คีติกากลับมาถึงคอนโดก็เห็นว่าปกเกศก็กลับมาถึงก่อนแล้ว ปิยะดากำชับเธอนักหนาว่าถึงจะทำงานนอกบ้านและเหนื่อยมากแค่ไหน หน้าที่ของภรรยาก็ต้องไม่ขาดตกบกพร่อง เธอต้องไม่ละเลยคนที่จะเป็นสามี ทุกวันหญิงสาวจะคิดเมนูและนำวัตถุดิบกลับมาด้วยเพื่อเตรียมทำอาหารเย็นให้เขา แม้ว่าหลัง ๆ มานี้เขาจะไม่ค่อยกลับมากินก็ตาม แต่วันนี้เขากลับมาถึงห้องเร็วกว่าปกติ
“วันนี้เฮียกลับเร็วจังค่ะ หิวหรือยังคะ เดี๋ยวหลิวรีบทำอาหารเย็นให้นะคะ” คีติกาทักทายเขาพลางส่งยิ้มให้ ปกเกศเพียงเงยหน้าจากจอไอแพดขึ้นมองเธอแวบหนึ่งแล้วก้มหน้าดูสิ่งที่อยู่ในมือตามเดิมไม่ได้เอ่ยตอบ หญิงสาวเก็บรอยยิ้มแล้วรีบเดินเข้าไปในครัว จนเมื่อเตรียมอาหารเสร็จคีติกาก็ยืนทำใจครู่หนึ่งก่อนจะเดินไปเชิญเขา ปกเกศวางไอแพดลงบนโต๊ะกระจกเตี้ยด้านหน้าและลุกเดินมาที่โซนห้องกินอาหาร บรรยากาศปกคลุมอย่างอึมครึม เขาไม่พูดเธอจึงไม่กล้าชวนพูดคุย ก้มหน้ารับประทานอาหารจนอิ่ม ระหว่างนั้นโทรศัพท์มือถือของเขาที่วางไว้บนโต๊ะก็สั่นถี่ ๆ เมื่อมีคนส่งข้อความเข้ามา คีติกาเหลือบมองเพราะเขาไม่สนใจมันสักที ในใจเธอคิดว่าคนที่ส่งข้อความรัวมาขนาดนี้อาจจะมีธุระก็เป็นได้ ครั้นเบนสายตากลับมามองหน้าเขาก็พบว่าเขากำลังมองเธออยู่ด้วยสายตานิ่ง ริมฝีปากอิ่มสวยเม้ม ก่อนจะลองเอ่ยถาม
“เอ่อ...เฮียไม่ดูโทรศัพท์หน่อยเหรอคะ คนที่ส่งข้อความมาถี่ขนาดนั้นอาจจะมีเรื่องสำคัญอยากจะคุยกับเฮีย”
คิ้วหนาขมวดเข้าหากัน สีหน้าเริ่มแสดงความไม่พอใจเหมือนเธอมายุ่มย่ามเรื่องของเขา
“ถ้าเขามีเรื่องสำคัญ ก็ต้องโทร. เข้ามาแล้วไม่ใช่ส่งข้อความแบบนี้ อยู่ด้วยกันมาเกินครึ่งปีเธอก็น่าจะรู้นิสัยฉันแล้วนะ ไม่น่ามาพูดแบบนี้”
“ค่ะ เราอยู่ด้วยกันมาเกินครึ่งปีแล้ว...”
คีติกาทวนประโยคที่เขาพูดเสียงอ่อน มองหน้าเขาด้วยดวงตาที่แฝงความเด็ดเดี่ยว ตัดสินใจพูดในสิ่งที่คิดว่าน่าจะสำหรับทั้งเขาและเธอ
“ถ้าเฮียคิดว่าเราไม่ควรอยู่ด้วยกันต่อ หรือเฮียไม่อยากให้หลิวอยู่ที่นี่แล้ว เฮียก็บอกหลิวได้เลยนะคะ หลิวจะได้เตรียมหาที่อยู่ใหม่”
ที่พูดแบบนี้ก็เพราะเธอรู้ตัวเองดีว่า... เขาไม่ได้รักเธอ หากเขาต้องการจะไปหาผู้หญิงที่เขาคิดว่าเหมาะสมคู่ควร หรือที่เขาถูกใจเธอก็ยินดีที่ถอยออกมา แต่ช่วยบอกกันก่อนสักหน่อยเถิดเพราะเธอจะได้หาที่ทางให้กับชีวิตตัวเองได้ หากจะไปอยู่ที่ร้านอาหารนั้นมันก็ไม่ใช่ของเธอเสียทั้งหมด ชื่อร้าน รวมถึงพื้นที่ทุกตารางนิ้วในร้านมันเป็นของคุณปิยะดามารดาของเขา หากเธอมีปัญหากับลูกชายเจ้าของร้านตัวจริง เธอยังจะไปอยู่ที่นั่นได้หรือ พูดจบคีติกาก็ก้มหน้าเงียบ ไม่สบตาคนที่กำลังมองเธอด้วยแววตาถมึงทึง
คำพูดนั้นทำให้ปกเกศกระแทกช้อนส้อมลงบนจานจนเกิดเสียงดัง ไม่เข้าใจว่าทำไมเธอถึงพูดเรื่องไร้สาระแบบนี้ขึ้นมา เขาก็ไม่ได้ทำอะไรผิดไปสักหน่อย ผู้หญิงทำไมชอบหาเรื่อง หรือว่าคนที่อยากไปจากเขาจริง ๆ แล้วคือเธอต่างหาก
“หึ พูดแบบนี้ คนที่อยากไปคงเป็นเธอเองล่ะมั้ง”
คีติกาเงยหน้าขึ้นมองเขาสีหน้างงงัน
“จะพูดอะไรก็พูดมาตรง ๆ ไม่ต้องมาโบ้ยว่าฉันไม่อยากให้เธออยู่ต่อ ทำไมอยู่ที่นี่มันอึดอัดมากนักหรือไง”
ก่อนที่เธอจะตอบเขาว่ามันไม่ใช่อย่างที่เขาคิด...เสียงโทรศัพท์ก็ดังขึ้นแทรก ปกเกศหันไปมอง มือหนาคว้าอุปกรณ์สื่อสารเครื่องหรูของเขาขึ้นมาดู และเลือกที่จะลุกไปรับสายนั้นมากกว่ามาทะเลาะเรื่องไร้สาระกับเธอ หญิงสาวหลุบตาลง ยิ้มหม่น
ปกเกศเข้ามารับสายของวลิตาในห้องนอนส่วนตัว “ครับ วาวา”
{เฮียคะ พรุ่งนี้เฮียว่างมั้ยคะ วาวามีเรื่องจะคุยด้วยค่ะ คุยผ่านโทรศัพท์ไม่สะดวก เราไปดินเนอร์แล้วค่อยคุยกันนะคะ ร้านเดิมก็ดี วาวาชอบ}
“...อืม...ขอโทษด้วยนะครับ คืนพรุ่งนี้เฮียมีนัดกับคุณแม่แล้ว”
เขาไม่ได้โกหกเธอ คืนพรุ่งนี้มารดานัดสมาชิกในครอบครัวไปกินมื้อเย็นกันที่บ้านจริง ๆ แต่เขาก็เหมือนจะกังวลว่าอีกฝ่ายจะไม่สบายใจคิดว่าเขาเลี่ยงจะเจอเธอจึงยื่นข้อเสนอให้เธอว่า
“เป็นมะรืนได้มั้ยล่ะ”
{ได้สิคะเฮีย งั้นมะรืนเจอกันที่ร้านเดิมนะคะวาวาจะรอ}
น้ำเสียงวลิตาก้องกังวานขึ้นด้วยความดีใจ ทำให้เขานึกถึงรอยยิ้มหวานหยดบนใบหน้าของเธอได้ว่ามันสวยงามมากเพียงไหน หากแต่ตอนนี้เขาไม่ควรคิดถึงรอยยิ้มนั้นแล้ว
“ครับ”
วางสายของวลิตาแล้ว ปกเกศก็เดินออกมาจากห้อง มองไปที่โต๊ะรับประทานอาหารก็พบแต่ความว่างเปล่า คีติกาเก็บจานชามไปล้างทำความเรียบร้อย แล้วตอนนี้เธอก็หายเข้าไปในห้องของเธอแล้ว ปกเกศหยุดยืนมองไปทางประตูห้องนอนของหญิงสาวที่อยู่ด้วยกันมาหลายเดือนครู่หนึ่ง ในที่สุดก็เบนปลายเท้ากลับเข้าห้องของตัวเองไป