บทที่ 2.1
ค้าขายย่อมมีกำไร
ซ่งไป๋ลู่ซ่อนตัวในตะกร้าใบเล็กบนเกวียนของกู้ฉินรอจนพ้นหมู่บ้าน กู้เหยียนก็ยกตะกร้าออกให้นาง
“อาไป๋ออกมาได้แล้ว”
กู้เหยียน เป็นเด็กชายวัยเดียวกับซ่งต้าลู่ เรียกได้ว่าทั้งสองเป็นสหายสนิทกันเลยก็ว่าได้ หลายครั้งที่สามพี่น้องตระกูลซ่งได้ความช่วยเหลือจากคนบ้านตระกูลกู้ ในใจของซ่งไป๋ลู่เจ้าของร่างเดิมยังชื่นชอบกู้เหยียนมากอีกด้วย ส่วนมากขนาดไหนน่ะหรือ ก็มากขนาดที่อาศัยยามเขาเมามายแสร้งสร้างเรื่องว่าตนเองกับกู้เหยียนได้เสียกัน หากแต่กู้เหยียนแม้เมาจนหมดแรงแต่ก็ไม่ขาดสติ เรื่องนี้เขาจึงไม่ยอมรับจนเรื่องราวบานปลายทำให้ซ่งต้าลู่ตัดขาดกับสหายผู้นี้ ช่างเป็นบทนางร้ายตัวประกอบที่ไร้สมองสิ้นดี
“ขอบคุณพี่กู้เหยียน”
“ไม่เป็นไร เจ้าเป็นน้องสาวอาต้า ก็นับเป็นน้องสาวของข้าด้วย”
กู้เหยียนเอ่ยบอกด้วยความจริงใจ ซ่งไป๋ลู่พยักหน้ารับคำ บุรุษที่ดีเพียงนี้ กลับถูกวางบทให้เป็นเพียงเบี้ยหมากไร้ค่าผู้หนึ่ง ภายหน้าถูกเมิ่งเฟยอวี่พระเอกของเรื่องหลอกใช้ให้มาประจานเรื่องราวต่ำทรามของซ่งไป๋ลู่ จนตัวเขาถูกซ่งต้าลู่ที่แค้นใจแทนน้องสาวสังหารอย่างโหดเหี้ยม
แน่นอนว่าตัวนางที่เป็นซ่งไป๋ลู่ในวันนี้จะเปลี่ยนชะตาทั้งหมดนี้เอง
“อาเหยียนเจ้าพาอาไป๋ไปนั่งขายผลท้อตรงนั้นก็แล้วกัน พ่อจะเอากระต่ายป่าไปส่งที่เหลาอาหารเทียนตี้”
ตระกูลกู้เดิมทีเป็นคนจากต่างเมือง ที่ย้ายเข้ามาปักหลักสร้างตัวในหมู่บ้านได้เพียงสามปีเท่านั้น อาชีพหลักของกู้ฉินก็คือรับจ้างขนของเข้าเมือง และฝากซื้อของกลับเข้าหมู่บ้าน แน่นอนว่าในช่วงที่ทุกคนกำลังวุ่นวายอยู่กับการเตรียมที่ดินปลูกพืชผล นอกจากสัตว์ป่าที่เขาออกล่ายามคืน และผักป่าที่ภรรยาเก็บในยามกลางวัน ก็ไม่มีอะไรให้ขนมาส่งในเมืองอีก
“ขอรับท่านพ่อ”
และเพราะความช่วยเหลือของกู้เหยียน ผลท้อทั้งหกตะกร้าของซ่งไป๋ลู่จึงขายออกจนหมด มือเล็กนับเงินด้วยรอยยิ้มกว้าง ก่อนจะแบ่งเงินสองในสิบส่วนให้กู้เหยียน
“นี่อะไรกันอาไป๋”
“ท่านช่วยข้าขายของ ข้าย่อมต้องมอบส่วนแบ่งให้ท่าน”
“แต่...”
“ทำการค้าย่อมต้องมีกำไร เงินนี้ท่านเก็บเอาไว้ วันปีใหม่ยังสามารถซื้อเสื้อผ้าชุดใหม่ให้ท่านลุงท่านป้าเป็นของขวัญ หรือจะเก็บไว้สมัครเรียนที่สถานศึกษาก็ล้วนแล้วแต่ท่าน”
กู้เหยียนแม้ติดตามบิดามาขายของ ทว่าเงินที่ได้จากการช่วยบิดาทำงาน เขาจะกล้าขอส่วนแบ่งได้อย่างไร ยามที่ได้เงินก้อนแรกเป็นของตนเอง บนใบหน้าของเขาก็มีความยินดีจนแฝงเอาไว้ไม่มิด
ซ่งไป๋ลู่ยิ้มกว้างขยับตัวกระซิบบอกเขาเสียงเบา
“เอาแบบนี้ ต่อไปเรามาเป็นหุ้นส่วนกันดีหรือไม่”
กู้เหยียนขมวดคิ้วมองเด็กหญิงตัวน้อยด้วยความสงสัย
“อาไป๋หุ้นส่วนที่เจ้าเอ่ยถึงคืออะไรกัน”
“ข้าหมายถึงคราวหน้าข้าเป็นคนหาของ ส่วนท่านเป็นคนขายของ พวกเราสองคนร่วมมือกัน ส่วนแบ่งข้าได้หกส่วน ท่านได้สองส่วน บิดาท่านที่เป็นคนขนของได้สองส่วน เช่นนี้ดีหรือไม่”
แม้ว่าทั้งหมดจะเป็นส่วนแบ่งถึงหกต่อสี่ ทว่าตัวนางไม่ต้องลำบากขนของมานั่งขายเอง และไม่ต้องมาเสี่ยงต่อการถูกท่านป้าใหญ่ซ่งผู้นั้นจับได้และยึดของไป ย่อมนับว่าเป็นเรื่องที่ดี
“ทำเช่นนี้จะดีหรือ อาต้าจะตำหนิข้ากับท่านพ่อหรือไม่...”
“นี่เป็นเรื่องระหว่างเราสองคน ดีหรือไม่ขึ้นอยู่กับพวกเราสองคนตกลงกัน พี่กู้เหยียนท่านเชื่อใจข้า”
เรื่องระหว่างเรา... เชื่อใจข้า ไม่รู้เพราะเหตุใด ทว่ายามได้ยินเด็กหญิงเอ่ยเช่นนี้สองแก้มของกู้เหยียนก็ร้อนผ่าวขึ้นมา ก้มหน้าเอ่ยเสียงแผ่วเบารับปากนาง
“หากอาไป๋ว่าดี ข้าก็ว่าดี”
“เช่นนั้นท่านช่วยข้าอีกเรื่องได้หรือไม่”
“เรื่องอะไรหรือ”
“ข้าอยากได้ห้องครัว”
กู้เหยียนนึกถึงห้องครัวไร้กำแพงของบ้านซ่งแล้วก็เข้าใจความคิดของเด็กหญิงข้างกาย มือเล็กเทเงินในถุงออกมาส่งให้อีกฝ่ายดู
“เงินเท่านี้พอหรือไม่”
กู้เหยียนมองเงินบนมือเล็กแล้วยิ้มแห้ง แม้จะกล่าวว่าอาไป๋ของเขาทำการค้าได้ดี ผลท้อวันนี้ทำกำไรได้ไม่น้อย ทว่าหากคิดจะสร้างบ้านต่อเติมเรือนเกรงว่าเงินก้อนนี้จะยังน้อยไปสักหน่อย
“ดูเหมือนยังขาดอีกสักแปดส่วน”
ซ่งไป๋ลู่ย่อมรู้ดีว่าการค้าเพียงครั้งเดียวย่อมไม่สามารถสร้างตัวจนมั่นคงได้ หากแต่การค้าย่อมมีกำไรวันนี้ไม่พอวันหน้าย่อมต้องพอ ทว่าสร้างบ้านรอได้แต่สร้างคนรอไม่ได้ ซ่งไป๋ลู่คิดถึงร่างที่ผอมแห้งของสองพี่น้องตระกูลซ่งแล้วก็ตัดใจหยิบเงินออกจากกระเป๋าอีกครั้ง
“เช่นนั้นพี่กู้เหยียนท่านพาข้าไปซื้อเนื้อหมูกับนมแพะได้หรือไม่”
“ของสองอย่างนี้มีราคาไม่น้อย หากเจ้าเอาเงินนี่ไม่ซื้อก็คงต้องขายผลท้ออีกร่วมเดือนจึงจะพอสร้างห้องครัวเล็กๆ ของเจ้า”
“ไม่เป็นไรเจ้าค่ะ ข้าได้เงินมาแล้วย่อมต้องให้คนที่ข้ารักได้กินดีอยู่ดีขึ้นมาบ้าง”
“อ่า... ข้าก็อยากกินดีอยู่ดีบ้าง”
“พี่กู้เหยียนท่านเอ่ยเช่นนี้ อยากเป็นคนที่ข้ารักหรือเจ้าคะ”
ซ่งไป๋ลู่แสร้งเอ่ยเย้า กู้เหยียนที่เอ่ยโดยไม่ทันคิดพลันเบิกตากว้างสองแก้มร้อนผ่าว ก่อนจะรีบพาน้องสาวของสหายไปที่แผงขายหมู
“เถ้าแก่ข้าต้องการซื้อหมูครึ่งจินเจ้าค่ะ”
เถ้าแก่ขายหมูยิ้มกว้าง เขาเห็นเด็กน้อยผู้นี้มานั่งขายผลท้อตั้งแต่ยามเช้า ในใจนึกเอ็นดูนางอยู่ในที ดังนั้นยามที่ส่งเนื้อหมูให้นางก็แถมกระดูกหมูชิ้นใหญ่ให้อีกหนึ่งชิ้น
“เจ้าอย่าได้เห็นว่ามันเป็นเพียงกระดูกหมูไม่มีราคา ยามที่เอาไปทำน้ำแกงรสชาติดีกว่าเนื้อหมูเสียอีก”
แน่นอนว่าซ่งไป๋ลู่ย่อมรู้ความอร่อยของน้ำแกงกระดูกหมูเป็นอย่างดี
“ขอบคุณเถ้าแก่มากเจ้าค่ะ เช่นนั้นพรุ่งนี้ท่านเก็บกระดูกหมูไว้ให้ข้าอีกนะเจ้าคะ”
เมื่อได้เนื้อหมูแล้วกู้เหยียนก็พาซ่งไป๋ลู่ไปที่ร้านขายนมแพะ หากแต่เด็กหญิงกลับให้เขาพาไปยังบ้านคนเลี้ยงแพะแทน
“ไม่มีเงินแต่อยากได้นมแพะ เจ้าคิดว่าข้าใจดีขนาดนั้นเชียวหรือ”
หญิงสาวเลี้ยงแพะเท้าเอวเอ่ยบอกเสียงหงุดหงิดจนแม้แต่
กู้เหยียนก็หน้าซีด คิดจะควักเงินสองส่วนของตนเองออกมาจ่ายค่านมแพะให้ซ่งไป๋ลู่แต่เสียงเล็กก็ดังขึ้นเสียก่อน
“ข้าไม่มีเงิน แต่บนเขามีผลท้อ พี่สาวท่านพอจะเมตตาแบ่งนมแพะให้ข้าสักถุงแลกกับผลท้อครึ่งตะกร้าได้หรือไม่เจ้าคะ น้องชายของข้าสุขภาพไม่ดีหากได้ดื่มนมแพะดีๆ ของท่าน เขาย่อมต้องแข็งแรงขึ้นอย่างแน่นอน”
ซ่งไป๋ลู่พูดยกยอแทรกกับการต่อรองราคาของเสียยาวเหยียดทว่าสตรีเลี้ยงแพะกลับได้ยินอยู่สองคำ พี่สาว... นมแพะดีๆ ของท่าน ใบหน้าที่บึ้งตึงก่อนหน้าพลันมีรอยยิ้มกว้าง ยื่นมือไปรับตะกร้าผลท้อมาจากมือเล็ก แล้วเทนมแพะใส่ถุงหนังสัตว์ให้ซ่งไป๋ลู่มาหนึ่งถุง
“ไม่มีเงินแต่ยังรู้จักนำของมาแลกนับว่าเป็นเด็กดีที่รู้ความ เช่นนั้นก็ตกลงตามนี้ผลท้อครึ่งตะกร้าแลกนมแพะหนึ่งถุง”
ถึงแม้ผลท้อไม่สามารถกินได้ทุกวัน แต่หากนำทั้งหมดนี่ไปขายแลกเงินก็ยังได้ราคาสูงกว่านมแพะหนึ่งถุงอยู่เล็กน้อย นับว่าเป็นการแลกเปลี่ยนที่ไม่ขาดทุนดังนั้นสตรีเลี้ยงแพะจึงยอมตกลงรับข้อเสนอของเด็กหญิงตัวน้อยตรงหน้า
“ขอบคุณพี่สาวมากเจ้าค่ะ”
เมื่อถูกเรียกขานว่าพี่สาวอีกครั้ง รอยยิ้มของหญิงเลี้ยงแพะก็ยิ่งกว้างขึ้น จนแม้แต่น้ำเสียงก็เจือเสียงหัวเราะออกมาเบาๆ กู้เหยียนที่เห็นเหตุการณ์ตั้งแต่ต้นได้แต่เบิกตากว้าง เรียนรู้วิธีการของซ่งไป๋ลู่อย่างเงียบๆ
สตรีผู้นี้เพียงมองผ่านๆ ก็รู้ว่าอายุมากกว่ามารดาของเขา ทว่าอาไป๋กลับเรียกขานนางว่าพี่สาว ช่างเป็นวิธีการเอาใจคนที่แยบยลยิ่ง
................................................