“ตื่นแล้วเหรอลูก หิวรึยัง มากินข้าวก่อนมา พ่อเตรียมอาหารไว้ให้แล้ว” อัฐพลเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน เมื่อเห็นอารยามองมาทางเขา เขารู้สึกอึดอัดจนแทบหายใจไม่ออกทุกครั้งเมื่อเห็นดวงตากลมโตที่เต็มไปด้วยคำถามมากมายของบุตรสาว
“พ่อคะ พ่อเล่าให้อายฟังทีสิคะว่ามันเกิดอะไรขึ้นกับความครัวเรากันแน่” อารยาถามขึ้นน้ำเสียงสั่นเครือ เธอไม่ได้ตอบคำถามของคนเป็นพ่อ แต่เธอเลือกที่จะถามในสิ่งที่ค้างคาใจเธอกับเขาแทน
“อายพร้อมจะอยู่เคียงข้างพ่อนะคะ อายพร้อมจะเข้าใจพ่อทุกอย่าง พ่อเล่าให้อายฟังเถอะ ไม่ว่าปัญหานั้นมันจะเล็กหรือใหญ่ อายพร้อมรับฟัง พ่ออย่าทำแบบนี้เลยนะคะ อายอึดอัดค่ะ” อารยาพูดขึ้นด้วยสีหน้าจริงจัง ใบหน้าสวยหวานที่มักสะกดสายตาใครต่อใครเวลาพบเจอตั้งตารอคำอธิบายจากผู้เป็นพ่ออย่างจดจ่อ
อัฐพลมองหน้าลูกสาวเพียงคนเดียวของเขาด้วยความเจ็บปวดใจ แววตาบ่งบอกความรู้สึกผิดที่ทำให้เธอต้องมาเจออะไรอย่างนี้
เมื่อเห็นแววตาสั่นระริกของคนเป็นพ่อ หญิงสาวก็พอจะรับรู้ได้ว่า ปัญหาในครั้งนี้คงหนักหนาสาหัสสำหรับพ่อเธออยู่ไม่น้อย เพราะที่ผ่านมาไม่ว่าจะเกิดเรื่องอะไร ปัญหาเล็กหรือใหญ่ ท่านก็สามารถจัดการได้ทุกอย่างซึ่งต่างจากครั้งนี้ ทำให้ความขุ่นเคืองใจที่มีต่อพ่อในตอนแรกของหญิงสาวลดลงเหลือเพียงความเห็นใจ และมีความเข้าใจขึ้นมาแทน
“พ่อคะ อายคือลูกของพ่อนะคะ เราคือครอบครัวเดียวกัน พ่อมีอะไรเล่าให้อายฟังเถอะค่ะ เราจะแก้ปัญหานี้ไปด้วยกัน พ่ออย่าแบกรับมันไว้คนเดียวเลยนะคะ แบ่งมาให้อายบ้าง อายรักพ่อนะคะ” หญิงสาวเอ่ยขึ้น น้ำตาไหลอาบแก้มด้วยความสงสารพ่อของตัวเอง
ตลอดที่ผ่านมาอารยาไม่เคยรู้เลยว่า พ่อของเธอต้องเจอกับอะไรมาบ้าง เธอรู้แค่ว่าพ่อของเธอทำงานอย่างหนักเพื่อให้เมียกับลูกอยู่อย่างสุขสบายที่สุดโดยไม่ปริปากบ่นสักคำ อารยาได้เรียนโรงเรียนดีๆ ใช้ชีวิตเหมือนคุณหนูอยู่อย่างสุขสบาย แม่เธอเองก็เช่นกัน ใช้ชีวิตหรูหราสุขสบายมาโดยตลอด ซึ่งทั้งหมดล้วนมาจากการทำงานอย่างหนักของพ่อเธอ
และวันนี้ถ้าเกิดเรื่องอะไรขึ้นกับครอบครัวของเธอ เธอก็เชื่อว่าท่านคงไม่ได้ตั้งใจที่จะให้มันเกิดขึ้น และเธอก็ยินดีจะสู้ไปกับท่านทุกอย่าง ขอเพียงท่านบอกกับเธอ
พ่อมองหน้าฉันนิ่ง และเอื้อมมือมาคว้าฉันเข้าไปกอด ก่อนที่ฉันจะรู้สึกเย็นๆ ที่ไหล่ซ้ายของตัวเอง ไม่น่าเชื่อว่าพ่อจะร้องไห้ ถึงฉันจะไม่เห็นกับตา แต่ก็รับรู้ได้ว่าท่านกำลังร้องไห้ และท่านคงไม่อยากให้ฉันเห็นน้ำตาของท่าน ฉันยืนนิ่งให้พ่อกอดอยู่สักพัก จนท่านรู้สึกดีขึ้น เราทั้งคู่จึงพากันมานั่งคุยที่โซฟาเล็กๆ ในตัวบ้าน
“เมื่อก่อนตอนที่พ่อยังไม่แต่งงานกับแม่ของลูก พ่อเคยทำธุรกิจร่วมกับมาเฟียที่อังกฤษ ก่อนจะรามือกลับมาอยู่เมืองไทย และไม่เคยติดต่ออะไรกับพวกนั้นอีกเลย แต่อยู่ๆ พวกนั้นก็ทะเลาะกันเอง และแบ่งออกเป็นสองกลุ่มใหญ่ โดยมีนายใหญ่เป็นหนึ่งกลุ่ม และเพื่อนของเขาที่แตกหักกันอีกหนึ่งกลุ่ม ความจริงแล้วการที่พวกเขาจะแบ่งกันกี่กลุ่มก็ไม่เกี่ยวอะไรกับพ่อ ถ้าไม่มีคนจงใจใส่ร้ายพ่อ ไปบอกกับนายใหญ่ว่าพ่อทรยศนายใหญ่ด้วยการไปเข้าร่วมกับอีกกลุ่มที่ก่อตั้งใหม่ ไม่ได้ล้างมืออย่างที่ได้ให้เหตุผลกับนายใหญ่ไว้ ไม่เพียงเท่านั้นพวกมันยังใส่ร้ายว่าพ่อเอาข้อมูลของนายใหญ่ไปให้อีกฝ่ายด้วย ทำให้นายใหญ่ไม่พอใจและโกรธพ่อมาก ถึงขั้นสั่งลูกน้องมาทำลายธุรกิจของพ่อ รวมถึง...” พอพ่อเล่ามาถึงตรงนี้พ่อก็หยุดลง แววตาของพ่อเต็มไปด้วยความเจ็บปวดมากมาย
“รวมถึงอะไรคะพ่อ” ฉันถามขึ้นด้วยความอยากรู้
“รวมถึงสั่งคนมาเก็บพ่อด้วย” อัฐพลบอกกับบุตรสาวด้วยความคิดไม่ตก แววตามีความกังวลอยู่มาก ลำพังตัวเขาไม่เท่าไร แต่ที่เขาห่วงยิ่งกว่าชีวิตคือเมียกับลูกของเขาเท่านั้น
“ขนาดนั้นเลยหรือคะ” หลังจากตั้งสติได้ อารยาก็ถามขึ้นด้วยความตกใจ ดวงตากลมโตสั่นระริกด้วยความกลัวปนกังวลไม่ต่างจากพ่อของเธอในตอนนี้
“เราไปอธิบายให้นายใหญ่ฟังไม่ได้หรือคะพ่อ”
“มันไม่ได้ง่ายขนาดนั้นน่ะสิลูก ขึ้นชื่อว่ามาเฟีย เขามีวิธีจัดการในรูปแบบของเขา และอีกอย่างตัวนายใหญ่เองก็ใช่ว่าใครจะเข้าถึงได้ง่าย” อัฐพลอธิบายให้บุตรสาวฟังด้วยสีหน้าเคร่งเครียด เพราะเรื่องนี้เป็นเรื่องที่เขาเองก็คิดไม่ตกอยู่เหมือนกัน