10 สตรีผู้อาภัพ / 1

1641 Words
แม้ว่าการขอถอนหมั้นกับแม่ทัพเจินจะยังไม่สำเร็จ แต่ถงหลานเฟยก็ไม่ได้ล้มเลิกความตั้งใจ เธอยังคงคิดหาทางที่จะถอนหมั้นกับเขาต่อไป แต่ก็พยายามหาลู่ทางอื่นที่จะพาตัวเองออกไปจากการดูแลของเขาเสียก่อน ยิ่งอยู่ในจวนของเขาต่อไปมันก็จะกลายเป็นบุญคุณ และนั่นก็อาจจะทำให้การถอนหมั้นยิ่งยากเข้าไปอีก หญิงสาวหลงยุคเบื่อการเดินเล่นในสวนรอบจวนของตระกูลเจินเสียแล้ว จึงได้ออดอ้อนชุนเหยียนให้พาออกไปเที่ยวที่ตลาด เธอไม่เพียงแค่อยากไปเดินเที่ยวเตร็ดเตร่เท่านั้น แต่ยังคิดที่จะไปสอดส่องหาลู่ทางทำมาหากินอีกด้วย ตลาดที่นี่ไม่ได้แตกต่างไปจากตลาดตามชนบทสักเท่าไหร่ จะแปลกกว่ากันสักหน่อยก็ตรงที่ร้านค้ารายทางมีโครงสร้างจากไม้เป็นส่วนใหญ่ ข้าวของที่นำมาขายส่วนมากจะเป็นผลผลิตทางการเกษตร ของป่า มีผ้าและเครื่องประดับบ้าง ถงหลานเฟยแอบนับร้านอาหารเห็นว่ามีอยู่หลายร้าน แต่ร้านที่ใหญ่และโดดเด่นมีอยู่สามร้าน ดูแล้วน่าจะรองรับแต่แขกที่มีฐานะ ในเมืองนี้ผู้คนคึกคักมาก ในตลาดเดินกันจนแน่น ขนาดว่ามีสงครามที่ชายแดน ที่ในเมืองหลวงกลับปกติดีราวกับไม่มีอะไรเกิดขึ้น นอกจากนี้ถงหลานเฟยยังสังเกตเห็นว่ามีบุรุษหน้าตาแปลกชนชาติหลายคนมาค้าขายในตลาด นั่นอาจจะหมายความว่า เมืองนี้มีการคมนาคมกับชาติอื่นๆ ที่อยู่ห่างไกลแล้ว “คุณหนูอยากจะได้อะไรหรือเจ้าคะ ชุนเหยียนจะได้พาไปถูกร้าน เดินเตร็ดเตร่ไปเรื่อย คนแก่เริ่มจะเวียนหัวเสียแล้ว” หญิงชราบอกกับผู้เป็นนายที่เดินนำอยู่ด้านหน้าพลางหยิบเอายาหอมขึ้นมาดมเพื่อบรรเทาอาการวิงเวียน “งั้นชุนเหยียนนั่งรอข้าที่ร้านน้ำชานี้ก่อน ข้าจะไปเดินเล่นให้ทั่ว แล้วจะกลับมาหาท่านที่นี่ แบบนี้เป็นอย่างไร?” หญิงสาวผู้เป็นนายเสนอขึ้น แต่มีหรือชุนเหยียนจะยอมห่างจากถงหลานเฟย ยิ่งเป็นพื้นที่ที่คนมากหน้าหลายตาเช่นนี้ ยิ่งไม่มีทางยอมแน่ “ไม่ได้เจ้าค่ะ เกิดมีคนมาทำอะไรคุณหนูเข้าจะทำอย่างไร” หญิงสาวผู้เป็นนายสั่นศีรษะไปมาด้วยความเอ็นดูคนชรา เธอรู้สึกได้ว่าชุนเหยียนนั้นรักเธอด้วยหัวใจที่บริสุทธิ์ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องไหน ชุนเหยียนก็จะเป็นห่วงเธอไปเสียหมด “แค่เดินดูตลาดไม่กี่ซอยชุนเหยียนของข้าก็จะเป็นลมเสียแล้ว ถ้ามีคนมาทำร้ายข้าจริงๆ ชุนเหยียนจะเอาแรงที่ไหนมาช่วยข้าเล่า” คนถูกพูดแซวแสดงสีหน้าเศร้าสร้อยเมื่อได้ยินอย่างนั้น เธอคิดมาตลอดมาตัวเองคงจะชรามากเกินกว่าจะดูแลถงหลานเฟยเพียงคนเดียวได้ไหว แต่ก็พยายามฝืนทนมาตลอด เพราะความเป็นห่วง คุณหนูถงของนางในยามนี้เหลือเพียงตัวคนเดียวเท่านั้น ไม่มีญาติมิตรที่ไหน ความหวังที่จะได้เป็นฝั่งเป็นฝากับแม่ทัพเจิน จึงเป็นทางเดียวที่พอจะช่วยให้ชุนเหยียนเบาใจได้ ว่าหากนางสิ้นใจไปแล้ว ถงหลานเฟยจะมีคนคอยดูแลแทนตน “ข้าไม่ได้หมายความว่าเช่นนั้น...” เมื่อเห็นว่าชุนเหยียนแสดงสีหน้าเศร้า คนพูดจึงต้องถอนคำพูดที่ไม่ทันคิดของตัวเอง แม้จะคิดเช่นนั้นจริงๆ แต่ก็ไม่ควรไปพูดให้อีกฝ่ายเสียใจ “ข้าแค่อยากให้ท่านนั่งพักรอข้า ข้าสัญญาว่าจะไปไม่นาน และจะไม่ให้มีเรื่องอะไรเกิดขึ้น จะกลับมาหาท่านอย่างปลอดภัย” สุดท้ายชุนเหยียนก็พ่ายแพ้ต่อสายตาเว้าวอนของคุณหนูถงอีกตามเคย หญิงชรายอมนั่งรอที่ร้านน้ำชา โดยถงหลานเฟยได้ควักเงินซื้อของกินไว้ให้นางด้วย แม้ว่าเจ้าตัวจะปฏิเสธอย่างไรก็ตาม เมื่อได้มาเดินลำพังโดยไร้เงาของชุนเหยียนแล้ว ถงหลานเฟยก็เข้าออกทุกซอกซอย เพื่อจะหาลู่ทางทำมาหากิน เธอคิดว่าอยากจะทำร้านอาหาร หรือไม่ก็โรงน้ำชา เพราะดูจะเป็นธุรกิจทำเงินง่ายสำหรับที่นี่ เนื่องจากเป็นเมืองหลวงที่มีผู้คนสัญจรมาจากต่างถิ่น เป็นแหล่งแลกเปลี่ยนซื้อขาย คนเดินทางมาไกลก็จะเหนื่อยและหิว ถึงจะมีของกินมาตลอดทาง แต่ก็คงเป็นของที่ไม่รื่นเริงใจนัก ถ้าได้มากินอาหารที่แปลกลิ้นสักหน่อยก็น่าจะดีกว่า “ได้โปรดเถิดท่าน ลูกสาวข้ายังเด็ก นางขายตัวมิได้หรอก” ระหว่างทางกลับ หญิงสาวได้ยินเสียงร้องไห้ของใครบางคนสลับกับเสียงด่าทองของชายคนหนึ่ง เมื่อหันมองไปที่ต้นเสียงก็พบหญิงวัยกลางคนเนื้อตัวมอมแมม รูปร่างผอมโซ กับเด็กสาวอีกคนที่อยู่ในสภาพไม่ต่างกัน นั่งประนมมือไหว้วอนต่อชายมีอายุที่พยายามจะฉุดกระชากเด็กสาวไป แม้จะพยายามบอกตัวเองว่าสัญญากับชุนเหยียนเอาไว้ว่าจะไม่มีเรื่อง แต่เห็นคนอื่นตกทุกข์ได้ยากแบบนี้จะทำเป็นไม่สนใจก็เห็นทีว่าจะไม่ได้ หญิงสาวยืนชั่งใจอยู่ครู่หนึ่งว่าจะทำอย่างไรดี ท้ายที่สุดก็เลือกที่จะสาวเท้าเข้าไปหาคนทั้งสามเพื่อช่วยเหลือสตรีทั้งสองที่กำลังร่ำไห้อ้อนวอนขอความเห็นใจจากชายมีอายุที่ท่าทางดูใจร้าย “มีอะไรกันหรือ” เสียงเอ่ยถามของถงหลานเฟยทำให้ชายผู้ที่กำลังยื้อแย่งเด็กหญิงเผลอปล่อยมือ “แม่นางผู้นี้ติดหนี้ข้าไว้ ไม่คืนต้น ไม่ส่งดอกมาหลายปีแล้ว นางเอาลูกสาวมาค้ำประกันไว้เมื่อปีก่อน มาวันนี้ยังจะมาขอกู้เพิ่มอีก พอข้าเสนอให้จ่ายดอกมาก่อน นางก็บอกแต่ว่าไม่มี ข้าจึงต้องขอยึดหลักประกัน นางก็ไม่ยอมอีก” ถงหลานเฟยหันมองสตรีผู้ถูกกล่าวอ้าง นางมิได้พูดแก้ตัวอะไร เอาแต่ร้องไห้กอดลูกสาว จึงเดาได้ว่าสิ่งที่เถ้าแก่เงินกู้พูดมาคงจะเป็นเรื่องจริง “นางติดเงินท่านอยู่เท่าไหร่” “เงินต้น 1 ตำลึงเงิน รวมดอกเบ็ดเสร็จก็... 5 ตำลึงเงินพอดี” * เมื่อได้ยินคำตอบ คนถามกลับเอาแต่นิ่งเงียบ เพราะนางไม่รู้ว่า เงินจำนวนที่ว่านี้มันคือเท่าไร “อืม...กำไลนี้พอจะจ่ายเป็นค่าดอกเบี้ยได้หรือไม่” หญิงสาวว่าพลางถอดกำไลทองออกจากแขนแล้วยื่นให้เถ้าแก่เงินกู้ดู ชายผู้ได้รับข้อเสนอตาลุกวาว ทองคำแท้เนื้องามอย่างนี้ หากนำไปขายต้องได้ราคามากกว่าหนี้ทั้งต้นทั้งดอกแน่ “พอ พอสิ พอจะจ่ายดอกได้สักงวด...” “นายหญิง อย่าไปเชื่อเถ้าแก่หน้าเลือดนะเจ้าคะ ข้าเคยเป็นคนงานในโรงทำทอง ทองเนื้องามเช่นนี้หากท่านเอาไปขายจะได้เงินมากกว่า 1 ตำลึงทองเสียอีก” สตรีผู้เป็นลูกหนี้รีบร้องขึ้น เมื่อเห็นว่าเถ้าแก่เงินกู้กำลังจะโกงหญิงสาวที่เข้ามาช่วยเหลือตน ดูจากการแต่งตัว เสื้อผ้าที่ใส่ เครื่องประดับบนตัว ผิวพรรณที่ผุดผ่อง ก็พอจะเดาได้ว่า สตรีผู้นี้ต้องเป็นชนชั้นสูงที่มีฐานะอย่างแน่นอน “มากไปเหรอ งั้นถ้าเป็นแหวนวงนี้ล่ะ” ว่าแล้วถงหลานเฟยก็ใส่กำไลกลับเข้าไปที่เดิม แล้วถอดแหวนออกจากนิ้วนางข้างซ้าย แล้วยื่นให้กับเถ้าแก่เงินกู้แทน “ได้ หยินซีหนี้ของเจ้าถือว่าหมดแล้วนะ” เถ้าแก่เงินกู้รีบคว้าเอาแหวนไปจากมือของถงหลานเฟยแล้วเดินกลับเข้าอาคารของตัวเองไป ส่วนถงหลานเฟยนั้น เธอหยิบเอาเงินจากในกระเป๋าที่พกติดตัวมายื่นให้กับสตรีผู้เป็นมารดาของเด็กสาว เธอเองก็ไม่แน่ใจเหมือนกันว่าอะไรทำให้เธอต้องเข้ามายุ่งเรื่องของคนอื่นแบบนี้ อาจจะเป็นจิตใต้สำนึกของถงหลานเฟยตัวจริง เพราะนางเป็นคนมีเมตตา “นายหญิงข้าขอบคุณท่านด้วย ขอบคุณที่เมตตาข้ากับลูกสาว” ของสตรีก้มลงกราบกรานด้วยใจที่ซาบซึ้ง ถงหลานเฟยได้แต่มองดูคนทั้งสองและพยายามห้ามปรามมิให้ทำเช่นนั้น “ลุกขึ้นเถิด ข้าเพียงทนเห็นผู้หญิงด้วยกันถูกรังแกไม่ได้ ข้าไม่รู้หรอกว่าท่านนำเงินที่กู้ไปทำอะไร แต่ข้าขอเถิดอย่าเอาลูกสาวไปค้ำประกันอีกเลย หากไม่มั่นใจว่าจะมีเงินชดใช้ได้” “ข้ากู้เงินไปทำนาเจ้าค่ะ แต่ปีนั้นฝนแล้งข้าจึงขาดทุนสิ้น วัวที่ซื้อมาก็ล้มตาย สามีข้าก็ตายด้วยโรคระบาด ข้าเหลือกันเพียงสองแม่ลูก ละหกละเหหางานทำไปเรื่อย ตอนนี้ข้าได้งานเป็นลูกจ้างร้านอาหารตรงหัวมุมด้านตะวันออก แต่ลูกสาวข้าไม่ได้ค่าแรง เพราะยังเด็กต้องทำงานแลกข้าวไปวันๆ” ยิ่งได้รู้เรื่องของทั้งสอง ถงหลานเฟยก็ยิ่งรู้สึกเวทนา แต่หลังจากที่พูดคุยกันได้เพียงไม่นาน ทั้งสามคนก็ต่างพากันแยกย้าย เพราะถงหลานเฟยต้องรีบไปหาชุนเหยียนที่รออยู่ร้านน้ำชา
Free reading for new users
Scan code to download app
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    Writer
  • chap_listContents
  • likeADD