แมคโลริคไม่ยอมปล่อย เขายังกอดหล่อนแน่นไม่ยอมให้อีกฝ่ายขยับตัว
“นี่คุณ ฉันหายใจไม่ออก”
“หือ...ขอโทษที ก็ผมคิดถึงคุณนี่นา” ตอบอย่างไม่กลัวเสียฟอร์ม จับมือซ้ายหล่อนมาพิจารณาก่อนจะกดจุมพิตแรงๆ บนนิ้วนางข้างนั้นที่มีแหวนทับทิมเม็ดพองามสวมติดอยู่
“อย่าถอดนะ สัญญาก่อนแล้วจะปล่อย” เขาต่อรอง ใบหน้าหล่อเหลาเริ่มแดงขึ้นอีกนิด พอๆ กับความร้อนของร่างกายที่ไม่รู้ว่าเกิดเพราะพิษไข้ หรือเพราะกายนุ่มนิ่มของคนที่ตนกอดอยู่
“ก็ได้ ฉันสัญญา ปล่อยสิ” เธอรีบตอบ เรื่องจะไม่ให้ถอดแหวนนั่นหรือ ฝันไปเถอะ ตอนนี้แค่ตอบส่งๆ หาทางเอาตัวรอดไปก่อนแล้วกัน
ชายหนุ่มปล่อยหญิงสาวออกจากอ้อมแขนอย่างแสนเสียดาย ดวงตาสีเงินยวงมีแววถวิลหาอย่างที่พิชฎามองแล้วยังต้องเสสายตาไปทางอื่น เธอคงใจอ่อนหากจ้องตาเขานานกว่านี้
“ฉันกลับดีกว่า” ว่าแล้วลุกขึ้นจัดเสื้อผ้าหน้าผมให้เรียบร้อย
แมคโลริคถอนหายใจ เขาอยากให้หล่อนอยู่ แต่มันคงทรมานตัวเองเกินไปหากหล่อนอยู่แล้วเขาไม่มีแรงทำอะไรหล่อนได้ ท่าทางไข้คงจะขึ้นอีกองศาแล้วล่ะ มันร้อนๆ หนาวๆ ชอบกล
ติ๊งต่องๆๆ
เสียงสัญญาณที่หน้าห้องดังขึ้นท่ามกลางความตื่นตระหนกของเจ้าของ แมคโลริคมีแววหนักใจจนพิชฎาสังเกตได้
“มีอะไรหรือเปล่า หรือว่าคู่ขาของคุณมา ฉันจะได้รีบกลับ” ว่าติดประชด ใบหน้างามบูดบึ้งทันตา
“อย่าเพิ่งไปสิ ผมคิดว่าคนที่อยู่หน้าประตูคงไม่อยากเจอหน้าคุณที่นี่หรอก”
“แน่นอน! ใครจะไปอยากเจอผู้หญิงอีกคนของคุณล่ะ” ยังไม่เลิกเถียงทั้งที่อีกฝ่ายพยายามสื่อความนัยบางอย่าง
บุรุษเลือดผสมยิ้มที่มุมปาก
“เมื่อกี้...คุณพูดเหมือนว่าคุณเป็นหนึ่งในผู้หญิงของผม”
เขาเอ่ยยิ้มๆ ทำเอาพิชฎาเขินจนหน้าแดง นี่เธอเผลอพูดทำนองนั้นเหรอ
“ฉะ...ฉัน ฉันเปล่า ฉันแค่...”
ติ๊งต่อง ๆ ๆ
เสียงออดดังขึ้นขัดจังหวะ ทำให้พิชฎาไม่อาจเอ่ยต่อในสิ่งที่คั่งค้าง นักเขียนสาวเลยเสไปเอ่ยเรื่องที่ต้องการมากที่สุดในเวลานี้
“ฉันว่าฉันกลับดีกว่า” ว่าแล้วตั้งท่าจะจากไป แต่ถูกชายหนุ่มดึงศอกไว้
“มีคนสามคนที่จะมาหาผมที่นี่โดยไม่ต้องรอที่ล็อบบี้ หนึ่งคือคุณ สองคือผู้ช่วยผม และสาม...คือรัญตา เมื่อเช้าเชนมาหาผมแล้ว ตอนนี้เขาน่าจะอยู่บริษัท ส่วนคุณก็ยืนอยู่ตรงหน้าผม ทีนี้คุณคิดว่าจะเป็นใครที่ยืนอยู่นอกประตูนั่น”
หญิงสาวอ้าปากค้าง จากคนปากเก่งกลายเป็นติดอ่างในทันที
“ละ...แล้ว แล้วฉันควรจะทำไงดี เร็วเข้าสิคุณ! เดี๋ยวรัญตามาเจอนะ!”
น้ำเสียงนั้นแฝงไว้ด้วยความตระหนก แมคโลริคถึงกับส่ายหน้า เขาพ่นลมหายใจอุ่นร้อนออกมาอย่างเหนื่อยหน่าย บางครั้งก็นึกรำคาญหล่อนนะที่รักหลานมากเกินไป
“คุณรออยู่นี่ก็แล้วกัน”
“ไม่! ฉันไม่รออยู่ในนี้เด็ดขาด” ว่าแล้วแลหาที่หลบ เดินออกนอกห้องนอน แล้วก็เจอเข้ากับผ้าม่านผืนหนาที่ปิดผนังกระจกด้านที่ติดกับระเบียง
“คุณคงไม่คิดจะหลบอยู่หลังม่านเหมือนในละครหลังข่าวหรอกนะ”
เขารู้ทัน ยกมือคลึงขมับเพราะมันเริ่มปวดตุบๆ อีกรอบ
“ก็ถ้าไปหลบอยู่ในห้องนอนคุณ ฉันกลัวยัยรัญจะไปเจอเข้านี่นา”
“ไม่มีทางที่รัญตาจะเห็นหรอกน่า เธอไม่เคยเข้าไปในนั้นสักที ทีนี้คุณก็เข้าห้องไปได้แล้ว ก่อนที่หลานสาวเราจะสงสัยว่าทำไมผมเปิดประตูช้า” เจ้าของห้องเร่งเร้า ยังผลให้ผู้มาเยือนต้องทำตาม
พิชฎารีบกลับเข้าห้องในขณะที่แมคโลริคเดินตรงไปที่ประตู เขาเปิดมันออกเพื่อจะพบรัญตาในชุดฟอร์มของบริษัทหล่อนยืนรออยู่ สีหน้าไม่ค่อยดีนัก
“อาแมค! เชนบอกว่าอาแมคไม่สบาย เป็นอะไรมากไหมคะ รัญเป็นห่วงแทบแย่” น้ำเสียงที่ถามไถ่เต็มไปด้วยความ ถือวิสาสะลูบเนื้อลูบตัวเขา อยากให้เขารู้ว่าเธอห่วงใย
“อาไม่เป็นไร นี่รัญลางานมาเหรอ ไม่น่าลำบากเลย” บอกพลางถอยหลังให้รัญตาก้าวเข้ามา นึกโกรธผู้ช่วยนามว่าเชน ที่คงหลุดปากบอกเรื่องที่เขาไม่สบายให้รัญตารู้ ความจริงหล่อนเคยมาที่นี่หลายครั้งแล้วตลอดเวลาที่คบหากัน ทว่าไม่เคยมีสักครั้งที่จะเกินเลยไปที่เตียง เขายังระลึกเสมอว่ารัญตาคือ หลานสาว
“ก็รัญเป็นห่วงนี่นา รัญโทรหาตั้งหลายครั้งทำไมไม่รับโทรศัพท์ รู้หรือเปล่าคะว่าอาแมคกำลังหลบหน้ารัญ” ถามประชดเสียงเครือเล็กน้อย เดินไปนั่งยังโซฟาตัวยาวที่ทอดวางอยู่กลางห้อง กวาดตามองรอบห้องผ่านๆ ก็ได้เห็นที่โต๊ะกินข้าวมีชามและแก้วน้ำวางอยู่สองใบ คงมีคนมาที่นี่ก่อนเธอ
หัวใจสาวน้อยเต้นตึกตักอย่างไม่เคยเป็นมาก่อน ความระแวงแคลงใจกำลังกัดกินหัวใจจนเว้าแหว่ง
“อารู้ รัญมาที่นี่ก็ดีเหมือนกัน อามีเรื่องจะคุยด้วย” เจ้าของห้องเป็นฝ่ายเปิดฉาก เขากระชับเสื้อคลุมให้แน่นก่อนจะเอ่ยขอตัวไปเปลี่ยนเสื้อผ้า
ภายในห้องนอน พิชฎายืนตัวลีบอยู่ข้างตู้เสื้อผ้า หญิงสาวขยับออกมาเมื่อชายหนุ่มเดินตรงไปทางนั้น
“ยัยรัญว่าไงบ้างคุณ” กระซิบถามพลางเหล่ไปทางที่เขาเพิ่งเดินเข้ามา
“คุณไม่ต้องกระซิบก็ได้ ห้องนี้เก็บเสียง” เขาว่าแล้วหยิบเสื้อผ้ามาสวม
พิชฎาหน้าแดงรีบหันหลังให้ เขาสวมเสื้อผ้าไวมาก คงกลัวรัญตาจะรอนาน นาทีต่อมาเขาก็เอ่ยขึ้นอีก