ตอนที่ 2.2

1608 Words
“ไอ้โรคจิต”  ฉันกัดฟันกรอด จ้องคนที่กำลังใช้ทิชชู่เช็ดแท่งกลมยาวอยู่ข้างๆ หมอนั่นตวัดสายตาคมกริบมามอง ใบหน้าหล่อเหลาอมยิ้มไม่สะทกสะท้านแม้แต่น้อย “รู้สึกดีไม่ใช่เหรอ” “ไม่!” “แน่ใจ... งั้นอันนี้ล่ะ” หัวใจฉันกระตุกวูบ จ้องมองหมอนั่นหยิบของบางสิ่งขึ้นมาด้วยสายตาลุกวาว มันมีรูปร่างกลมรีเหมือนไข่ขนาดเล็กมีไฟกะพริบปริบๆ อยู่ข้างใน “นั่นอะไร หยุด! อย่าเข้ามานะ” คาวะเคลื่อนตัวเข้ามาหา ฉันถอยกรูดหลังชนกับหัวเตียงดังปั้ก ข้างในยังรู้สึกเจ็บไม่หาย สะเทือนแปลบจนต้องนิ่วหน้า แต่ฉันไม่มีเวลามาใคร่ครวญถึงความเจ็บปวดเพราะเงาของปีศาจชั่วที่เยื้องกายเข้ามาประชิด “กรี๊ดดด หยุดนะ!” หมอนั่นจับขาฉันแยกออกแล้วแทรกตัวเข้ามาตรงกลาง ฉันทั้งร้องทั้งดิ้น ถีบเท้าพรวดพราด ทุบมือที่ถูกมัดใส่ร่างสูงรัวๆ สบถสาปส่งไม่หยุด คาวะบีบโคนขาข้างหนึ่งฉันเอาไว้แน่น ปวดลึกเข้าไปถึงกระดูก ยังไม่ทันที่ฉันจะตั้งตัวได้เขาก็ยัดของในมือเข้ามา “อ๊าอื้อ หยุด... เอามันออก! กรี๊ด นายอื้อ” ลมหายใจฉันสะดุด เสียงร้องโวยวายขาดห้วนตามอารมณ์ที่เตลิดไปกับไข่กลมๆ ที่อยู่ข้างในตัว ฉันเม้มริมฝีปากแน่น ปลายนิ้วเท้าบิดเกร็งอย่างพยายามฝืนกลั้นอารมณ์ไม่ให้สั่นผวาไปกับของบ้าๆ นั่น  “เอาออกนะ” ฉันทุบกำปั้นที่โดนผูกติดไว้ด้วยกันทั้งสองข้างใส่อกคาวะ เขาคว้าต้นแขนฉันแล้วดึงเข้าไปหา สะโพกเกยขึ้นไปอยู่บนตักของเขาแบบไม่รู้เนื้อรู้ตัว แรงสะเทือนนั้นส่งผลกระทบไปถึงข้างใน เสียววาบจนต้องกลั้นหายใจเอาไว้  “คาวะ อือ มัน...” ฉันซุกหน้าลงบนบ่าแกร่ง อยากขอร้องให้เขาทำบางอย่างทั้งที่ฉันก็ไม่รู้ว่าคืออะไร แต่ร่างกายที่โดนบางสิ่งฝังอยู่ข้างในมันทำให้รู้สึกร้อนรุ่ม อึดอัด ทรมานจนแทบทนไม่ได้ “เอาออกเถอะนะ ยอมแล้ว ฉันยอมนายทุกอย่าง ชะช่วยเอาไอ้นี่ออกไปที” ฉันผละหน้าออกห่างบ่าของคาวะแล้วจ้องมองเขาด้วยแววตาสั่นระริก แต่สิ่งที่ได้กลับมาคือรอยยิ้มที่แสนเย็นยะเยือก ฉันสะท้านวาบไปทั้งไขสันหลัง ความรู้สึกกลัวดิ่งลึกลงไปสุดขั้วหัวใจราวกับว่ายังมีสิ่งที่เลวร้ายยิ่งกว่านี้รออยู่ คาวะบีบแก้มฉันแน่น ดวงตาคมกริบกวาดมองสำรวจใบหน้าฉันทุกตารางนิ้วด้วยท่าทางใจเย็น มุมปากของเขายกยิ้มเบาๆ “ฟังให้ดีซายูริ ถ้าเธอทนได้ฉันจะเชื่อเธอ ถ้าเธอคิดไม่ซื่อก็บอกทุกคนว่าฉันทำอะไรกับเธอบ้าง เท่านี้พวกนั้นก็จะหันปลายกระบอกปืนมาที่ฉันแม้แต่อัยย์ก็คงไม่รอด แต่เธอจะยอมให้คนอื่นรู้เรื่องนี้เหรอ” คาวะเหยียดยิ้มกว้างขึ้น สายตาของเขาที่จ้องลึกเข้ามาในแววตาสับสนของฉันเย็นเยียบจนรู้สึกขนลุก ฉันไม่เข้าใจว่าเขากำลังหมายถึงอะไร จนกระทั่งเขาลากฉันออกไป ขาฉันอ่อนยวบตั้งแต่ก้าวแรกที่เหยียบลงบนพื้น เซไปซบแผ่นอกของคาวะอย่างอ่อนแรง เขาถอดเชือกที่มัดข้อมือฉันออกแล้วพามาที่ลิฟต์อย่างไม่คิดจะเห็นใจฉันแม้แต่น้อย ฉันร้องเรียกให้เขาหยุดตลอดทาง สิ่งที่เสือกแทงอยู่ข้างในทำให้เสียงที่เปล่งออกมาสั่นอย่างไม่อาจควบคุม  ฉันสั่นสะท้านในทุกย่างก้าวที่ขยับเดิน “คาวะ ฉัน... ฉันอยากเอาออก” ฉันรบเร้า เหลือบมองกล้องวงจรปิดอย่างร้อนใจ เขย่าแขนขอร้องคนตรงหน้า อย่างน้อยๆ ถ้าเขาช่วยก็น่าจะหลบมุมกล้องได้ แต่หมอนั่นกลับมองมาด้วยสายตานิ่งๆ  “ถ้าเอาออกตอนนี้เธอก็แพ้ ข้อตกลงของเราจะเป็นโมฆะทันที” “ข้อตกลง?” ฉันมองสบสายตาคมกล้าตรงหน้าหัวใจสั่น นึกไม่ออกว่าไปทำข้อตกลงตอนไหน อึก! หรือว่าที่เขาพูดตอนนั้น ความคิดในหัวฉันเกิดการปั่นป่วนขึ้นมาทันที “พะพูดถึงอะไร อื้อ…ทำไมจู่ๆ มันสั่น” ฉันคว้าแขนคาวะแน่นอย่างต้องการที่ยึดเหนี่ยว ยืนบิดตัวไปมาเมื่อรู้สึกถึงแรงสั่นสะเทือนด้านใน หัวใจสั่นระรัว ช่องท้องบีบรัดกะทันหัน …ฉันเกือบเสร็จ! ฉันกัดฟันแน่น พยายามต่อสู้กับสัญชาตญาณตัวเอง หลับตาข้างหนึ่ง มองรีโมตเครื่องเล็กจิ๋วที่คาวะล้วงออกมาจากกระเป๋ากางเกง นั่น! เข่าฉันแทบทรุด เมื่อรู้ว่าทุกอย่างอยู่ในการควบคุมของเขา  “หยุดนะ! อืออื้อ คะคาวะ อ๊ะ ฉัน… ฉันจะ” ติ้ง! ยังไม่ทันได้เตรียมใจประตูลิฟต์ก็เปิดออก อารมณ์ที่กำลังเตลิดถึงวิมานฉิมพลีเป็นอันชะงักกึก ค้างเติ่งอยู่กลางอากาศก่อนจะร่วงวูบ! เมื่อเห็นคนอื่นยืนอยู่หน้าลิฟต์ ฉันใจหายวาบ ปั้นหน้ายากอย่างทำอะไรไม่ถูก ผิวแก้มร้อนจัด อายจนไม่รู้จะเอาหน้าไปไว้ที่ไหน เขาจะดูออกไหมว่าฉัน… ฉัน… “อ๊ะ!” ฉันผวาร้องเสียงหวิวเพราะแรงฉุดที่แขน คาวะดึงฉันที่ยืนเงอะงะออกจากลิฟต์อย่างไม่คิดจะเบามือให้ เท้าที่โดนบังคับให้ก้าวตามไปแบบรวดเร็วทำให้ขาพันกัน สะดุดเสียหลัก “ว้าย!” “ระวังครับ” ผู้ชายที่มายืนรอรับลิฟท์รีบรั้งแขนฉันเอาไว้ไม่ให้ล้ม มีกลิ่นเหล้าอ่อนๆ ลอยออกมาจากตัว มองจากท่าทางแล้วน่าจะเพิ่งกลับจากไปเที่ยว ฉันมองแผงอกกำยำใต้เสื้อเชิ้ตที่กระดุมสองเม็ดบนหลุดของคนตรงหน้าอย่างหน้ามืดตาลาย ทำไมถึงรู้สึกอยากซบแบบนี้นะ “เฮ้ย!” เสียงยะเยือกของคาวะทำให้เขารีบปล่อยมือจากฉันทันที “ขอโทษครับ” “ขอบคุณ… อ๊ะ คาวะ เบา… อึกเดี๋ยว” ฉันยังไม่ทันได้ขอบคุณเขา ก็ถูกคนสารเลวลากออกมาซะก่อน การสับขาเดินตามคาวะมาที่รถไม่ใช่เรื่องง่ายเลย แม้ระยะทางจะไม่ไกลจากประตูลิฟต์ แต่สิ่งที่คอยทิ่มแทงอยู่ข้างในมันให้ความรู้สึกเหมือนเดินอยู่บนหนามแหลมไม่มีผิด พลั่ก! “โอ๊ย!” คาวะผลักฉันใส่เบาะรถอย่างไม่สนใจไยดีสักนิดว่าฉันมีอะไรอยู่ข้างใน ก่อนจะจับแก้มฉันไปบีบแน่น ฉันพยายามสะบัดออกแต่ไม่สำเร็จ จ้องตอบสายเหยียดหยันของเขาด้วยความรู้สึกขุ่นเคือง “สงบสติอารมณ์หน่อย ไปโปรยตาหวานใส่ผู้ชายแบบนั้น ไม่สมกับเป็นเจ้าหญิงแห่งซูซาคุเลยนะ เก็บสีหน้าน่ารักๆ แบบนี้ไว้ให้พวกลูกน้องของเธอดูดีกว่า” แววตาฉันลุกโชนขึ้นมาทันทีที่ได้ยินแบบนั้น มองรอยยิ้มยะเยือกของคาวะอย่างขยะแขยง ความรู้เคียดแค้นก่อตัวแน่นในจิตใจ ไม่ถุยน้ำลายใส่หน้าก็นับว่าบุญแค่ไหนแล้ว “คิดว่าทำแบบนี้แล้วฉันจะเอานายไว้งั้นเหรอ” ตอนนี้ในหัวฉันมีแต่ความรู้สึกที่อยากจะฆ่าแกงคาวะ ลืมเรื่องอัยย์ไปเสียสนิท ทว่าคาวะกลับยิ้มเย็น ไม่ยี่หระต่อคำขู่ของฉันแม้แต่น้อย “ถ้าอยากให้คนอื่นรู้ก็แล้วแต่…” คาวะยกรีโมตจิ๋วในมือขึ้นแล้วกดปุ่ม ของที่อยู่ด้านในสั่นจี๊ดทันที ฉันกรีดร้องเสียงหลง ตะโกนสั่งให้หยุดอย่างใจหายใจคว่ำ ยิ่งนั่งทับแบบนี้ความรู้สึกที่ได้รับยิ่งรุนแรงขึ้นไปอีก “…อ๊า หยุด! บอกให้ยุ้ดดด!” “….”  คาวะปล่อยปุ่ม มองฉันใบหน้าเคร่งขรึม ฉันกัดริมฝีปากแน่น นั่งหายใจอย่างเหนื่อยหอบ กลืนน้ำลายหนืดๆ ลงคอ มองสบสายตาไร้หัวจิตหัวใจของคาวะแววตาสั่นระริก ทั้งโกรธทั้งกลัวในเวลาเดียวกัน “บางทีความตายก็ง่ายกว่าการมีชีวิตอยู่ว่าไหม” ฉันไม่มีอะไรจะพูดนอกจากกล้ำกลืนก้อนแข็งๆ ลงคอ ฝืนกลั้นไม่ให้น้ำตาแห่งความอดสูไหลออกมา ดวงตาคมกริบเพ่งมองสีหน้ารวดร้าวของฉันนานพอสมควร จนฉันเริ่มรู้สึกอึดอัด ลมหายใจปั่นป่วน เบือนหน้าหนีอย่างนึกรังเกียจ  หมอนั่นทำราวกับว่ากำลังพิจารณาอะไรบางอย่างบนใบหน้าสวยๆ ของฉันทำให้รู้สึกว่าน่าขนลุก! “ถ้าทนได้ ฉันจะยอมรับในตัวเธอ ปกป้องเธอ ไม่ให้ใครมาฆ่าได้ง่ายๆ สัญญาเลย” คาวะใช้สันนิ้วลูบไล้แก้มฉันเบาๆ ฉันเบือนหนีแต่เขาก็ตามมาไม่เลิก “...แต่ถ้าทนไม่ไหว จะบอกลูกน้องเธอให้มาเด็ดหัวฉันก็ได้ แต่ฉันคงไม่ยืนเฉยๆ ให้โดนฆ่า เผลอๆ คนที่จะตายก่อนอาจเป็นท่านซายูริแห่งกลุ่มซูซาคุก็ได้” ฉันกัดฟันกรอด มองร่างสูงเดินอ้อมมาขึ้นประตูรถอีกฝั่งในใจเดือดปุดๆ โกรธจนแทบลุกเป็นไฟ ตลอดทางที่นั่งมาในรถความรู้สึกนึกคิดของฉันถูกรบกวนด้วยเครื่องที่ฝังอยู่ข้างใน แต่ถึงร่างกายจะสั่นไหวสักแค่ไหน สมองฉันก็ไม่ถึงกับเป็นอัมพาต ฉันเข้าใจที่เขาบอกแล้ว หมอนั่นให้ฉันเลือกระหว่างชีวิตกับความอับอาย ถ้าฉันทนได้เขาก็จะยอมรับข้อเสนอ... แต่ถ้าฉันไม่ทนศักดิ์ศรีของฉันก็จะโดนย่ำยีไปด้วย บ้าชะมัด!  
Free reading for new users
Scan code to download app
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    Writer
  • chap_listContents
  • likeADD