พัลเลเดียมนิ่งเหมือนหลักศิลา ใบหน้าของเขาเกร็งเพียงเล็กน้อยราวกับกำลังเก็บกดความเจ็บปวดมีก็แต่นัยน์ตาสีน้ำตาลขุ่นเข้มที่สะท้อนความคั่งแค้นออกมาทว่าเขาก็ยังปล่อยให้เธอกัดฝ่ามือหนาจนหนำใจ และเมื่อเห็นว่าเขาไม่มีปฏิกิริยาราวกับไม่รู้สึกรู้สาอะไรเลยทำให้ลลิลหยุดตัวเองและสะอื้นออกมา ภาพที่เห็นสะท้อนสะเทือนในความรู้สึกของชายหนุ่ม เขาบีบบังคับให้เธอต้องปวดร้าวแต่หัวใจของเขาเองเริ่มอ่อนแอลงเมื่อเห็นน้ำตาหยดลงบนแก้มนวล
“พอใจหรือยัง ลาริมาร์...เกลียดฉันมากทำไมไม่กัดให้มือขาดไปเลย”
พัลเลเดียมเค้นเสียงออกจากลำคอทั้งที่มือของเขายังปิดแน่นบนปากของหญิงสาว เห็นเพียงดวงตาคู่สวยที่จ้องเขาแต่มันเต็มไปด้วยหยาดน้ำรื้นและความรวดร้าวสาหัสแผ่ออกมา สักครู่มือหนาจึงค่อย ๆ เลื่อนห่างแต่ลลิลถึงกับตาค้างเมื่อเห็นสิ่งที่เธอฝากไว้บนเนื้อหนังของเขา แม้ชายหนุ่มจะไม่แสดงความรู้สึกใด ๆ กับรอยแผลบนฝ่ามืออาบเลือดแดงฉานและรอยเลือดนั้นก็เปรอะเปื้อนรอบกลีบปากบอบบางและลำคอระหงของร่างเล็กแต่ก็ทำให้ความรู้สึกผิดแล่นปราดขึ้นมาในสำนึกของลลิล
“อาพีท...”
เสียงแผ่วเบาลอดออกมาเบาหวิวจากปากสั่นระริก พัลเลเดียมดึงผ้าเช็ดหน้าจากกระเป๋าเสื้อสูทออกมาแล้วซับลงบนฝ่ามือที่เต็มไปด้วยคราบเลือด เขาเหลือบมองหญิงสาวที่ยังนั่งหอบแต่ไร้เสียงสะอื้น
“ถือว่าเราหายกัน...แต่ครั้งต่อไปฉันไม่อภัยให้เธอแน่”
เขาทิ้งน้ำเสียงหนักก่อนหันหลังเดินกลับออกไปปล่อยให้ร่างอรชรนั่งชันเข่าขึ้นและร้องไห้เหมือนเด็กเล็ก ๆ ดูท่าว่าเขาจะโกรธมากและไม่รู้ว่าจะหาทางเอาคืนวันไหน ตอนนี้สิ่งที่หญิงสาวเริ่มเป็นกังวลไม่ใช่ปัญหาของอิสราที่ก่อไว้ แต่กลับกลายเป็นตัวเธอที่ต้องหาทางแก้ปัญหาเมื่อต้องเผชิญหน้ากับพัลเลเดียมซึ่งยิ่งนับวันมันก็มีแต่จะเขม็งเกลียวเหมือนเชือกที่รัดเงื่อนแน่นเข้าหากันทุกที ลลิลนั่งคิดจนไม่เป็นอันทำอะไรแม้แต่จะเก็บกวาดเศษกระเบื้องจากถ้วยกาแฟและจานชามรวมทั้งเศษอาหารที่เลอะเทอะบนพื้น แต่เมื่อเธอรวบรวมสติและทำใจให้สงบลงได้ก็ได้ยินเสียงเรียกเข้าของโทรศัพท์ดังขึ้น ร่างบางนึกดีใจว่าอาจเป็นพ่อของเธอแต่เมื่อหยิบขึ้นมาดูกลับเป็นชื่อของใครอีกคน หญงสาวรีบรับสาย
“ว่าไงคะ พี่เนเน่”
เนเน่ หรือ ภิณไลย์ญา รุ่นพี่ที่เคยสนิทสนมกันตั้งแต่สมัยเรียนมหาวิทยาลัยและอายุห่างกันเพียงสองปีแต่ภิณไลย์ญาเรียนไม่จบเพราะต้องออกไปทำงานเป็นพริตตี้ส่งเสียเงินให้ทางบ้านที่ขัดสนในช่วงเวลานั้น แต่ทั้งสองก็ยังมีความสัมพันธ์ฉันพี่น้องและติดต่อถึงกันอยู่เสมอ
“ลิล...เป็นยังไงบ้าง ตอนนี้ลิลอยู่เนเธอแลนด์หรือเปล่าจ๊ะ นี่พี่ลองโทรหา นึกว่าจะโทรไม่ได้เสียแล้ว”
“ลิลอยู่นิวยอร์คค่ะ”
“อ้าว...ไหนว่าเดินทางไปเรียนต่อไงจ๊ะ”
“ลิล...ไม่ได้ไปแล้วค่ะ คือ...มีปัญหานิดหน่อยเลยต้องหยุดการเรียนไว้ก่อน พี่เนเน่สบายดีนะคะ”
“พี่ก็เรื่อย ๆ นะ ก็ต้องทำงานเป็นพริตตี้ มีงานก็มีเงินส่งให้ที่บ้าน บางครั้งก็นึกอยากกลับไปเรียนต่อ แต่คงทำไม่ได้แล้วล่ะ”
“พี่เนเน่เป็นคนสวย สวยมาก ๆ อนาคตพริตตีของพี่ต้องสดใส เป็นพริตตี้ระดับเงินล้าน และวันหนึ่งอาจจะพบคนดี ๆ นะคะถึงจะไม่ได้เรียนต่อก็เถอะ”
“โอเค...ขอบใจมากนะลิล เรามาเข้าเรื่องกันดีกว่ามั้ย ลิลอยู่นิวยอร์คก็ดีเลย ที่โทรมาจะบอกลิลว่าพี่ได้งานเป็นพริตตี้มอเตอร์โชว์ระดับโลกที่จะจัดขึ้นสัปดาห์หน้า ถ้าลิลว่างอยากให้ลิลไปเที่ยวงาน ไปดูพี่แต่งตัวสวย ๆ แล้วถ้ามีเวลาว่างเราก็จะได้คุยกัน”
“เอ้อ...ลิล...เอ้อ...”
“พี่เป็นพริตตี้ให้รถรุ่นใหม่หรูมาก ๆ และรู้มาว่าจะมีการเชิญแขกระดับวีไอพีที่จองรถรุ่นนี้มาด้วย มีชื่อคุณอิศรา พ่อของลิลด้วยนะ”
“จริงหรือคะ?”
“จริงซี ลิลลองถามพ่อของลิลลดูนะ จะได้มากับท่านไง”
“ค่ะ...ลิลจะถามพ่อดูนะคะ”
ลลิลรับปากในบทสนทนาสุดท้ายแต่ไม่กล้าบอกความจริงว่าตอนนี้อิศราถูกกักกันอิสรภาพและคงไม่มีโอกาสได้มานิวยอร์คซึ่งก็ไม่รู้ว่าจะนานแค่ไหน สิ่งที่หลงเหลืออยู่สำหรับเธอคือความหวังที่จะยื้อเวลาของบิดาไว้และภาวนาให้พี่สาวของพัลเลเดียมหายจากอาการที่เป็นอยู่ให้เร็วที่สุด
ท้องฟ้าสีขาวสว่างถูกกลืนด้วยสีน้ำเงินเข้มเมื่อรัตติกาลย่างกรายเข้ามา ทว่ามหานครใหญ่กลับสว่างไสวด้วยแสงไฟจากยอดตึกระฟ้า แสงสปอร์ตไลท์ฉายส่องขึ้นสู่ท้องฟ้ายามราตรีที่ไม่เคยหลับใหล
บนเพนท์เฮาส์หรูชั้นสูงสุดของตึกล็อคซายน์ใครคนหนึ่งก้าวย่างขึ้นบันไดไปยังชั้นดาดฟ้า ร่างสูงใหญ่ในชุดสูทสืบเท้าไปหยุดที่เตียงเล็กริมสระน้ำ นัยน์ตาสีน้ำตาลอมเทาเข้มจ้องมองไปยังร่างเล็กบอบบางที่นอนตะแคงสงบนิ่งบนเตียงภายใต้แสงไฟรอบ ๆ ที่อาบไล้ลงบนเรือนร่างอรชรในชุดกระโปรงสีน้ำเงินเข้ม
น้ำในสระสะท้อนแสงไฟพรายพร่าง ร่างสูงเดินไปหยุดข้างเตียงและชะโงกหน้ามองร่างน้อยที่นอนหลับนิ่งไม่ไหวติงบนเตียงริมสระ