“เหรอคะ แอลยินดีด้วยนะคะ” ฉันพูดบ้าอะไรออกไปเนี่ย ถ้าหากเป็นจริงอย่างที่เฮียแซคพูดการทำงานของฉันจะลำบากมากกว่านี้แน่ๆ เพราะฉันอุตส่าห์ปิดเรื่องที่ตัวเองทำงานไว้ไม่ให้รามรู้
“อ้าว แอล” เป้เพื่อนที่ทำงานออกมาจัดโต๊ะก่อนจะกวักมือเรียกฉัน “มาเร็วนะวันนี้...”
ขยิบหูขยิบตาให้เป้จนหมอนั่นทำหน้ามึนงงและยกมือไหว้เฮียแซคที่หันไปมองและหันกลับมามองฉันที่ฉีกยิ้มให้ พลางใช้มือเป็นการส่งซิกหวังว่าอีเป้จะรู้นะว่าไม่ควรพูดอะไรออกไป
“เพื่อนแอล?”
“ใช่ค่ะ” ฉันวิ่งตรงไปหาเป้ก่อนจะกอดคอโดยที่เป้ก็ทำตามอย่างที่ฉันบอก คงจะรู้ถึงสิ่งที่ฉันต้องการแล้วสินะ “พอดีแอลมาเอาของที่เพื่อนน่ะค่ะ ใช่ไหมเป้”
“ครับๆ ผมเป็นเพื่อนกับแอลครับ พอดีนัดให้มาเอาเสื้อที่แอลฝากผมซื้อ”
“งั้นเหรอ?” เฮียแซคทำหน้าสีหน้าไม่เชื่อ แต่พอเห็นฉันฉีกยิ้มกว้างให้เมื่อเป้แกล้งเดินเข้าไปในร้านเพื่อไปเอาเสื้อปลอมๆ มาให้ แล้วมันจะมีไหมละเนี่ย! “เฮียกลับก่อน ให้เฮียรอไปส่งไหม”
“ไม่เป็นไรค่ะ เดี๋ยวแอลจะไปหาพี่ชายที่สำนักพิมพ์ด้วย ขอบคุณเฮียแซคนะคะ” ยกมือไหว้เขาที่พยักหน้ารับก่อนจะเดินไปขึ้นรถหรูที่มีลูกน้องสองคนรอประจำที่ เมื่อรถของเฮียแซคแล่นออกไปฉันก็ถอนหายใจออกมาอย่างโล่งอก
“มาแล้วๆ เสื้อที่แอลฝากผมซื้อ อะ อ้าว”
“เฮียแซคไปแล้ว”
“รู้จักกับคุณแซคด้วยเหรอ?” เป้ถามด้วยน้ำเสียงสงสัย “วันนี้คุณแซคเพิ่งจะมาคุยเรื่องกิจการที่นี่ บาร์ที่เราทำงานอยู่ในความดูแลของคุณแซคแล้ว”
“หมายความว่า...”
“อือ คุณแซคเป็นเจ้าของ” ซวย! พูดได้คำเดียวว่าโคตะระซวยแบบสุดๆ ถ้าหากเป็นแบบนี้งานที่นี่ของฉันจะลำบากมากขึ้นไปอีก เท้าเอวด้วยความห่อเหี่ยวใจ อุตส่าห์คิดว่าทำงานที่นี่ได้เงินดีแถมยังสบายใจที่รามคงไม่มานั่งร้านนี้ ที่ไหนได้พี่ชายของเขาดันมาเป็นเจ้าของกิจการ “ตกลงคุณแซค เธอรู้จักหรือไง”
“ใช่น่ะสิ”
“ถามจริง”
“พี่ชายรามอะ” เป้เบิกตากว้างด้วยความตกใจ
“พี่ชายแฟน” พยักหน้าก่อนจะเดินตรงเข้าไปในร้านและเปลี่ยนชุดออกมายืนเท้าคางตรงเคาน์เตอร์บาร์ที่เป้เป็นบาร์เทนเดอร์อยู่
“งานหินเลยล่ะ จะให้เฮียแซครู้ไม่ได้ด้วย”
“คงจะยากนะ คุณแซคต้องมาตรวจร้านบ่อยขึ้นแน่”
“ทำไงดีอะเป้” อ้อนวอนเป้ที่ส่ายหน้าไปมาขณะกำลังเช็ดแก้ว “รามรู้นะเรื่องใหญ่แน่”
“แฟนเธอก็รวย ทำไมไม่มีเงินไม่ขอเขาล่ะ”
“ไม่อยากขอ” พูดก็ถอนหายใจออกมาพลางมองมือที่บีบเข้าหากัน “เผื่อวันไหนเลิกกัน ฉันไม่มีปัญญาชดใช้หรอก”
“ทำยังกับจะเลิกกันง่ายๆ”
“ก็ไม่แน่หรอก” มองสบตากับเป้ที่ส่ายหน้าก่อนจะเอื้อมมือมายีศีรษะของฉัน “อาจเป็นฉันคนเดียวที่พยายาม”
“แล้วรามเกียรติ์ไม่พยายามหรือไง?”
“...”
“ตอนนี้ยังไม่เลิกก็คือไม่เลิกปะ คิดมากไปก็เท่านั้น”
เป้บอกฉันเพื่อให้เลิกคิดมาก แต่มันจะไม่คิดมากได้ยังไงมีแต่ฉันนะที่พยายามอยู่ฝ่ายเดียว แม้ว่ารามจะแคร์ฉัน ทำตามที่ฉันขอทุกอย่างแต่ก็ยกเว้นเรื่องส่วนตัวของเขาที่ฉันไม่สามารถพูดอะไรได้เลย ไหนจะความสัมพันธ์ของเราสองคนอีกที่ดูเหมือนจะไม่ได้พัฒนาขึ้นเลยสักนิด
หลังจากเลิกงานตอนตีหนึ่งกว่า ฉันก็ทำงานไประแวงไปเพราะว่ากลัวเฮียแซคจะมาตรวจบาร์แต่ก็รอดพ้นสายตาเขาไปได้ก็รู้สึกสบายใจ เพราะไม่อยากกลับบ้านจึงมาถึงคอนโดรามในเวลาต่อมาหยิบคีย์การ์ดขึ้นมาแตะกับประตูเปิดเข้าไปห้องก็มืดสนิทหากแต่ว่าเท้าของฉันเดินไปชนเข้ากับรองเท้า
หากแต่ว่ามันกลับไม่ใช่รองเท้าของราม... แต่มันดันเป็นรองเท้าส้นสูงสีแดงที่ฉันไม่มีทางใส่ มันไม่ใช่ของฉันและจะเป็นของใครได้ล่ะ หัวใจมันเต้นแผ่วเบาจุกลำคอไปหมดเมื่อหันไปมองประตูห้องที่ไม่ใช่ห้องนอนของราม แต่เป็นห้องที่สำรองเอาไว้เปิดอ้าไว้อยู่ ไม่รู้ว่าตัวเองมาหยุดตรงนี้ตั้งแต่เมื่อไหร่ สายตามองลอดเข้าไปก็ต้องเบิกตากว้างพร้อมกับน้ำตาที่เอ่อล้นออกมา สองมือยกขึ้นปิดปากตัวเองกัดปากจนรู้ถึงเจ็บหนึบ หากแต่ว่ามันคงไม่เจ็บเท่ากับได้เห็นภาพตรงหน้า...
ภาพที่ผู้หญิงคนหนึ่งกำลังเคลื่อนไหวเอวอยู่บนร่างของราม โดยที่ร่างสูงนอนมองและดูเหมือนจะมีความสุข
ในขณะที่เขามีความสุขอยู่บนเตียง เป็นฉันเองที่ค่อยๆ ถอยหลังออกมาแอบมาร้องไห้อยู่ในทางหนีฉุกเฉิน
“ฮึก”
พาร่างที่ไร้วิญญาณมาหยุดที่หน้าสำนักพิมพ์แห่งหนึ่งที่เป็นที่ทำงานของพี่เอ็ม ฉันบอกกับยามที่เฝ้าอยู่เขาก็โทรขึ้นไปหาพี่เอ็มซึ่งรอไม่นานร่างสูงก็วิ่งออกจากลิฟต์ด้วยสีหน้าที่ตื่นตนก “แอล”
“ฮือ พี่เอ็ม” สวมกอดร่างสูงที่ไม่พูดอะไรก็กอดรัดฉันอย่างแนบแน่นราวกับต้องการถนอมฉันเอาไว้ “แอลขอโทษ”
“แล้วจะร้องทำไม?” บอกไม่ได้เด็ดขาด... บอกเรื่องนี้ให้พี่เอ็มรู้ไม่ได้ ไม่อย่างนั้นพี่เอ็มจะต้องไปเอาเรื่องรามแน่นอนฉันรู้นิสัยของพี่ชายดี
“ก็แอล...” สะอึกสะอื้นก่อนจะเงยหน้าสบตากับพี่เอ็มที่ลูบศีรษะฉันเบาๆ สายตาที่อ่อนโยน รอยยิ้มที่อบอุ่น ฉันไม่รู้นะว่าถ้าขาดพี่เอ็มไปฉันจะมีชีวิตอยู่ได้ยังไง “แอลผิดที่ตะคอกพี่เอ็ม”
“แค่นี้เอง”
“แอลกลัวพี่เอ็มจะโกรธ เกลียดแอล” ซบหน้าลงกับหน้าอกแกร่งถูไถใบหน้าลงกับเสื้อเชิ้ตสีดำทั้งน้ำมูก น้ำตาเลอะเสื้อพี่ชายไปหมด “ไม่โกรธแอลนะ”
“พี่เคยโกรธแกที่ไหน?”
“แต่บอกจะไม่ยุ่งเรื่องของแอล แล้วก็ไม่กลับบ้านด้วย ไม่โกรธเหรอ”
“ต้องตรวจต้นฉบับนิยาย” พี่เอ็มทำงานเป็นนักเขียนที่นานๆ จะออกเล่มสักที แต่ก็พ่วงหน้าที่ตรวจต้นฉบับที่บก.มอบหมายให้ ด้วยเพราะว่าถ้ากว่าจะเขียนจบเล่มพี่เอ็มบอกว่าจะไม่มีเงินมาใช้จ่ายก็เลยต้องทำงานตรงนี้ไปด้วยและเพราะเห็นพี่เอ็มอดหลับอดนอนทำงานหนัก ฉันจึงได้มีความคิดที่จะช่วยแบ่งเบาภาระเขาด้วยไม่อยากเป็นตัวถ่วงให้พี่เอ็มต้องดูแลไปตลอดหรอก ฉันหวังว่าสักวันตัวเองจะดูแลพี่เอ็มและให้เขาได้พักผ่อนสักที จะได้ไม่เหนื่อยไปมากกว่านี้
พี่เอ็มทำงานหนักตั้งแต่ครอบครัวของเราสองคนล้มละลายลง จากนั้นเขาก็สัญญาว่าจะดูแลฉันเป็นอย่างดี
“แอลรักพี่เอ็ม”
ความรักของฉันแม้จะมีให้รามมากแค่ไหน... แต่ฉันมีให้กับพี่เอ็ม คนที่คอยห่วงใยและไม่เคยทำให้ฉันเสียใจ
“ทะเลาะกับรามมาล่ะสิ”
“เปล่าสักหน่อย” ผละกอดออกก่อนจะยกมือเช็ดคราบน้ำตา “แอลช่วยพี่เอ็มทำงานนะ”
“ไม่พักเถอะ ทำงานมาเลิกก็ดึก” ส่ายหน้าไปมาก่อนจะควงแขนพี่เอ็มเดินไปยังลิฟต์
“พี่เอ็มต่างหากที่ต้องพัก ไม่ใช่แอล” แต่ถึงอย่างนั้นพี่เอ็มก็ไม่ได้ให้ฉันช่วยทำงานหรอกนะ ฉันนั่งอยู่ตรงโซฟาและเท้าคางมองพี่เอ็มที่กำลังตั้งใจทำงาน ไม่รู้เหมือนกันว่าตอนไหนที่ดวงตาของฉันค่อยๆ หลับลงเพราะความเหนื่อยล้าจากอะไรหลายๆ อย่างและหนึ่งในนั้นที่ทำให้ฉันเหนื่อยล้าคือเรื่องของรามเกียรติ์