nc ที่เหลือ ติดตามในฉบับเต็มนะคะ
จากที่แพลนว่าจะพาคีติกาออกไปช็อปปิงข้างนอกก็ต้องเปลี่ยนเป็นวันต่อมา เนื่องจากเมื่อวานทั้งเขาและเธอก็ต้องการการพักผ่อนร่างกายและบั้นท้ายที่ใช้งานอย่างหนักหน่วง คีติกาไม่เคยช็อปปิงซื้อของแบบ Non Stop มาก่อนในชีวิต ครั้งนี้ฝันของเธอที่คล้ายกับผู้หญิงหลายคนเกิดขึ้นจริง ปกเกศให้อิสระเธอเลือกซื้อของทุกอย่างที่อยากได้โดยไม่มีคำว่าเกรงใจ และเขายังเป็นคนเดินหิ้วของให้เธอเต็มมือทั้งสองข้างโดยไม่ปริปากบ่น
“เฮียไหวมั้ยคะ”
หญิงสาวหันมายิ้มถาม ในมือชูบัตรเครดิตที่มีวงเงินไม่จำกัด
“เอาเลยตามสบาย อยากได้อะไรก็ซื้อ”
ถือเสียว่าเป็นการรับขวัญคู่หมั้นอย่างเธอแล้วกัน คีติกาหลุบตามองถุงสินค้าแบรนด์เนมทั้งคลาสสิกแบรนด์ไปถึงระดับลักชัวรีแบรนด์เต็มสองมือเขาแล้วก็คิดว่าน่าจะเพียงพอแล้วสำหรับวันนี้ ความจริงเธอไม่ได้อยากจะได้ของมากมายนัก ทว่าเป็นเขาเองที่บอกว่าให้เลือกซื้อไว้เผื่อวันข้างหน้าต้องออกงานด้วยกันจะได้มีเครื่องประดับสวย ๆ ใส่ เนื่องจากตัวเขาเองก็รู้ว่าเธอไม่มีเครื่องประดับอะไรที่สามารถสวมใส่ออกงานใหญ่ ๆ ได้เลย คีติกาจึงเลือกซื้อให้เหมาะกับตัวเอง
หลังช็อปปิงจนพอใจชายหนุ่มก็ขับรถพาเธอไปรับประทานมื้อเย็นที่บ้านหลังใหญ่ของเขาอย่างพร้อมหน้าพร้อมตา บรรยากาศของครอบครัวเกียรติยั่งยืนเต็มไปด้วยความสนิทสนมรักใคร่อย่างที่คีติกาไม่เคยสัมผัสจากครอบครัวของเธอ ทุกคนต้อนรับเธออย่างอบอุ่น ไม่มีสีหน้าเคลือบแคลง ไม่มีสายตาดูแคลน สมาชิกทุกคนปฏิบัติกับเธออย่างดีเหมือนเป็นคนในครอบครัว ปวเรศ หรือ เต๋อ ลูกชายคนที่สองของบ้านและปรียาดาหรือ ผิงผิง น้องสาวคนเล็กเรียกเธออย่างให้เกียรติว่า ‘อาซ้อ’ ที่แปลว่าพี่สะใภ้ ปรียาดาเกิดปีเดียวกับคีติกาแต่อ่อนเดือนกว่า สองสาวอายุไล่เลี่ยกันจึงคุยกันถูกคอ
ระหว่างรอแม่บ้านจัดเตรียมอาหารคนในครอบครัวก็มานั่งคุยกันที่ห้องนั่งเล่นของบ้าน
“เป็นไงบ้างจ๊ะอาหลิว ย้ายมาอยู่กับอาเติ้งแล้วพอจะอยู่กันได้มั้ย”
ปิยะดาเอ่ยถามยิ้ม ๆ คีติกาหลุบสายตาที่รู้สึกเขินอายเล็กน้อย
“ได้ค่ะอาอึ้ม”
“ยังเรียกอาอึ้มอีก เรียกม้าเหมือนอาเติ้งได้แล้ว ตอนนี้ก็อยู่ดูแลกันไปก่อนนะ ม้าจะรีบหาฤกษ์แต่งให้ได้ไวที่สุด พอแต่งแล้วก็อยากให้มีหลานให้ม้าอุ้มไว ๆ มีเสียงหัวเราะเสียงร้องไห้ของเด็กบ้านจะได้มีสีสัน ม้าอยากอุ้มหลานจะแย่อยู่แล้ว”
“ก็ดีนะ รีบแต่งแล้วก็รีบมีหลานให้ป๊ากับม้าเลย รอนานไปเดี๋ยวป๊ากับม้าวิ่งตามหลานไม่ไหว” เจ้าสัวก่อเกียรติพูดเสริมภรรยาอย่างอารมณ์ดี
“ป๊าม้า...นี่อาซ้อค่ะ ไม่ใช่เครื่องไฟฟ้าจะได้เปิดปุ๊บติดปั๊บได้อย่างใจ” ปรียาดาเอ่ยแซวมารดากับบิดาที่เข้ากันเป็นปี่เป็นขลุ่ย ในขณะที่ปวเรศนั่งยิ้มเป็นผู้ฟังที่ดี ส่วนปกเกศเลิกคิ้วเหลือบตามองคีติกา
คำพูดที่เหมือนไม่คิดอะไรของผู้ใหญ่ทั้งสองแต่คีติกากลับรู้สึกถึงแรงกดดันที่มองไม่เห็น เธออดคิดไม่ได้ว่าการที่บิดามารดาของปกเกศยอมรับเธอมาเป็นสะใภ้อย่างง่ายดายเพียงเพราะต้องการหลานคนแรกเร็ว ๆ หรอกหรือ
ปกเกศพาคีติกากลับมาถึงคอนโดประมาณสามทุ่ม เมื่อเข้ามาในห้องแล้วเขาก็เดินแยกไปที่ห้องนอนส่วนตัวของตัวเอง ก่อนจะเข้าประตูไปก็เพียงหันมายิ้มให้บาง ๆ ให้เป็นอันรู้กันว่าต่างฝ่ายก็ต่างไปจัดการธุระส่วนตัว ปกเกศบอกกับเธอว่าเขาชินกับการนอนคนเดียว ไม่ถนัดที่จะมีใครมานอนอยู่ข้าง ๆ ทั้งคืน มันทำให้เขานอนไม่หลับและตัวเธอก็จะพลอยอึดอัดไปด้วย ถึงอย่างไรพวกเขาก็อยู่ภายในพื้นที่เดียวกันต้องการสิ่งใดก็เพียงเปิดประตูเข้าไปในห้องของอีกฝ่ายไม่มีอะไรต้องคิดมาก ซึ่งคีติกาก็พอใจที่จะแยกห้องนอนกับเขาโดยไม่มีอะไรต้องขัดข้อง เธอก็หวังจะมีพื้นที่ส่วนตัวเป็นของตัวเองบ้างเหมือนกัน ซึ่งช่องว่างที่เกิดขึ้นนี้คีติกาไม่ได้รู้สึกถึงอะไร แต่สำหรับปกเกศ...มันมีบางอย่างมากกว่าเพียงแค่ไม่ชินที่จะมีคนอื่นมานอนร่วมเตียงด้วย
อาบน้ำเสร็จเรียบร้อยหญิงสาวก็กระโดดขึ้นเตียงไถมือถือเล่นพักใหญ่ แชตกับเพื่อนซึ่งปกติเธอไม่ค่อยได้มีเวลาแบบนี้นัก สรุปท้ายด้วยการนัดเจอกัน จิวและออมมี่เป็นเพื่อนสนิทเพียงสองคนที่คีติกามีอยู่ ทั้งคู่บอกให้เธอพาคู่หมั้นมาเจอกันบ้างเพราะอยากเห็นหน้าตาและจะได้ทำความรู้จักว่าที่สามีของคีติกาด้วย หญิงสาวตอบตกลง ท่องโลกโซเชียลต่อจนสายตาล้าเธอจึงวางมือถือแล้วพักผ่อน
วันต่อมาคีติกาลุกขึ้นไปเตรียมอาหารเช้าให้ชายหนุ่มที่กำลังเตรียมตัวออกไปทำงานที่บริษัท หญิงสาวสวมชุดนอนตัวโคร่งคล้ายเสื้อเชิ้ตตัวใหญ่ยืนขยับตัวอย่างคล่องแคล่วอยู่หน้าเคาน์เตอร์ครัวขณะกำลังเตรียมอาหาร ผมยาวรวบขมวดเป็นมวยหลวม ๆ ไว้กลางศีรษะ มีปอยผมเล็ก ๆ ตกเคลียท้ายทอยและมีผ้าผูกผมคาดเก็บลูกผมบนศีรษะทำให้แม่ครัวคนนี้ดูเซ็กซี่ไม่เบา ปกเกศแต่งตัวเสร็จก็เดินออกมาจากห้องนอน เขาสวมเชิ้ตแขนยาวขนาดพอดีตัวสีเข้มกางเกงสแล็กตัดเย็บประณีต ร่างสูงหนึ่งร้อยแปดสิบห้าเซนติเมตรผึ่งผายสง่างามและเปี่ยมไปด้วยเสน่ห์ของบุรษเพศ ทรงผมจัดเซตอย่างเป็นทางการเพราะมีประชุมสำคัญในตอนเช้า ชายหนุ่มถึงกับยืนนิ่งอย่างลืมตัวไปชั่วขณะ สายตาจดจ้องอยู่ที่แผ่นหลังบางซึ่งกำลังเคลื่อนไหวหยิบจับอุปกรณ์ครัวด้วยท่าทางเป็นธรรมชาติ ในใจล่องลอยไปกับภาพตรงหน้า ก่อนที่คีติกาจะหันกลับมาเห็น ดวงตากลมโตคู่หวานเบิกกว้างก่อนจะส่งยิ้มอย่างสดใส
“เฮียตื่นแล้วเหรอคะ หลิวเตรียมอาหารเช้าไว้ให้แล้วนะคะ รู้ว่าเฮียจะออกไปทำงานวันนี้”
รอยยิ้มของเธอดูสวยงามราวกับดอกไม้ที่บานรับแสงอรุณ ปกเกศพลิกข้อมือเพื่อดูเวลาบนเรือนเวลาที่เขาสวมใส่ ยังพอมีเวลาที่เขาจะนั่งรับประทานอาหารฝีมือเธอสักสิบนาที ซึ่งในตอนแรกเขาคิดว่าจะไปดื่มกาแฟที่ทำงาน ไม่บ่อยนักที่เขากินมื้อเช้าอย่างเต็มรูปแบบ ยกเว้นจะนอนค้างที่บ้านเพราะมารดาจะตื่นเช้ามาจัดการเรื่องอาหารการกินมื้อแรกของวันให้ลูก ๆ เสมอ
‘อาหารมื้อเช้าสำคัญมาก ม้าไม่อยากให้ลูกม้าสมองเสื่อมก่อนวัย’
คุณปิยะดาจะย้ำแบบนี้หากเขาปฏิเสธจะกินมื้อเช้าก่อนออกจากบ้าน
“อืม”
เมื่อปกเกศเดินมานั่งลงที่โต๊ะ คีติกาก็นำอาหารเช้าที่เธอทำมาเสิร์ฟให้ มีทั้งข้าวต้มกุ้ง ขนมปังปิ้ง ไส้กรอกไข่ดาว แฮม ให้เขาได้เลือกรับประทานตามชอบ ก่อนจะเดินไปรินน้ำใส่แก้วมาวางไว้ด้านขวามือของเขา และนั่งลงฝั่งตรงข้าม
“ไม่กินด้วยกันล่ะ” เขาเอ่ยขึ้นขณะมองหน้าแม่ครัวที่ทำให้ต้องลอบกลืนน้ำลายอย่างข่มอารมณ์นั่งยิ้มนัยน์ตาเป็นประกายมองเขาอยู่
“ยังค่ะ หลิวยังไม่หิว หลิวอยู่ห้องทั้งวันทานตอนไหนก็ได้ เฮียทานก่อนเถอะ”
พูดแล้วก็ส่งยิ้มหวาน ปกเกศพยักหน้ารับเมื่อเธอยังไม่อยากกินเขาก็ไม่เซ้าซี้ และนิสัยส่วนตัวเขาก็เป็นคนไม่ชอบพูดรบเร้าร่ำไรกับใครอยู่แล้ว เรื่องเดียวที่เขาจะเซ้าซี้และเอาจากเธอให้ได้ก็คงจะเป็นเรื่องเดียว คือเรื่องบนเตียง ปกเกศกินข้าวต้มกุ้งไปได้สองสามคำคนที่จ้องมองอยู่ฝั่งตรงข้ามก็เอ่ยขึ้น
“เฮียคะ”
“...”
“เอ่อ... วันเสาร์นี้เฮียพอจะมีเวลาว่างสักสองชั่วโมงมั้ยคะ”
“มีอะไรเหรอ”
“คือ...” อมยิ้ม “หลิวอยากชวนเฮียไปรู้จักกับเพื่อนหลิวหน่อยค่ะ หลิวมีเพื่อนแค่สองคนแล้วก็ไม่ได้เจอกันนานแล้ว พอดีเมื่อคืนคุยกันเลยนัดเจอกันค่ะ”
ดวงตากลมหวานที่มองเขามีความออดอ้อนอยู่ในนั้น ปกเกศคิดแล้วก็ไม่เห็นมีอะไรเสียหายจึงพยักหน้า
“ได้สิ ไม่มีปัญหา”
“เย่ ขอบคุณนะคะเฮีย”
คีติกาชูมือร้องดีใจเหมือนเด็ก เธอดูมีชีวิตชีวาขึ้นหลายเท่าตั้งแต่หิ้วกระเป๋าออกมาจากบ้านหลังนั้น
^
^
^
***เฮียจะออกลายตอนไหน โปรดติดตามด้วยน้า