ชุนเหยียนพาเจ้านายของตนเดินไปที่ศาลบูชาองค์เทพ ซึ่งเป็นหนึ่งในจุดสำคัญของแคว้น ศาลแห่งนี้เป็นที่ยึดเหนี่ยวจิตใจของคนในแคว้นเฉิงซาน ช่วงแรกที่ย้ายมาอยู่ที่นี่ศาลแห่งนี้เป็นที่พึ่งพาเยียวยาจิตใจของถงหลานเฟยจากการสูญเสียทั้งบิดาและมารดา ในเวลาไล่เลี่ยกัน แม้ว่าตัวเธอนั้นจะไม่ใช่บุตรที่เกิดมาบนความภาคภูมิใจของบุพการีก็ตาม
“อีกไกลไหมเนี่ย ฉันเริ่มเหนื่อยแล้วนะ” หญิงสาวเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงเหน็ดเหนื่อย เธอเพิ่งจะฟื้นจากการจมน้ำแท้ๆ แทนที่จะได้พักผ่อน ดันพาเดินมาตั้งไกล ตอนที่ชุนเหยียนชักชวนว่าจะพาไปไหว้เทพ ก็คิดว่าจะอยู่ใกล้ๆ นี่เดินมาจนเหนื่อยหอบแล้ว แต่ก็ยังไม่มีวี่แววว่าจะถึงศาลที่ว่านั่น
“เราก็มาที่นี่ด้วยกันออกบ่อย คุณหนูลืมสิ้นแล้วหรือเจ้าคะ” หญิงชราย้อนถาม เพราะเห็นว่าอีกไม่กี่ก้าวก็จะถึงศาลเจ้าแล้ว
“ข้าบอกไปกี่ครั้งแล้ว ว่าข้าจำอะไรไม่ได้” คนเป็นนายร้องตอบ แต่สายตาของเธอนั้นก็มองเห็นศาลไม้ขนาดย่อมอยู่ไม่ไกลแล้ว ตรงนี้แม้จะอยู่ใจกลางเมืองหลวง แต่กลับถูกแยกออกมาจากผู้คนได้อย่างน่าประหลาด บริเวณที่ถูกจัดตั้งให้เป็นศาลเจ้ารายล้อมไปด้วยต้นไม้ ด้านหลังเป็นทะเลสาบขนาดกว้างพอประมาณที่เชื่อมด้วยแม่น้ำสายสำคัญของแคว้น
แต่เพียงแค่หญิงสาวมองเห็นหินที่ถูกแกะสลักเป็นรูปตัวแทนองค์เทพ เธอก็จำได้ทันทีว่านี่คือเทพองค์เดียวกันกับที่เธอเผาศาล
“ตายจริง ลืมเอาของบูชามาด้วย คุณหนูรออยู่นี้ประเดี๋ยวนะเจ้าคะ ชุนเหยียนจะไปหาของมาถวายท่านเทพ” หญิงชราบอกกับเจ้านาย ก่อนที่จะเดินย้อนกลับไปทางเดิม เพื่อหาเครื่องสักการะองค์เทพ
“นี่มันเทพที่ทำให้ฉันอกหักนี่!!!” แม้ว่าปติมากรรมการทำรูปสมมติขององค์เทพจะต่างกัน แต่เค้าโคลงก็ทำให้เธอจดจำได้
“ถูกต้องแล้วล่ะ” เสียงของใครบางคนดังแทรกขึ้นมาจากด้านหลัง และเมื่อถงหลานเฟยหันกลับไปมองก็พบว่าเขาคือผู้ชายที่แต่งตัวด้วยชุดโบราณ และเหมือนกับรูปปั้น เพียงแต่หน้าตาของเขาต่างจากรูปปั้นไปบ้างก็เท่านั้น
“นี่...”
“ข้าคือเทพแห่งหุบเขาเฉิงซาน” เขากล่าวแนะนำตัวเอง เขาไม่ได้มีพลังด้านการช่วยเหลือความรักสักนิด แต่ตำนานถูกเล่าขานกันไปรุ่นสู่รุ่น เกิดการปรุงแต่งและบิดเบือน จนกลายเป็นตำนานเทพแห่งความรักไปในที่สุด
“ท่านทำให้ข้ามาอยู่ในร่างของผู้หญิงคนนี้ใช่ไหม?” หญิงสาวรีบเอ่ยถามขึ้น เธอมั่นใจว่านี่เป็นฝีมือของเทพองค์นี้ไม่ผิดแน่ คงจะเป็นเพราะเรื่องที่เธอโกรธจนขาดสติ แล้วไปเผาศาลของเขาเข้า
“ก็ไม่เชิง นี่เป็นบทลงโทษของคนขาดสติเท่านั้นเอง”
“ไม่ยุติธรรมเลย ให้ชดใช้ด้วยการจ่ายค่าเสียหายก็ได้นี่” หญิงสาวเถียงอย่างไม่ยอม ชายชราสั่นศีรษะไปมา ทั้งที่เธอรู้ว่าเขาเป็นเทพ ก็ยังทำท่าทางไม่เกรงกลัวกันอยู่
“ภพนั้นเจ้าตายไปแล้ว จำไม่ได้หรือไงว่าตัวเองล้มลงในกองไฟ”
“ตายแล้วก็ควรจะไปเคลียร์เวรกรรม แล้วก็ดีลกับยมบาลว่าจะไปไหนต่อสิ ส่งข้ามาอยู่ในร่างคอื่นทำไม”
“แม่นางถงหลานเฟยเป็นสตรีที่น่าสงสาร ชีวิตนางเกิดมาไม่เคยได้รับความรักจากบิดามารดาเลย ผิดกับเจ้าที่บิดามารดาทั้งรักและเชิดชู แต่กลับไปโหยหาความรักจากชายหนุ่ม” คนถูกเหน็บแนมเบิกตากว้าง
“ก็มันไม่เหมือนกันนี่ แม่นางผู้นี้ไม่ได้รับความรักแล้วมันเกี่ยวอะไรกับท่านเล่า”
“นางศรัทธาและบูชาข้าด้วยใจบริสุทธิ์มานานหลายปี แต่ชะตาชีวิตกลับไม่เคยปราณีทะนุถนอมนาง ชีวิตพบพานแต่เรื่องน่าเวทนา” ตลอดชีวิตของถงหลานเฟย ที่องค์เทพได้รู้ชะตาชีวิตของนาง ก็เพราะว่าเป็นคนประทานนางให้กับหลิวเฟยเหลียน มารดาของนางที่มากราบขอพรว่าอยากได้ลูก ตั้งแต่โตมาถงหลานเฟยจึงเคารพศรัทธาต่อองค์เทพอย่างแรงกล้า เพราะเชื่อคำบอกเล่าของชุนเหยียนว่าตัวเองเกิดมาจากพรที่องค์เทพประทานให้กับผู้เป็นมารดา
“ยิ่งย้ายเข้ามาอยู่ที่นี่ก็มีคนหมายเอาชีวิต ข้าเลยอยากให้เจ้าช่วยชดใช้ด้วยการเป็นนาง แต่ทำให้ทุกคนได้รู้ว่านางมิใช่เหยื่อที่ใครจะมาคิดรังแกได้ง่ายๆ” ฟังถึงตรงนี้จินซินที่อยู่ในร่างของถงหลานเฟยก็ยังไม่เข้าใจอยู่ดี
“พูดง่ายๆ ก็คือท่านส่งข้ามารับกรรมแทนแม่นางผู้นี้อย่างนั้นใช่ไหม”
“คุณหนูพูดอยู่กับใครหรือเจ้าคะ” เพียงเสี้ยววินาทีที่หญิงสาวหันไปมองต้นเสียงจากชุนเหยียน ร่างของชายชราในชุดสีขาว หนวดยามเฟิ้มที่เมื่อครู่ยืนอยู่ตรงหน้าเธอ ก็หายไปเสียแล้ว
“ก็...ชุนเหยียนไม่เห็นเขาหรอกเหรอ” คนเป็นนายหันไปถามหญิงชรา แต่คนถูกถามก็สั่นศีรษะไปมาแทนคำตอบ
“ชุนเหยียนเห็นคุณหนูยืนคุยคนเดียวตั้งแต่เดินมาถึงหน้าศาลแล้วเจ้าค่ะ” ถงหลานเฟยถอนหายใจอย่างหงุดหงิด เธอเข้าใจแล้วว่าตัวเองต้องมีชีวิตอยู่ในร่างนี้ต่อไป เพราะกลับเข้าร่างตัวเองไม่ได้อีกแล้ว ทั้งยังรู้อีกว่าต้องเตรียมตัวรับมือให้พร้อมกับความอาภัพอับโชคที่รออยู่ข้างหน้า อย่างน้อยเรื่องแรกที่ต้องจัดการให้ได้ก็คือขอถอนหมั้นกับแม่ทัพ เพราะไม่อย่างนั้นเธอจะคงถูกคนรักของเขาลอบฆ่าเข้าสักวัน