คำแก้วเรียงดุ้นฟืนที่ยาวประมาณหนึ่งศอกเป็นกองเล็กแล้วลองแบกขึ้นบ่า พอรู้สึกว่าเบาไปจึงหยิบขึ้นเติมเรื่อย ๆ จนแขนเริ่มโอบไม่มิด แต่ก็ยังรู้สึกเบาราวกับแบกนุ่น
คำแก้วขมวดคิ้วแล้วพึมพำกับตัวเอง “ทำไมไม่รู้สึกหนักเลยนะ”
เพื่อให้ทุกอย่างกระจ่าง คำแก้ววางฟืนทั้งหมดลงจากบ่าแล้วเดินไปยังหินก้อนใหญ่ที่อยู่ข้างริมธาร เดินไปถึงก็มองไปรอบทิศ มั่นใจว่าไม่มีคนเห็นเธอจึงก้มลงยกหินก้อนใหญ่ขึ้นมา มันน่าจะหนักราวสองร้อยกิโลกรัมได้ คำแก้วยกหินก้อนนั้นขึ้นได้อย่างง่ายดายทั้งที่ดูเหมือนเธอผอมแห้งแรงน้อยเช่นนี้ เธอทึ่งในความสามารถของตัวเองก่อนจะวางหินก้อนนั้นลงที่เดิม
เจ๋งว่ะ!
ยังมีเรื่องอะไรให้ประหลาดใจอีกไหม เธอเริ่มจะชอบกับการที่จะได้ใช้ร่างนี้ผจญภัยในยุคนี้เสียแล้วสิ มีทั้งอาวุธ มีทั้งพลัง แบบนี้คงสนุกไม่น้อย
คำแก้วแบกฟืนมัดใหญ่ขึ้นไปบนเรือน ผู้เป็นพ่อเห็นก็ตกใจ
“คำแก้ว แบกมาเยอะแบบนั้นเดี๋ยวก็หลังหักกันพอดี” ทั้งที่ลูกสาวเพิ่งหายป่วย แต่เธอไม่มีท่าทีว่าเหนื่อยหอบเลยสักนิด เรียงฟืนขึ้นบนบ่าได้อย่างสวยงามอีกต่างหาก
“ฉันทำได้ค่ะพ่อมันไม่หนักหรอกค่ะ” คำแก้วยิ้มให้พ่อเต็มใบหน้า
เข้มจ้องใบหน้าลูกสาวอย่างไม่ละสายตา ฟืนมัดใหญ่ปานนั้นใครไม่หนักก็บ้าแล้ว เขาเองยังแบกลำบากเลยมีหรือคำแก้วจะไม่หนักเลย ตัวก็เล็กแค่นั้น
เมื่อคำแก้วรู้ตัวว่าโดนสายตาพ่อจับผิดจึงรีบเฉไฉไปเรื่องอื่นทันที “ฉันไปดูแม่ก่อนนะคะ”
“อือ ไปเถอะ” เข้มยังมองลูกสาวด้วยสายตาที่ไม่ไว้วางใจนัก แปลกจากเดิมมาก มีทุกอย่างที่คนปกติพึงมี ภาพลูกสาวคนเดิมที่แม้แต่เดินยังทรงตัวลำบาก พูดแทบไม่รู้ภาษา บัดนี้ไม่มีหลงเหลืออยู่เลย
คำแก้วเดินเข้าไปในห้องนอน แม่กำลังดื่มยาสมุนไพรที่พ่อฝนให้พอดี
“แม่เป็นยังไงบ้างคะ”
“ดีขึ้นมากแล้วจ้ะ” เธอคงเป็นไข้เพราะโหมทำงานหนักตากแดดทุกวันเป็นเวลาติดต่อกันนานเกินไป
คำแก้วคลานเข่าเข้าไปใกล้แม่แล้วเอาหลังมืออังศีรษะราวกับผู้ใหญ่ “อือ ตัวแม่ยังรุม ๆ เดี๋ยวฉันเช็ดตัวให้แม่ค่อยกินข้าวนะคะ”
“ฮึ! คำแก้วทำเป็นเหรอ” คำพองถามลูกด้วยแววตาสงสัย คำแก้วดูแลเอาใจใส่ใครเป็นที่ไหน ลำพังตัวเองยังดูแลไม่ได้
“เอ่อ…ก็ไม่น่าจะยากหรอกค่ะ” ทำไมทุกคนถึงมองเหมือนเธอทำอะไรไม่เป็นเลยนะ หรือว่าร่างนี้จะทำอะไรไม่เป็นจริง ๆ ไม่หรอก น้อง ๆ ของเธอเด็กกว่ายังทำเป็นทุกอย่างแล้วเหตุใดเธอจะทำอะไรไม่เป็น
คำแก้วนำผ้าชุบน้ำมาเช็ดตัวให้แม่อย่างชำนิชำนาญ คำพองมองการกระทำของลูกด้วยความรู้สึกที่อธิบายไม่ถูก หรือคำแก้วฟื้นกลับมาครานี้เธอจะหายเป็นปกติแล้ว ไม่รู้ว่าอาการสมองไม่สมบูรณ์จะหายได้หรือไม่ แต่คำพองก็คิดเข้าข้างตัวเองไปอย่างนั้น เพราะเธอเฝ้าภาวนามาตลอดว่าอยากให้ลูกหายเป็นปกติเหมือนคนอื่น คำแก้วจะได้ไม่ต้องโดนสายตาคนอื่นมองอย่างดูถูกดูแคลนอีกต่อไป
ช่วงเย็นคำแก้วช่วยพ่อตักน้ำรดน้ำผักเพราะเขาทำเองไม่ค่อยสะดวกนัก พออาการคำพองดีขึ้นก็เดินมาช่วยสามีกับลูกเช่นกัน
“แม่คำพอง!” เสียงหญิงสาววัยรุ่นคนหนึ่งมาตะโกนเรียกอยู่ข้างบ้าน
ทุกคนเงยหน้าขึ้นมอง ในความทรงจำคำแก้วจำได้ว่าผู้หญิงคนนี้คือเพื่อนของเธอ พ่อของเธอเป็นสหายกับพ่อของดวงนภา ซึ่งเขาเคยมาที่นี่บ่อยครั้ง
“ว่าไง”
“แม่ให้เอาขนุนสุกมาให้ค่ะ”
คำพองวางบัวรดน้ำแล้วเดินเข้ามาหา “ขอบใจมากนะ” คำพองหยิบขนุนที่ผ่าครึ่งลูกออกมาจากตะกร้าไม้ไผ่แล้ววางไว้บนแคร่ ไม่ลืมที่จะเด็ดใบตองมาวางรองเพื่อไม่ให้ยางของมันเปื้อนแคร่
“พรุ่งนี้แม่ชวนแม่คำพองไปเก็บเห็ดด้วยค่ะ”
“อืม แม่คงไปด้วยไม่ได้ แม่ไม่สบายยังไม่ค่อยหายดีเท่าไร กลัวจะไปเป็นลมล้มในป่าเดี๋ยวจะเป็นภาระทุกคน” คำพองบอกดวงนภาด้วยความเกรงใจ เธอยังมีอาการมึนศีรษะอยู่มากจึงไม่กล้าไปเก็บของป่าด้วย
คำแก้วเดินตามหลังแม่มาได้ยินเข้าจึงเอ่ยขึ้นทันที “ให้ฉันไปกับดวงนะคะแม่” เธออยากลองไปหาของป่าดูบ้าง เพราะตอนเรียนอยู่ที่มหาวิทยาลัยก็เคยไปเก็บเห็ดกับเพื่อนในป่าของมหาวิทยาลัยเหมือนกัน แต่ป่าก็ไม่ได้กว้างมากมายนัก