“หมายถึงเข้าวังหรือเจ้าคะ” คิ้วเรียวก็ขมวดยุ่งขึ้นมาทันที “ข้าต้องไปด้วยหรือ”
สำหรับเคอหลิ่งหลินแล้ว นางเคยเข้าเมืองหลวงแต่ไม่เคยเข้าวังเลยสักครั้ง เพียงแค่คิดว่าต้องอยู่ในสถานที่อึดอัดที่ต้องคอยระวังกิริยามารยาทแล้วละก็...
“เป็นอะไรไป ผู้กล้าอย่างหลิ่งหลินไม่กล้าเข้าวังหลวงรึ” จ้าวจิ่นสือดูออกถึงความกังวลของนางแต่ก็อดล้อมิได้ ก็แน่ล่ะ เขาเติบโตในรั้วในวังก่อนออกมาใช้ชีวิตข้างนอกจึงไม่ได้รู้สึกเป็นกังวลอะไร แต่สำหรับคนที่ไม่คุ้นกับพิธีรีตองต่างๆ อย่างเคอ หลิ่นหลิงมันคงเป็นเรื่องที่น่ากังวลไม่น้อย
“ให้ข้าเข้าป่ายังจะดีเสียกว่า”
ทั้งบิดามารดาบุญธรรมถึงกับสำลักน้ำชา ฮูหยินอี้ซิ่วถึงกับหัวเราะออกมา เพราะหญิงสาวช่างทำตัวเหมือนสามีของนางสมัยที่ยังทั้งสองครองรักกันใหม่ๆ นัก
“หลินเอ๋อร์ แม่อยากให้เจ้าไปเป็นเพื่อนแม่ได้หรือไม่”
เคอหลิ่งหลินแอบถอนหายใจเบาๆ แต่ละเรื่องในวังหลวงที่ลอยเข้าหูนางไม่เห็นมีเรื่องสนุกสักเรื่อง นางจึงไม่เคยมีความคิดอยากย่างกรายเข้าไปใกล้ แต่เมื่อเห็นสายตาของแม่บุญธรรมแล้ว นางก็ได้แต่ก้มหน้าจัดการอาหารบนโต๊ะโดยไม่พูดอะไร
“ปีนี่พวกเจ้าทั้งคู่ก็อายุยี่สิบกันแล้ว พ่อกับแม่ก็เห็นว่ามันควรแก่เวลาที่พวกเจ้าจะแต่งงานกันได้เสียที”
อุ๊ก! แค่กๆ
เป็นเสียงสำลักของพี่น้องต่างสายโลหิต โดยเฉพาะเคอ หลิ่งหลินถึงกับเนื้อแกะติดคอ ฮูหยินอี้ซิ่วต้องยื่นมือมาทุบหลังให้นาง
“ท่าน...ท่านแม่ ข้าว่าท่านอย่าลำบากคิดเรื่องนี้ให้ข้าเลย” เคอหลิ่งหลินยิ้มเจือนเหมือนคนปวดท้อง
“ใช่...ท่านแม่ข้าเองก็อยากทำงานรับใช้ราชสำนักเช่นกัน” จ้าวจิ่นสือพูดขึ้นบ้าง
“หลิ่งหลิน” ฮูหยินอี้ซิ่วเรียกสติ “เจ้าอายุยี่สิบแล้ว สาวบ้านอื่นออกเรือนตั้งแต่สิบสี่สิบห้า แต่เจ้ายี่สิบแล้วนะ เจ้าจะให้แม่รู้สึกผิดที่เจ้าไม่ได้ออกเรือนเพราะมัวแต่ช่วยงานท่านแม่ทัพหรืออย่างไร”
“สิ่งที่ข้าทำล้วนทำด้วยความเต็มใจยิ่งแล้วท่านแม่” นางทำหน้าหมองก่อนจะเหลือบตามองคนที่ชะตากรรมเดียวกันแล้วฉีกยิ้มออกมา “ถ้าจ้าวจิ่นสือยังไม่ได้แต่งงาน ข้าจะแต่งก่อนก็กระไรอยู่นะเจ้าค่ะ”
“เดี๋ยวๆ เจ้าอย่ามาโบ้ยใส่ข้านะ” จ้าวจิ่นสือหันไปถลึงตาใส่เคอหลิ่งหลิน
“ถ้าจิ่นสือยังไม่แต่งงาน ข้าจะออกเรือนก่อนได้อย่างไรกัน” เคอหลิ่งหลินชิงพูดขึ้นมาก่อน แสร้งทำหน้าเป็นห่วงเป็นใยน้องชายที่อายุอ่อนกว่าเพียงครึ่งปีเท่านั่น
“แต่ว่ากันตามจริงคนเป็นพี่สมควรออกเรือนก่อนน้องมิใช่หรือ”
เอาซิ! หากนางอยากเป็นพี่สาวนัก เขาก็ยกตำแหน่งให้นางได้แต่งงานก่อนเขา
“จะทำเช่นนั้นได้อย่างไร ยิ่งเจ้าเห็นข้าเป็นพี่ พี่สาวคนนี้มีหน้าที่ต้องดูแลน้องชายให้เป็นฝั่งเป็นฝาเสียก่อน” นางประสานสายตาอย่างไม่ยอมแพ้
“พอเถอะๆ จะเกี่ยงกันไปไย ถึงอย่างไรพวกเจ้าทั้งสองต้องแต่งงาน” แม่ทัพจ้าวอาศัยความเป็นบิดามากำราบเด็กสองคนที่ไม่รู้จักโตเสียนิ่งสนิท “จะใครแต่งก่อนแต่งหลังก็ต้องแต่งด้วยกันทั้งคู่นั้นแหละ”
“เอาล่ะๆ เรื่องนี้คุยกันวันหลังก็ได้ เจ้าทั้งสองเพิ่งกลับมาเหนื่อยๆ ไปพักผ่อนกันก่อนดีกว่า”
“เจ้าค่ะท่านแม่”
แม่ทัพกับฮูหยินออกจากห้องไป เคอหลิ่งหลินถอนหายใจยาวแล้วลุกขึ้นจากโต๊ะอาหารเดินออกมาด้านนอก
“ที่หลังของเจ้าเป็นอย่างไรบ้าง” จ้าวจิ่นสือส่งเสียงถามเจือความห่วงใย
“ไม่ได้เป็นอะไรมากหรอก ข้าแค่กลิ้งล้มไปหลายตลบและตกหลังม้าไปครั้งสองครั้งเท่านั้น”
“คราวหน้าคราวหลังเจ้าก็เลิกเอาตัวเองมาบังข้าเสียที ข้าดูแลตัวเองได้” เขารู้ดีว่าที่นางบาดเจ็บเพราะค่อยปกป้องเขาเสมอ
เคอหลิ่งหลินหมุนตัวกลับมาแล้วยิ้มเจ้าเล่ห์ เป็นรอยยิ้มแบบที่จ้าวจิ่นสือรู้ดีว่า นางมักตีหน้าซื่อให้คนอื่นหลงกลอยู่เสมอ นางยื่นมือไปบีบปลายจมูกของเขาราวกับอีกฝ่ายเป็นเด็กน้อย
“หลิ่งหลิน!” จ้าวจิ่นสือปัดมือของนางออก เขาอุตส่าห์เป็นกังวล แต่นางกลับทำเหมือนเขาเป็นน้องชายที่นางต้องดูแล
“เจ้าก็รู้ว่าข้าไม่เป็นอะไรง่ายๆ ยังไงต้องมีชีวิตอยู่ดื่มเหล้ามงคลของเจ้า” เคอหลิ่งหลินหัวเราะคิกคักไม่ได้มีกิริยาอ่อนหวานอย่างหญิงสาวทั่วไปสักนิด
“เจ้าอย่ามาผลักภาระให้ข้า”
“อย่างไรกัน เจ้ามีหญิงที่หมายปองในใจแล้วหรือไม่”
จะว่าไปก็อย่างที่ท่านแม่พูด อายุขนาดพวกเขาควรแต่งงานออกเรือนกันได้แล้ว แต่ด้วยติดภารกิจชายแดนซึ่งเหมือนข้ออ้างเสียมากกว่าทำให้ทั้งคู่ยังไม่ได้แต่งงาน สำหรับเคอหลิ่งหลินไม่มีคำว่า ‘แต่งงาน’ อยู่ในหัวน้อยๆ ของนางเลย หากไม่ได้หมายความว่านางจะไม่มีชายในดวงใจนี่นะ
“แล้วเจ้าเล่าไปถูกตาต้องใจบุรุษบ้านไหนเข้า ถึงขนาดฝึกเป่าขลุ่ย เขียนภาพแถมยังอ่านตำราโคลงกลอนต่างๆ อีก”
“จ้าวจิ่นสือ!” นางถลึงตาใส่แถมยกหมัดขึ้นข่มขู่
แต่อีกฝ่ายกลับหัวเราะร่าด้วยความสะใจ เพราะเขารู้ความลับของนาง อย่างเคอหลิ่งหลินนะหรือจะอยู่ดีๆ ลุกขึ้นมาทำตัวเป็นกุลสตรี ท่วงท่าการเดินหรือรับประทานอาหาร ตลอดจนฝึกดนตรีหรือเขียนภาพ ทั้งที่ก่อนหน้านี่ท่านแม่เคยหาอาจารย์มาฝึกสอนแต่นางก็แทบไม่สนใจเลยสักนิด จนท่านแม่อ่อนใจยอมตามใจนางไม่ส่งใครมาอบรมนางอีก
“เอาน่าพี่สาว อยากให้ข้าส่งเกี้ยวขนาดแปดคนหามไปรับเจ้าบ่าวบ้านไหน ข้าก็ยินดีช่วยเหลือให้พี่สาวได้แต่งงานออกเรือน”
“นี่เจ้าอยากเห็นออกจากบ้านเจ้าไปเร็วๆ ละซิ” เคอหลิ่งหลินแสร้งก้มหน้ายกหลังมือขึ้นเช็ดที่ขอบตา
จ้าวจิ่นสือปรายตามองแล้วส่งเสีย เหอะ! ในลำคอ “เจ้าใช้ลูกไม้นี่กับข้าไม่ได้หรอก”
มือที่แสร้งเช็ดน้ำตาชะงักไปแล้วเงยหน้าขึ้นกัดฟันฉีกยิ้มให้ “เรียกข้าว่าพี่สาว แต่จิกกัดข้าได้ทุกคำ”
“ก็ใครอยากให้เจ้าเรียกข้าว่าน้องชายล่ะ” เขากอดอกยืนตัวตรง แน่นอนว่าเวลานี้เขาไม่ใช่เด็กหนุ่มรูปร่างผอมบางคนนั้นอีกแล้ว ไม่หลงมารยาของนางอีกแน่ๆ
“ข้าไม่คุยกับเจ้าแล้ว” ที่ไม่อยากคุยเพราะถูกจับผิดได้นะซิ เคอหลิ่งหลินหมุนตัวจะเดินกลับห้อง แต่ได้ยินเสียงจ้าวจินสือเรียกไว้ก่อน
“กลับห้องไปพักผ่อนเสีย ไม่ใช่ไปแอบเป่าขลุ่ยให้ต้นไม้
ในป่าฟัง”
หญิงสาวกำมือแน่นข่มความโกรธ เขาเป็นพยาธิในท้องนางหรือไรกันถึงได้รู้ว่านางจะทำอะไร เคอหลิ่งหลินหันมาแล้วค่อยๆ ฉีกยิ้มหวานอย่างฝืนใจ เดินตรงกลับห้องพักของตัวเอง
จ้าวจิ่นสือคลี่ยิ้มอ่อนโยนแบบที่เคอหลิ่งหลินไม่มีวันได้เห็นบนใบหน้าของเขา เขาเป็นห่วงนางเช่นพี่น้องห่วงใยกัน หลายปีมานี่เขาคอยเฝ้ามองดูนางเสมอ แม้คนอื่นไม่กล้ามองนางเต็มสองตา เพราะหวาดกลัวชื่อเสียงของเคอหลิ่งหลิน
แต่กระนั้นนางเป็นคนที่จิตใจอ่อนโยนและขี้สงสารคนเป็นที่สุด นางยอมเจ็บตัวเองเสียดีกว่าต้องลงมือฆ่าใคร หากแต่เมื่อใดที่ต้องพรากลมหายใจของมันผู้นั้น นางกลับสงบนิ่งและดูเหี้ยมโหดอย่างที่ใครต่อใครลื่อกันไป เพราะเช่นนี้นางจึงไม่มีใครกล้ามาสู่ขอแต่งงาน ดูว่านางเองไม่ได้เดือดร้อนใจอะไรนัก แต่ในบางครั้งเขารู้สึกว่า นางคงมีชายในดวงใจที่ทำให้นางอยากเป็นหญิงสาวในหัวใจของคนผู้นั้น นางถึงได้พยายามทำอะไรที่ไม่เคยทำแม้ดูขัดเขินพิกลนัก
ชายหนุ่มหัวเราะออกมาเบาๆ นางจะปิดเขาได้นานแค่ไหน เขาแค่ไม่อยากสืบเท่านั้นหรอกนะ ใครกันหนอที่ทำให้พี่สาวของเขาหวั่นไหวได้เพียงนี้.