บทที่ 5.2 หลงเหลือเยื่อใย

1138 Words
ฉิงหนิงอวี่รีบเบือนหน้าหลบ เซี่ยเย้าเต๋อจึงพลาด กลายเป็นจูบแก้มของนางแทน “ข้าทำอะไรให้เจ้าเกลียดอย่างนั้นหรือ เจ้าบอกข้าสิ” “...” “หนิงอวี่ หากเจ้าไม่พูด ข้าก็ไม่รู้หรอกนะ” “สัญญาได้ไหมว่าจะมีข้าคนเดียว” เซี่ยเย้าเต๋อพ่นลมหายใจ “เรื่องนี้อีกแล้ว” “หากท่านรับปากจะไม่มีใครอื่นนอกจากข้า ข้าก็พร้อมจะให้โอกาสท่าน” ยิ่งพูดยิ่งงง ยิ่งอธิบายยิ่งไม่เข้าใจ เซี่ยเย้าเต๋อส่ายศีรษะอย่างระอาก่อนเดินออกไปสงบสติอารมณ์นอกร้าน ฉิงหนิงอวี่นั่งลงบนเก้าอี้ค่อยๆ ปรับลมหายใจตัวเองเช่นกัน เมื่อครู่หัวใจนางเต้นรัวจนแทบจะทะลุออกนอกอกอยู่แล้ว นางยังคงหลงเหลือความทรงจำที่แต่งเข้าสกุลเซี่ย ตลอดหลายปีที่ไม่ได้รับการใส่ใจหรือจับเนื้อต้องตัวจากสามี ทำให้การใกล้ชิดเมื่อครู่ก่อความรู้สึกดีใจขึ้นแวบหนึ่ง “มาแล้วๆ เนื้อผ้านี้นำเข้ามาจากเมืองเซียนตี๋เชียวหนา รับรองว่าเหมาะกับคุณหนูรองแน่นอน” เฒ่าแก่ซุ่ยเดินมาพร้อมกับเด็กรับใช้สองคนที่ถือตะกร้าใบใหญ่มาด้วย ทั้งหมดช่วยกันแนะนำเนื้อผ้าแบบต่างๆ พร้อมเสนอราคาสุดพิเศษแก่ว่าที่เจ้าสาว โดยไม่ได้สนใจใบหน้าห่อเหี่ยวของนางแม้แต่น้อย ฉิงหนิงอวี่ปล่อยให้ชายทั้งสามพล่ามอยู่สักพักจึงชี้นิ้วเลือกส่งๆ และลุกขึ้นสะบัดชายกระโปรงเพื่อขอตัวกลับ ฉิงหนิงอวี่รู้สึกหงุดหงิดเล็กน้อยที่ทุกอย่างไม่ได้เป็นตามแผนที่วางไว้ นางต้องการชักนำให้เซี่ยเย้าเต๋อมาพบเจอกับซุ่ยซิงจิงเร็วขึ้นกว่าครั้งที่ทั้งสองพบกันในอดีต อยากเห็นแววตาเวลาพวกเขามองกัน อยากได้ยินคำพูดและรอยยิ้มที่ส่งให้กันและกัน ไม่แน่ว่า หากเซี่ยเย้าเต๋อมีความรักที่ลึกซึ้งแก่ซุ่ยซิงจิง เขาอาจจะล้มเลิกงานแต่งก็ได้ ฉิงหนิงอวี่จะได้ลบความรู้สึกที่ว่า หากเซี่ยเย้าเต๋อและซุ่ยซิงจิงได้พบเจอกันเร็วกว่านี้ คงได้แต่งงานและมีชีวิตที่มีความสุขไปแล้ว ไม่ต้องมาทนทุกข์อยู่กับนาง ให้นางต้องรู้สึกว่าตัวเองเป็นคนขัดขวางเส้นทางความรักของคนทั้งคู่ “คุณหนู สีหน้าท่านไม่ดีเลย ไหวไหมเจ้าคะ” เจียอีเข้ามาพยุงฉิงหนิงอวี่ที่เดินออกมาจากร้านด้วยสีหน้าซีดเซียวเหมือนคนใกล้จะเป็นลม “ข้าไม่เป็นไร” ฉิงหนิงอวี่เอ่ยเสียงเบา แต่แล้วเมื่อนางเงยหน้าขึ้นมองก็ต้องพบกับความประหลาดใจระคนตกตะลึงไม่น้อย รถม้าที่นั่งมาหายไปแล้ว? “เกิดอะไรขึ้นเจียอี” เจียอีลังเล แต่แล้วก็กล่าวตอบด้วยน้ำเสียงสั่นเครือ “ไม่รู้ทำไมคุณชายเซี่ยจึงเกิดอารมณ์เสียขึ้นมา... เขา เขาสั่งให้บ่าวบอกคุณหนู หากคุณหนูยังไม่ล้มเลิกความคิด ยังยึดติดอยู่เช่นนี้ ทั้งชีวิตก็คงหาความสุขไม่ได้” “ยึดติด ข้าหรือยึดติด” “คุณหนู บ่าวไม่เข้าใจเลยเจ้าค่ะ เมื่อครู่เกิดอะไรขึ้นในร้านกันแน่เจ้าคะ” “ไม่มีอะไรทั้งนั้น พวกเรากลับกันเถอะ” เจียอีผงะตกใจ “กลับอย่างไรเจ้าคะ ที่นี่อยู่ห่างจากจวนฉิงตั้งไกล หากเดินกลับคงได้ขาลากกันพอดี เงินทองพวกเราก็ไม่ได้พกติดตัวมาด้วย” “งั้นเจ้ารออยู่ที่นี่ ข้าจะสั่งให้คนมารับเจ้าทีหลัง” “จะทำอย่างนั้นได้อย่างไรเจ้าค่ะ ข้าจะเดินไปกับคุณหนูด้วย” สองนายบ่าวพากันเดินไปตามท้องถนนที่สองข้างทางเต็มไปด้วยร้านค้าและโรงเตี๊ยม ตอนแรกทั้งสองก็เพลินตาพลางพูดคุยเล่นกันตลอดทาง แต่ระยะทางที่ยิ่งเดินเท่าไหร่ก็ไม่ถึงสักทีทำทั้งสองเริ่มขำไม่ออกแล้ว ไม่เพียงปวดขา แต่ยังรู้สึกปวดใจด้วย ฉิงหนิงอวี่น้ำตาคลอ คิดว่าการดื้อดึงของตนไร้ประโยชน์นัก นางมิอาจล้มเลิกงานแต่ง ไม่อาจหลีกหนีจากเซี่ยเย้าเต๋อ ซ้ำในความรู้สึกส่วนลึกยังอยากให้อภัยและเริ่มต้นใหม่กับเขา นางทั้งสังเวชและสมน้ำหน้าความโง่เขลาของตัวเองเหลือเกิน ข้าเพียงอยากมีรักที่ดี อยากมีชีวิตแต่งงานที่มีความสุข อยากสร้างครอบครัวกับชายที่ข้ารัก ข้าไม่ได้อยากจะทำร้ายใครเลย แค่ต้องการใครสักคนที่รักข้าจากใจจริง ทำไมสวรรค์ถึงให้ข้าไม่ได้! ตั้งแต่เกิด ฉิงหนิงอวี่มักโดนเปรียบเทียบกับบรรดาพี่น้องและไม่ได้การใส่ใจจากบิดามารดาเท่าที่ควร นางจึงใฝ่ฝันอยากเติมเต็มความรักที่ขาดหายในช่วงเวลานั้น หลงคิดว่าการแต่งงานจะช่วยนำพาสิ่งที่ปรารถนามาให้นางได้ แต่ซ้ำร้ายกลับฉุดนางให้ต่ำลงไปเรื่อยๆ เท้าของฉิงหนิงอวี่เริ่มแสบร้อนและบวมแดง ท้ายที่สุดเมื่อนางถอดรองเท้าออกก็พบว่ามีบางส่วนที่พองและบางส่วนเริ่มมีเลือดไหลซึมออกมาแล้ว “คุณหนู! หาที่พักกันก่อนนะเจ้าค่ะ คุณหนูเท้าถลอกหมดแล้ว” เจียอีพยายามจะเข้าไปดึงตัวนายสาวให้ไปหาที่นั่งพักและหลบแดด แต่ฉิงหนิงอวี่กลับผลักตัวเจียอีจนกระเด็น ฉิงหนิงอวี่อยากสัมผัสกับความเจ็บปวด นางอยากเตือนสติตัวเองว่าเซี่ยเย้าเต๋อกระทำเรื่องร้ายกาจกับตนมากแค่ไหน ควรหรือไม่ที่จะอภัยให้คนแบบนี้ นางจะยังยืนหยัดตามแผนการของตนต่อ ไม่ใช่เพียงเซี่ยเย้าเต๋อที่ต้องชดใช้ แต่ทั้งตระกูลเซี่ย และตระกูลฉิงก็ต้องร่วมชดใช้ให้นางด้วย! “ฝืนตนเช่นนี้ไม่เจ็บหรือไง” จู่ๆ บุรุษผู้หนึ่งก็ขี่อาชาสีดำมาหยุดข้างหน้าฉิงหนิงอวี่ เขาจ้องมองนางเหมือนอย่างทุกทีที่เคยมอง หยิ่งยโสและเผด็จการ ทว่าลึกเข้าไปในดวงตาดำมืดนั้นคล้ายมีความอ่อนโยนซ่อนอยู่ “เจ็บสิ” ฉิงหนิงอวี่ตอบเสียงสั่น “เจ็บเจียนจะขาดใจอยู่แล้ว” รอบกายบุรุษคล้ายแผ่รังสีอำมหิตเยือกเย็นออกมา เขากระโดดลงมาอุ้มตัวฉิงหนิงอวี่ขึ้นไปนั่งบนหลังม้า จากนั้นห้อตะบึงออกไปอย่างรวดเร็ว “หลี่เฉียง! เจ้าจะ...” “ชื่อจริงของข้าคือหมินเสี่ยวเทียน มิใช่หลี่เฉียง” ฉิงหนิงอวี่เบิกตากว้างอย่างไม่เชื่อหู หมินเสี่ยวเทียน…ชายผู้นี้ คือใครกันแน่!?
Free reading for new users
Scan code to download app
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    Writer
  • chap_listContents
  • likeADD