นเงาคนกำลังเล็งปืนลงมาในน้ำกราดยิงไม่ยั้ง ศีรษะที่โผล่พ้นผิวน้ำเป็นเงาตะคุ่มๆ เหมือนคนที่เพ่งจะโผล่ขึ้นมากลับจมหายลงไปอีกครั้งแล้วไม่มีวี่แววว่าจะโผล่ขึ้นมาอีก ผิวน้ำนิ่งสงบ พร้อมกับความเงียบสงัดที่มาเยือน เกิดอะไรขึ้น... คนพวกนั้นเป็นใคร แล้ว... แล้วแม่อยู่ไหน!?! แม่... ฝนที่ตกหนักขึ้นเรื่อยๆ ทำให้ทัศนะวิสัยเลวร้ายยิ่งกว่าเดิม ขาที่ถีบตัวอยู่ใต้น้ำเริ่มหมดแรง ฉันตะเกียกตะกายเข้าหาฝั่ง ปีนขึ้นไปนอนแผ่หลาบนพื้น ร่างกายเจ็บหนึบและอ่อนล้าไปหมด สติเริ่มพร่าเลือนลงทีละนิดๆ พึมพำเรียกหาแม่ก่อนที่ทุกอย่างจะดับวูบ  
Free reading for new users
Scan code to download app
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    Writer
  • chap_listContents
  • likeADD