ชุนเหยียนเมื่อได้ยินก็พยุงตัวลุกขึ้นแล้วเดินตรงไปเปิดบานประตู ภาพตรงหน้าทำให้หญิงชราตกใจเป็นอย่างมาก เพราะบุรุษที่ยืนสวมชุดเกราะอยู่ด้านหลังของประตูคือเจินฮุ่ยหมิง ที่เจ้าตัวคิดว่าน่าจะไปเข้าเฝ้าฮ่องเต้เพื่อรายงานการเดินทางไปชายแดน
ถงหลานเฟยที่จดจำใบห้าของเจ้าของร่างกายกำยำหน้าประตูไม่ได้ ยืนมองดูเขาด้วยสายตาฉงน รอฟังว่าอีกฝ่ายจะพูดอะไร
"ข้าขอคุยกับเจ้านายของเจ้าหน่อยได้หรือไม่" เขาเอ่ยถามชุนเหยียนเป็นเชิงว่าต้องการพูดคุยกับถงหลานเฟยเพียงลำพัง หญิงชรายืนนิ่งเพราะกลัวจะเกิดปัญหาขึ้น ถงหลานเฟยในตอนนี้ไม่ได้เหมือนปกติ เธอจำอะไรไม่ได้ ซ้ำยังเอาแต่พูดเรื่องถอนหมั้นมาตลอดตั้งแต่รู้เรื่องหนิงเซียง หากปล่อยให้อยู่กันลำพัง กลัวว่าเจ้านายของตนจะพูดเรื่องถอนหมั้นขึ้นมา แล้วจะกลายเป็นเรื่องเป็นราวใหญ่โตเอาได้
“ยืนนิ่งอยู่ทำไมเล่าชุนเหยียน” ชายหนุ่มพูดย้ำ เพื่อให้หญิงชรารู้ตัวว่าตนนั้นต้องออกไปจากที่นี่
“คือว่า...ชุนเหยียนมีเรื่องต้องบอกกับท่านแม่ทัพให้ทราบก่อนเจ้าค่ะ”
“งั้นก็ว่ามา ข้ามีอีกหลายเรื่องต้องไปทำ” เจินฮุ่ยหมิงว่าอย่างใจเย็น ความจริงแล้วเขาต้องเขาวังไปรายงานตัวกับฮ่องเต้ก่อน แต่เพราะวันที่ออกเดินทางเขาไม่ได้อยู่ดูถงหลานเฟย ทั้งที่มีบ่าวรับใช้ไปบอกเรื่องที่นางตกบ่อน้ำแล้ว ทำให้รู้สึกผิดต่อคู่หมั้นในเรื่องนี้ ตลอดการเดินทางไปชายแดน เรื่องนี้ก็รบกวนความคิดเขาอยู่ตลอดจนไม่เป็นอันจะทำอะไรได้ ครั้นเมื่อถึงเวลาเดินทางกลับมาจึงตั้งใจเอาไว้ ว่าจะมาหาถงหลานเฟยก่อนจะเข้าไปวังหลวง
“คุณหนูความจำเสื่อมเจ้าค่ะ จำอะไรมิได้เลย” เจินฮุ่ยหมิงพยักหน้ารับ เขารับรู้เรื่องนี้มาจากเจินลี่หลัวก่อนแล้ว ทั้งยังถูกพี่สาวต่อว่ามาชุดใหญ่ เรื่องที่ทิ้งถงหลานเฟยไว้ก้นบ่อน้ำ แล้วพาหนิงเซียงไปชายแดน
“ข้ารู้มาจากพี่เจินแล้ว เจ้าวางใจเถิด ข้าขอคุยกับนายของเจ้าสักครู่” คราวนี้ชุนเหยียนจำต้องยอมเดินออกจากเรือนไป และได้แต่ภาวนาว่าคุณหนูของตนจะไม่พูดเรื่องถอนหมั้นขึ้นมา
“เป็นอย่างไรบ้าง” ชายร่างสูงในชุดนักรบ ผมยาวสลวยของเขาถูกมัดรวบเป็นหางม้าไว้ที่กลางศีรษะ ใบหน้าคมผิวเข้มกร้านแดด กับคิ้วหน้าที่ทำให้ใบหน้าของเขาดูดุดันน่าเกรงกลัว ยามเอ่ยพูดดวงตามองไปทิศทางอื่นไม่สบตากับคู่สนทนาเพราะรู้สึกผิด
ถงหลานเฟยเดาว่าบุรุษผู้นี้คงจะเป็นแม่ทัพเจินไม่ผิดแน่ จากการแต่งตัว และรูปพรรณสัณฐานของเขา อีกทั้งท่าทางเฉยชาที่มีต่อตัวเองเหมือนคนที่มาตามหน้าที่ ไม่ได้มีใจเป็นห่วงอะไร
“ถ้าไม่นับเรื่องที่ข้าจำอะไรไม่ได้ ก็ไม่เป็นอะไรเลย สบายดี” คนฟังขมวดคิ้วทันที เพราะเขาได้ยินมาจากพี่สาวว่าคนตรงหน้าจมหายไปนานจนทุกคนที่ไปช่วยกันงมหา ต่างก็คิดว่านางสิ้นใจไปเสียแล้ว แค่ลอยกลับขึ้นมาเองได้ก็น่าแปลกมากแล้ว นี่ยังดูไม่เป็นอะไรเลยอย่างที่เจ้าตัวพูดบอกอีก
จะว่าเป็นการโกหกเพื่อเรียกร้องความสนใจก็ไม่น่าจะเป็นได้ เพราะถงหลานเฟยไม่ใช่คนที่มีมารยาอะไร ออกจะเป็นคนซื่อเสียด้วยซ้ำไป
“งั้นเหรอ ไม่เป็นอะไรก็ดีแล้ว” เขาเพียงต้องการมาเจอกับคนจมน้ำให้ตัวเองสบายใจเท่านั้น ว่านางไม่ได้เป็นอะไรจริงๆ เพราะเกิดถงหลานเฟยเป็นอะไรขึ้นมา คนที่ทิ้งคู่หมั้นไปอย่างเขาคงจะรู้สึกผิดมากทีเดียว
“เดี๋ยวก่อนสิ” เมื่อเจินฮุ่ยหมิงทำท่าจะเดินออกไปที่ประตู เสียงหวานของเจ้าของห้องก็ร้องห้ามเอาไว้เสียก่อน
“ว่าอย่างไร”
“มีคนเห็นหวานใจของท่านแถวบ่อน้ำที่ข้าตกลงไป ท่านช่วยพิจารณาเรื่องนี้ให้ข้าได้หรือไม่” คนฟังต้องขมวดคิ้วอีกครั้งด้วยความงุนงง
“หวานใจ?” สิ่งแรกคือคำพูดของถงหลานเฟย ที่เขาไม่เข้าใจว่านางกำลังพูดถึงอะไร
“ก็คนรักของท่านไง ข้าจำชื่อนางไม่ได้ แต่มีคนบอกข้าว่าเห็นนาง แถวบ่อน้ำที่ข้าตกลงไป แล้วก็ไม่ต้องถามว่าใครบอก เพราะข้าก็จำชื่อคนบอกไม่ได้เช่นกัน” คนพูดคิดคำพูดพวกนี้มาหมดแล้ว เธอต้องการจะเอาคืนคนทำผิด และเลี่ยงไม่ให้ความผิดไปตกที่ชุนเหยียน หากแม่ทัพเจินเข้าข้างคนของตัวเอง แล้วสืบหาคนพูด แทนที่จะสืบหาความจริงจากคนทำ
“อย่างนั้นรึ เอาไว้เสร็จธุระจากวังหลวงข้าจะจัดการให้” เขารับปากแม้จะไม่ได้แสดงอารมณ์ใดเลยตอนพูด แต่น้ำเสียงก็หนักแน่นพอที่จะทำให้คนร้องขอเชื่อว่าเขาจะจัดการเรื่องนี้ให้จริงๆ
ที่ถงหลานเฟยสงสัยว่าแม่ทัพเจินรู้เรื่องที่หนิงเซียงรังแกตนหรือไม่นั้น ความจริงแล้วตอนที่เจินลี่หลัวรู้ว่าหนิงเซียงมาระรานว่าที่น้องสะใภ้ นางก็มิได้นิ่งนอนใจรีบนำเรื่องไปบอกกับน้องชายให้จัดการคนของตัวเองทันที
เรื่องที่หนิงเซียงถูกย้ายออกไปอยู่ท้ายจวน เป็นความคิดของเจินฮุ่ยหมิงที่ขอให้พี่สาวช่วยจัดการให้ เพราะอย่างไรหนิงเซียงก็ได้ชื่อว่าเป็นคนรักของเขา ส่วนเรื่องที่ไปรังแกถงหลานเฟยเขาก็ได้ปรามไปบ้างแล้วว่าอย่าทำอีก มิฉะนั้นจะส่งกลับไปอยู่ชายแดนตามเดิม
และนี่ก็เป็นชนวนเหตุที่ทำให้หนิงเซียงลงมือจัดการกับถงหลานเฟยอย่างหมายจะเอาชีวิต เรื่องที่ถงหลานเฟยบอกจึงมีน้ำหนักน่าเชื่อถือ แต่หากไม่มีพยานหรือหลักฐาน จะไปว่ากล่าวกันลอย ๆ ก็คงจะไม่ได้เช่นกัน เพราะคราวก่อนหากไม่มีเจินลี่หลัวมาช่วยยืนยันว่าเห็นเองกับตา พร้อมกับบ่าวรับใช้อีกสองสามคน ให้ตายยังไงหนิงเซียงก็ไม่มีทางยอมรับ ว่ารังแกถงหลานเฟยจริงๆ
หลังจากที่แม่ทัพเจินออกจากเรือนไปแล้ว ชุนเหยียนรีบสาวเท้าเข้าไปหานายของตนด้วยความวิตกกังวล เธอไม่กล้าที่จะแอบฟังคนทั้งสองพูดคุยกัน จึงทำได้เพียงเดินวนไปวนมาอยู่ตรงสวนด้านหน้า ทั้งคู่คุยกันไม่นานอย่างที่คิด แต่ก็นานพอที่ถงหลานเฟยจะพูดจาเหลวไหล ขอถอนหมั้นกับแม่ทัพเจินได้
“ท่านแม่ทัพว่าอย่างไรบ้างเจ้าคะ” หญิงชราเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงสั่นเครือ ใจก็ภาวนาว่าจะได้คำตอบที่น่าฟัง นางรู้ดีว่าหากถงหลานเฟยไม่ได้แต่งงานกับแม่ทัพเจิน ชีวิตของหญิงสาวผู้นี้จะต้องลำบากแน่ ลำพังตัวเองนั้นไม่มีอะไรให้ต้องห่วง อีกไม่กี่ปีก็คงตายตกไปตามอายุขัย แต่ถงหลานเฟยยังต้องมีชีวิตอยู่บนโลกใบนี้อีกนาน นางอยากจากโลกใบนี้ไปโดยไม่ต้องห่วงเจ้านายที่ตนรักดั่งลูกในไส้ผู้นี้
“เห็นว่าจะจัดการให้ ก็ไม่รู้ว่าจะทำได้อย่างปากว่าหรือเปล่า เห็นทำหน้าไม่ยินดียินร้ายอะไรกับคำขอ แต่น้ำเสียงก็มีความน่าเชื่อถืออยู่บ้าง” ชุนเหยียนล้มลงไปนั่งกองที่พื้นทันที นางคิดว่าเจ้านายของตัวเองขอถอนหมั้นกับแม่ทัพเจินเสียแล้ว และอีกฝ่ายก็คงตอบตกลง เพราะมีคนรักอยู่แล้ว
หญิงสาวผู้เป็นเจ้านายรีบวิ่งลงไปย่อตัวลงนั่งข้างบ่าวชรา พลางจับประคองแขนเล็กๆ ของอีกฝ่ายด้วยความตื่นตกใจ ที่อยู่ๆ ชุนเหยียนก็ล้มลงแบบนั้น
“เป็นอะไรไป ข้าไม่ได้บอกแม่ทัพหรอกนะ ว่าชุนเหยียนเป็นคนบอกเรื่องนี้กับข้า ไม่เห็นจะต้องตกใจขนาดนี้เลย”
“จะไม่ตกใจอย่างไรได้เจ้าคะ ชุนเหยียนอุตส่าห์บอกท่านแม่ทัพแล้วแท้ๆ ว่าคุณหนูความจำเสื่อม ท่านแม่ทัพยังรับคำจะถอนหมั้นกับคุณหนูอีก” ได้ยินอย่างนั้นผู้เป็นนายก็เข้าใจในทันที ว่าบ่าวของตนนั้นคงจะเข้าใจอะไรผิดเสียแล้ว ทีแรกถงหลานเฟยก็ตั้งใจจะคุยเรื่องนี้อยู่เหมือนกัน แต่เหมือนจิตของเจ้าของร่างอยากจะทวงความยุติธรรมให้ตัวเอง ถึงได้ลืมเรื่องนี้ไปเสียสิ้น
หญิงสาวผู้เป็นนายถอนหายใจพลางสั่นศีรษะไปมาเมื่อได้รู้ว่าบ่าวของตนเป็นอะไร
“ข้ามิได้พูดเรื่องถอนหมั้นหรอก ข้าแค่บอกกับแม่ทัพว่ามีคนเห็นคนรักของเขา แถวบ่อน้ำที่ข้าตกลงไปก็เท่านั้น” ร่างบางของหญิงชราที่กำลังจะถูกพยุงให้ลุกขึ้น พลันทรุดกลับลงไปอีกครั้งเมื่อได้ยินผู้เป็นนายบอก นางมิได้กลัวเรื่องที่จะถูกสาวมาถึงตัวว่าตนเป็นคนพูด แต่กลัวว่าหากหนิงเซียงรู้เรื่องเข้า จะมาหาเรื่องเจ้านายตนอีก
“เป็นอะไรไปอีกล่ะชุนเหยียน ท่านยังไม่ได้แก่ขนาดนั้นสักหน่อย ทำไมถึงได้ขยันเป็นลมนัก” หญิงสาวผู้เป็นนายว่าพลางประคองบ่าวชราของตนให้นั่งลงในท่าที่สบายขึ้น พลางหยิบเอายาหอมที่ชุนเหยียนเคยเอาให้ตัวเองดมบรรเทาอาการปวดศีรษะยื่นให้กับผู้เป็นบ่าวด้วยความห่วงใย
“ถ้าเกิดหนิงเซียงรู้ว่าคุณหนูฟ้องเรื่องนี้กับท่านแม่ทัพ นางต้องมาหาเรื่องคุณหนูแน่ๆ เลยเจ้าค่ะ”
“ไม่ต้องกลัวหรอกน่า ข้ามิใช่คนเก่าอีกแล้ว จะไม่ยอมให้ใครมารังแกทั้งตัวข้าหรือแม้แต่ชุนเหยียน ข้าก็จะเป็นคนปกป้องเอง” ถงหลานเฟยว่าพลางทำท่ากำหมัดมั่นทั้งสองข้าง ชุนเหยียนมองดูท่าทางน่าเอ็นดูของผู้เป็นนายแล้วก็คลี่ยิ้มออกมา แต่ในใจก็ยังกังวลอยู่ดังเดิม ตลอดมาถงหลานเฟยเป็นฝ่ายถูกกระทำมาโดยตลอด จะเอาอะไรมาปกป้องตัวเองได้ หนิงเซียงทั้งเจ้าเล่ห์เจ้ามารยา แถมเรื่องการใช้กำลังก็เก่งกว่าบุรุษบางคนเสียอีก