บทที่ 2
อยู่ในความสัมพันธ์ที่ยากจะอธิบาย
เหมือนฝันที่เมื่อวานนี้ มาร์คินอยู่เฝ้าไข้พริ้มเพรา ทว่าฝันอย่างไรก็ต้องมีตอนตื่น และพอตื่นอีกครั้งในเช้าวันรุ่งขึ้น มาร์คินก็ไม่อยู่แล้ว น่าดีใจไหมเล่าที่ค่ารักษาพยาบาลของเธอถูกจัดการจนเรียบร้อย เธอไม่ได้เห็นแม้แต่บิลใบเสร็จ เธอกลับบ้านในตอนสาย และกลับมาทำงานอีกครั้งในตอนเที่ยง ความจริงไม่อยากมา แต่ว่าเธอไม่ได้ลาใคร และคิดโง่ๆ ว่าควรมาบอกกล่าวมณีนุชสักนิดก็ยังดี
พริ้มเพราเดินขึ้นลิฟต์โดยสารเพื่อขึ้นไปยังชั้นสูงสุดของบริษัท มีพนักงานหลายคนทยอยเข้ามาในลิฟต์เมื่อลิฟต์หยุดยังชั้นต่างๆ หญิงสาวจะไม่สนใจใครอื่น หากใครอื่นที่ว่าจะไม่หน้าตาเหมือนคนรักเก่าของตัวเอง
“พริ้ม?”
เสียงทุ้มอย่างบุรุษฉุดเอาเสียงของพริ้มเพราหายไปจากลำคอ วงหน้าซีดอยู่แต่เดิมซีดลงไปอีกเท่าตัว เธอถอยหลังจนร่างชิดกับผนังลิฟต์ ทว่า พัชญะ หรือ พอร์ช อดีตชายคนรักก็ยังแทรกกายฝ่าผู้โดยสารคนอื่นจนสามารถเข้ามายืนข้างกันได้สำเร็จ
“พริ้มจริงๆ ด้วย พอร์ชนึกว่าตาฝาด”
บุรุษหนุ่มตัวสูง หน้าตาหล่อเหลาแบบไทยแท้ ผิวขาวหน้าคม ทุกส่วนบนร่างนี้ถือว่าดูดีไร้ที่ติ ผิดก็แต่จิตใจเท่านั้นที่ดำสนิท พริ้มเพรารู้ซึ้งถึงก้นบึ้งเลยล่ะ
“อือ...แล้วมาทำอะไรที่นี่ล่ะ” เขาถามต่อ
“ทำงานน่ะ งานใหม่ เริ่มงานเมื่อวานนี้” เธอตอบ ไม่ได้อยากพูดดีหรอกนะ แต่เธอควรทำตัวให้เป็นปกติ หากยังโกรธเคืองให้เห็น พัชญะอาจได้ใจ และคิดว่าเธอยังมีเยื่อใยอยู่
“พอร์ชก็ทำงานที่นี่ ดีใจที่ได้เจอพริ้มนะ” เขาเอ่ยแล้วทำตาละห้อย ยอมรับว่าเสียดายที่พริ้มเพราหลุดมือไป อุตส่าห์หลบมาได้หลายครั้งหลายหน แอบคบซ้อนโดยที่พริ้มเพราไม่รู้ แต่สุดท้ายเจ้าหล่อนก็รู้จนได้
“ไม่เห็นจะดีใจเลย” หญิงสาวตอบความจริงแล้วยิ้มใส่หน้าทะเล้น เธอเจ็บเธอร้องไห้มามากพอแล้ว เธอถูกหน้าหล่อๆ นิสัยแสนดีที่ดีเพียงเปลือกนอกมาหลอกให้ตายใจ มามากพอแล้ว
“ขอโทษนะพริ้ม คือว่า...”
“ที่นี่คงไม่เหมาะที่คุยเรื่องส่วนตัวมั้งคะคุณพัชญะ”
พัชญะหน้าม้านเมื่อถูกขานชื่อจริง มันแสดงออกถึงความเหินห่างที่คู่สนทนามีต่อตน ผู้คนในลิฟต์มากกว่าห้าคนหันมามองพวกเขา และมันทำให้พัชญะต้องรูดซิปปากชั่วครู่ กระทั่งลิฟต์เคลื่อนตัวขึ้นมาถึงชั้นสูงสุดที่พัชญะไม่เคยขึ้นมา
พริ้มเพราเดินออกจากลิฟต์ มีพัชญะตามมาติดๆ
“พริ้มมาทำอะไรบนชั้นนี้”
“ทำงาน” เธอตอบห้วนๆ นึกรำคาญเสียงหวานๆ ทุ้มๆ ของเขา มันคงจะฟังหวานหู อาจฟังดูดี หากไม่มีภาพเขากับผู้หญิงคนอื่นนอนอยู่ด้วยกันบนเตียง โผล่ขึ้นมาแทรก เธอจับได้คาหนังคาเขาเมื่อวันก่อนนี่เอง
“งานอะไร นี่มันชั้นสูงสุดของผู้บริหารนะ”
“แล้วไงล่ะ ฉันได้ทำงานบนชั้นนี้มันแปลกประหลาดนักเหรอ ฉันมีความสามารถนะคุณพัชญะ!” พริ้มเพราหันไปประชด เรื่องอื่นพอจะทนได้ แต่เรื่องดูถูกกันนี่เธอรับไม่ได้จริงๆ ตลอดเวลาที่คบกันเป็นแฟน เธอรู้ตัวว่าโดนข่มจากพัชญะอยู่เนืองๆ แต่ทุกคราวก็ทนด้วยอยากให้เขารัก แต่คราวนี้เธอจะไม่ทน
พัชญะหน้าเจื่อน ขยับเข้าหาพริ้มเพรา หันซ้ายแลขวาไม่เห็นใครที่ช่องทางเดินก็เอื้อมมือไปดึงแขนอดีตสาวคนรัก ด้วยอยากงอนง้อให้พริ้มเพราหายเคืองใจ แม้รู้ว่าพริ้มเพราอาจจะโกรธ แต่เขาหน้าด้านได้มากพอ เขาจะทำทุกวิถีทาง เพื่อจะได้พาพริ้มเพราขึ้นเตียง แล้วหลังจากนั้นค่อยเขี่ยเจ้าหล่อนทิ้งอย่างที่เคยคิดมาตลอด
“ปล่อยนะ! เราไม่ใช่คนรักกันอีกแล้ว”
“โธ่พริ้ม...พอร์ชยังรักพริ้มนะ” บอกเสียงเล็กเสียงน้อย ด้วยอยากอ้อนสาวเจ้าเหมือนที่เคยทำมา
พริ้มเพราเบะปากมองบน สลัดแขนแรงๆ ออกจากการเกาะกุมแต่ไม่สำเร็จ
“แต่ฉันไม่ได้รัก ฉันเกลียด!” ตะคอกใส่หน้าแล้วน้ำตาพานจะไหล มันเจ็บในอกเหมือนใครเอามีดมาปักซ้ำแล้วซ้ำเล่า ทำไมนะ ทำไมคนที่รักกันจะต้องทำร้ายกันแบบนี้ แล้วดูพัชญะสิ เขาทำเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น ทำเหมือนไม่เคยทำร้ายเธอ ทำเหมือนว่าความผิดที่เขาทำเล็กเท่าเมล็ดงา ทั้งๆ ที่มันหนักหนายิ่งกว่าฆ่ากันให้ตาย!
“พริ้ม...พอร์ชขอโทษ พอร์ชเป็นผู้ชายนะ พอร์ชแค่อยากหาความสุขในแบบของผู้ชาย ก็พริ้มให้พอร์ชไม่ได้ พอร์ชก็เลย...”
“อย่ามาแก้ตัวเลย มันฟังไม่ขึ้นหรอก เอาสิ อยากไปนอนกับใครก็เชิญ เราสองคนไม่ได้เป็นอะไรกันแล้ว อย่ามายุ่งวุ่นวายกับฉัน! ปล่อย!” ตะโกนใส่หน้าอย่างไม่เกรงกลัวว่าใครจะมาได้ยิน ทว่าพัชญะไม่ยอมปล่อย ทั้งยังดึงร่างเธอเข้าไปใกล้ หมายจะกอดรัดอย่างไม่อาย เธอดิ้นไม่หยุด กระทั่งประตูลิฟต์เปิดอ้าอีกครั้ง
ติ๊ง!
คนสองคนในนั้นก้าวออกมา และได้เจอเข้ากับภาพที่พัชญะกับพริ้มเพรากำลังยื้อยุดฉุดกระชาก
“อะแฮ่ม! นี่มันที่ทำงานนะคะ กรุณารักษามารยาทด้วยค่ะ” เสียงเรียบๆ แต่ดังกังวานของสตรีวัยเลยสาว เปล่งออกมาเพื่อยุติการกระทำของคนทั้งสอง มณีนุชเพิ่งออกจากลิฟต์โดยสารพร้อมๆ กับมาร์คิน แต่บอสใหญ่มิได้เอ่ยวาจาใดๆ นอกจากหายใจแรงๆ ราวกับกำลังระงับความโกรธ
พัชญะหันมาเผชิญหน้าเจ้านายอย่างหวั่นเกรง รีบหลบฉากเข้าข้างทางเดิน เพื่อเปิดทางให้บอสใหญ่และคุณเลขาจอมเนี้ยบ คุณเลขานั้นหน้าตาไม่สบอารมณ์นัก แต่บอสใหญ่นี่สิ ดวงตาแทบจะฆ่าเขาให้ตายได้