คีติกาสะอึก เธอไม่คิดว่าการที่เธอเปิดร้านอาหารจะทำให้ทั้งพ่อกับแม่โกรธเกลียดเธอมากกว่าเดิม ถึงขนาดตัดขาดไม่นับเธอเป็นลูกอีกต่อไป
“เตี่ย ไอ๊ หลิวไม่เคยอ้างชื่อร้านที่บ้านเลยนะ” คีติกาชี้แจงเสียงสั่น แต่มยุรีชี้หน้าลูกสาว
“เดี๋ยวนี้ปีกกล้าขาแข็ง กล้าทำไม่กล้ารับ ลื้อเอาชื่อเสียงร้านของพวกอั๊วมาหากินยังกล้ามาเถียง”
ปิยะดายกมือห้ามไม่ให้คีติกาตอบโต้อะไรอีก
“ไม่เป็นไร เคยคุยกันแล้วนะว่ายกอาหลิวให้อั๊วแล้วจะไม่มายุ่งเกี่ยวกันอีก จำคำพูดตัวเองได้รึเปล่า พวกลื้ออย่ามายุ่งกับอาหลิว”
“อั๊วก็ไม่อยากยุ่ง ถ้ามันไม่เนรคุณพวกอั๊ว”
“อั๊วไม่เห็นว่าอาหลิวจะเนรคุณลื้อสองคนตรงไหน ร้านนี้ชื่อครัวปิยะดาถ้าลื้อยังไม่ได้ดูชื่อร้านตอนเดินเข้ามาตอนเดินออกไปก็ลองดูเอา ไม่มีตรงไหนบอกว่าเป็นสาขาของร้านอึ้งสุนฮง หรืออ้างว่าเป็นลูกสาวเฮียเฉิงกับซ้อเหลียนจากเยาวราช เมนูอาหารก็ต่างจากร้านของพวกลื้อ ไม่เชื่อก็ถามลูกค้าที่เข้ามาที่นี่ได้ว่าเข้ามากินที่ร้านนี้เพราะชื่อเสียงของร้านของพวกลื้อหรือเปล่า”
ลูกค้าที่นั่งในร้านพากันส่ายหน้า เพราะส่วนใหญ่ไม่เคยได้ยินชื่อร้านอึ้งสุนฮงด้วยซ้ำ
“ไหน ๆ อาเหลียนก็บอกว่าพวกลื้อมีลูกแค่สองคน ส่วนอาหลิวไม่ใช่ ก็หวังว่าต่อไปนี้พวกลื้อจะไม่มายุ่งกับอาหลิวอีก” เจ้าของเงินทุนของร้านครัวปิยะดาย้ำช้า ๆ ชัด ๆ อีกครั้ง
สองผัวเมียฮึดฮัดกลับออกไป ทั้งเสียหน้าและเจ็บใจที่ทำอะไรลูกสาวแสนชังไม่ได้
คีติการู้สึกหดหู่ใจ ถ้ามารดาของปกเกศไม่บังเอิญมาที่ร้าน เธอก็ไม่รู้จะรับมือพ่อกับแม่อย่างไร เพราะแต่ไหนแต่ไรมาก็ไม่เคยพูดอะไรได้ และเรื่องก็คงไม่จบง่าย ๆ แน่ หญิงสาวถอนหายใจก่อนจะหันไปหันไปพนมมือไหว้ขอโทษลูกค้าที่นั่งลุ้นระทึกตั้งแต่มารดาของเธอเริ่มเปิดฉากด่าว่าเธออย่างไม่ไว้หน้าใคร
“ต้องขอโทษคุณลูกค้าทุกท่านด้วยนะคะ ที่มีเหตุรบกวนเวลาอาหารของทุกท่าน วันนี้ทางร้านแถมมะม่วงหาวมะนาวโห่ลอยแก้วให้ลูกค้าทุกโต๊ะเป็นพิเศษค่ะ” ของหวานซิกเนเชอร์ของร้านที่ลูกค้าติดใจและสั่งกันทุกโต๊ะถูกนำมาแถมให้ลูกค้าที่มื้ออาหารต้องหยุดชะงักเพราะเหตุการณ์เมื่อครู่ คีติกาเดินไปขอบคุณลูกค้าชายที่ช่วยออกหน้าโต้ตอบมยุรีที่กำลังดุด่าเธอ ทำเอามารดาของเธอที่ขึ้นชื่อเรื่องฝีปากไม่สองรองใครในเยาวราชถึงกับเถียงไม่ออก เธอไม่ได้อยากให้ใครมาตำหนิบุพการีของเธอ แต่ในสถานการณ์ตอนนั้นยังไงเธอก็ต้องขอบคุณลูกค้าท่านนี้
“ไม่เป็นไรครับ ผมไม่คิดว่าสมัยนี้จะยังมีครอบครัวคนจีนที่ไม่ชอบลูกสาวเอามากขนาดนี้เอ่อ...ผมต้องขอโทษนะครับ ยังไงนั่นก็เป็นแม่ของคุณ”
คีติกายกมือไหว้ขอบคุณลูกค้าท่านนี้อีกครั้ง
ปิยะดายืนมองว่าที่สะใภ้ที่แม้สภาวะจิตใจจะถูกสั่นคลอนจากสถานการณ์ก่อนหน้านี้ไม่น้อยแต่ก็ยังสามารถจัดการกับสิ่งที่อยู่ตรงหน้าได้อย่างน่าชื่นชมแม้จะยังไม่ได้ตบแต่งกับลูกชายอย่างเป็นทางการแต่นางก็รักและยอมรับคีติกาในฐานะสะใภ้คนโตของบ้านไปนานแล้ว ว่าที่แม่สามีผู้แสนดีพาคีติกาขึ้นมาที่ชั้นบนของร้าน พูดปลอบจนเธอรู้สึกดีขึ้น
“หลิวขอบคุณม้าจริง ๆ ค่ะ ถ้าวันนี้ไม่ได้ม้า หลิวคงแย่แน่” หญิงสาวกราบขอบคุณปิยะดาจากใจและซาบซึ้งในความเมตตาที่นางมีต่อที่คนไร้ญาติขาดมิตรอย่างเธอ
ปกเกศรู้เรื่องจากมารดาถึงเรื่องที่เกิดขึ้นกับคีติกาวันนี้ ปิยะดาเกรงว่าลูกชายจะทำงานจนละเลยลูกสะใภ้จึงกำชับให้เขาช่วยปลอบใจเธออีกแรง เพราะตอนนี้คีติกาถูกครอบครัวที่ให้กำเนิดตัดขาดอย่างสิ้นเชิงแล้ว
“ไม่ต้องไปสนใจหรอก หลิวออกมาอยู่กับเฮียแล้วก็ไม่ใช่คนของบ้านนั้นอีกแล้ว ดู ๆ ไปแล้วเตี่ยกับไอ๊ของหลิวก็ไม่ได้นับหลิวเป็นลูกตั้งแต่ตอนที่ให้หลิวขนของออกมาจากบ้านแล้วมั้ง อย่าคิดเยอะ พรุ่งนี้เฮียจะพาไปช็อปปิงแก้เครียดแล้วกัน”
ถึงตอนนี้ปกเกศจะไม่ได้...รัก แต่เขาก็ไม่ได้รังเกียจอะไรเธอ การพาผู้หญิงช็อปปิงเป็นวิธีทำให้พวกเธอผ่อนคลายได้ดีที่สุดแล้วในความคิดของเขา