ช่วงต้นยามอิ๋นสายฝนก็เทกระหน่ำลงมาราวกับท้องฟ้าพิโรธอากาศเย็นสาดเข้ามากระทบคนไม่ชอบอากาศหนาวจนนางต้องตื่นขึ้นมา ก็พอดีกับที่ประตูห้องถูกเปิดเข้ามา
“ข้าทำเจ้าตื่นหรือ?” คนตัวโตที่เพิ่งปิดประตูลงด้วยกิริยาระวังแต่คนบนเตียงนางก็ยังขยับกายตื่นลุกขึ้นมานั่งได้อยู่ดีเอ่ยถามขึ้น “มิได้เจ้าค่ะข้าตื่นเพราะเสียงฝนและฟ้าด้านนอกนั้นแรงนักแล้วละอองจึงสาดเข้ามาทางหน้าต่างที่เปิดทิ้งเอาไว้เมื่อช่วงหัวค่ำเจ้าค่ะ”
สวีฉีเฟิ่งหันไปก็เห็นจริงจึงเดินไปปิดมันลงเสียแล้วกลับมาปลดอาภรณ์ตัวนอกออกจนหมดเปลี่ยนมาเป็นเสื้อคลุมสวมใส่ในยามนอนเพียงตัวเดียว จากนั้นเขาก็เก็บนั่นเก็บนี่จนเรียบร้อยจึงเดินตรงไปที่เตียงสอดกายสูงใหญ่นั้นเบียดเข้ามาในผ้าห่มผืนเดียวกับนางแต่จางเยว่เซียงก็จับสังเกตได้แล้ว ว่าสวีฉีเฟิ่งผู้นี้เป็นบุรุษที่มีระเบียบจัดอย่างที่สตรีบางคนยังต้องอับอายผู้หนึ่งเลยทีเดียว
“พรุ่งนี้มีเวลาให้เจ้าพักผ่อนหนึ่งวัน มะรืนหลังจากกลับไปยกน้ำชาให้แก่ท่านพ่อของเจ้าแล้ววันต่อไปพวกเราคงต้องเดินทางไปยังชายแดนแคว้นอี้ด้วยกันเพราะการค้าที่นั่นมีปัญหาให้ข้าต้องไปดูแลแก้ไขด้วยตนเอง”
เขาร่ายยาวถึงแผนการที่ถูกกำหนดเอาไว้แล้ว หลังจากที่เขาไปอ่านข้อความลับจากเขาผู้นั้นที่ขยันหางานมาให้เขาออกหน้าได้ทำไม่หยุดขนาดวันแต่งงานก็ไม่ได้เข้าหอให้เต็มอิ่มแต่คิดอีกที เป็นเช่นนี้ย่อมดีเพราะ’ ครั้งแรก’ ของคนตัวน้อยดูจะ’ บาดเจ็บ’ สาหัสไม่น้อยเขาจึงสมควร’ ออมมือ’ ให้หนานเฉิงกั๋วกงฟูเหรินสักหน่อยจึงนับว่า’ ถนอม’ สตรีของตนเองแล้วเพราะสำหรับเขาแล้วไม่ว่าจะเป็นคนหรือสิ่งของให้อยู่ในมือของเขาแล้วล้วนต้องได้ดีอยู่ดีมีสุขเท่านั้น
ดังนั้นพอเช้าวันใหม่มาเยือนจางเยว่เซียงนั้นจึงตื่นนอนขึ้นมาอย่างสดชื่นแจ่มใสไม่น้อยต่อให้’ ช่วงล่าง’ จะทั้งแสบทั้งขัดเดินไม่สะดวกไปบ้างแต่ก็ไม่ได้ถึงขนาดเป็นไข้ดังนางเอกในนวนิยายที่เคยอ่านเพื่อศึกแนวทางการแสดงของตนเองในอดีต นางยังคงเดินได้สง่างามไม่อับอายขายขี้หน้าเดินดังเป็ดแก่แม้แต่น้อย
“น้องเซียงมาหวีผมให้พี่เฟิ่งสักหน่อยจะได้หรือไม่?”
เสียงร้องเรียกดังมาจากหน้าคันฉ่องทองเหลืองของผู้มีเรือนกายสูงใหญ่ที่มีเขานั่งอยู่หนึ่งคนห้องนอนกว้างใหญ่นี้คล้ายจะหดเล็กลงดังห้องตุ๊กตาก็มิปาน จางเยว่เซียงจึงเร่งมือจัดที่นอนบนเตียงให้เรียบร้อยเพราะคาดว่าสามีของนางคงไม่ชอบเป็นแน่หากนางทิ้งขว้างเตียงนอนม้วนเป็นกองเช่นเมื่อครั้งอดีตที่นางอยู่เพียงลำพังเมื่อครั้งยังเป็นนางร้ายเงินล้านอยู่เป็นแน่ก่อนจะหันไปช่วยสามีหวีผมแล้วจึงสวมกวานให้แกเขาด้วยน้ำหนักมือแผ่วเบาแต่ก็คล่องแคล่วจนสวีฉีเฟิ่งยังอดจะแปลกใจเสียมิได้
“น้องเซียงดูคล่องแคล่วยิ่งนัก”
“น้องเคยเห็นท่านแม่ดูแลท่านพ่อมาตั้งแต่ยังเล็กพอเติบโตขึ้น ท่านแม่จากไปหลายครั้งจึงเคยช่วยท่านน้าหลินดูแลท่านพ่ออยู่บ้างจึงทำได้คล่องมือเจ้าค่ะ”
คำพูดนี้ไม่ใช่โกหกทั้งหมดเพราะความทรงจำเมื่อครู่เมื่อจับหวีภาพในอดีตที่จางเยว่เซียงช่วยดูแลก็ผุดขึ้นมาถึงอีกส่วนจะเพราะอดีตของตะวันฉายเคยช่วยช่างทำผมในกองถ่ายอยู่บ่อยครั้งจนชำนาญด้วยเช่นกัน “ต่อไปเช่นนั้นทุกวันเจ้าช่วยดูแลพี่เฟิ่งทุกวันน้องเซียงจะลำบากใจเกินไปหรือไม่” คนที่นั่งจ้องหน้าของนางผ่านกระจกทองนั้นถึงไม่กดดันก็เหมือนกดดันอยู่ในที กับสายตาสงบนิ่งสีดำสนิทคู่นั้นที่สะท้อนอยู่ในคันฉ่องทองเหลืองอยู่ในขณะนี้ช่างชวนหวาดหวั่นผสานไปกับความยากแท้จะหยั่งถึงแล้วนางจะบังอาจไป’ ลำบากใจ’ ได้อยู่หรือ?
“มิลำบากเจ้าค่ะน้องเซียงล้วนยินดี”
นางตรวจสอบความเรียบร้อยให้ผู้เป็นสามีอีกครั้งก่อนที่เขาจะลุกขึ้นเดินนำหน้าของนางเตรียมออกไปกินมื้อเช้าแรกร่วมกันระหว่างสามีภรรยาเป็นมื้อแรก ซึ่งปกติแล้วหลังจากสามีภรรยาคู่แต่งงานใหม่ตื่นนอนออกจากห้องหอแล้วนั้นของชาวต้าเหลียงก็คือไปยกน้ำชาให้แก่บิดาและมารดากับญาติผู้ใหญ่ฝ่ายสามี จากนั้นมารดาสามีก็จะแนะนำสะใภ้ใหม่ให้แก่พ่อบ้านเหล่าสาวใช้บ่าวชายและหญิงทั้งหมดในจวนให้รู้จักอย่างเป็นทางการเอาไว้จากนั้นจึงเป็นการร่วมกินข้าวมื้อแรกหลังพิธีแต่งงานระหว่างสะใภ้ใหม่กับครอบครัวทางฝ่ายสามี
“เดี๋ยวเราไปยกน้ำชาให้ท่านแม่ของข้าที่เรือนนวลจันทร์เสียก่อนจึงค่อยไปกินข้าวที่ศาลาชื่นจิตนะน้องเซียง”
เพราะบิดาและมารดาของสวีฉีเฟิ่งนั้นล่วงลับไปหลายสิบปีส่วนญาติผู้ใหญ่นั้นก็คงมีแค่เพียงไทเฮาและฮ่องเต้เท่านั้นเขาให้ความเคารพนอกจากนั้นต่อให้เป็นพี่และน้องร่วมบิดาเดียวกันเขาก็นับเป็น’ คนอื่น’ ทั้งไม่เคยมีครอบครัวใดอีกนอกจากคนสนิทและพ่อบ้านเช่นเหล่าซูกับเสือทั้งสองตัวเท่านั้น
“อาเซียงขอเสียมารยาทถามเจ้าค่ะ”
พอเห็นว่าสามีนั้นเขาก็ไม่ได้โหดร้ายดังคำเล่าขานของชาวบ้านชาวเมืองเท่าใดนักจึงค่อยกล้าหาญชาญชัยที่จะเอ่ยปากถามด้วยความสงสัยว่าเหตุใดกันป้ายวิญญาณของมารดาของเขาจึงมาอยู่ที่จวนรองที่แคว้นฉู่แทนที่จะอยู่ที่จวนหลักในเมืองหลวงเช่นสกุลอื่น
“อยากถามสิ่งใดก็จงถามมิต้องมากพิธีไปบัดนี้เจ้าคือคนของข้าแล้ว”
จางเยว่เซียงหันไปกระซิบสั่งความกับฟางปี้เหลียนให้ไปจัดเตรียมถุงเงินเอาไว้มอบให้ท่านพ่อบ้านใหญ่กับบ่าวทั้งชายและหญิงในจวนตามธรรมเนียมของชาวต้าเหลียงพอนึกถึงถุงเงินที่ท่านแม่เลี้ยงจัดเตรียมมาให้คนรักเงินยิ่งกว่าชีวิตก็ปวดร้าวหัวใจไปทั้งดวงแล้วดังนั้นเมื่อนางเตรียมหันมาสอบถามสามีใบหน้าจึงมีแววร้าวรานติดมาให้สวีฉีเฟิ่งได้มองเห็นจนเขาต้องขมวดคิ้วแน่น
“ที่จะถามคงมิได้คิดว่าข้ามีสาวใช้อุ่นเตียงกระมัง?”
สตรีจะมีสิ่งใดทำร้ายนางได้นอกจากเรื่องสามีนั้นมีสตรีอยู่ในจวนมากมาย ดังนั้นสวีฉีเฟิ่งเขาจึงคิดว่าภรรยานั้นคงสงสัยว่าเขานั้นมีสตรีเอาไว้อุ่นเตียงมากมายหรือไม่มีกี่นาง หนานเฉิงกั๋วกงเช่นนางนั้นจะได้เตรียมถุงเงินเอาไว้ได้ถูก ซึ่งเขานั้นช่างเข้าใจสตรีส่วนใหญ่ได้ถูกต้องแต่....
...จางเยว่เซียงนั้นเป็นสตรีส่วนน้อย...
“หามิได้เจ้าค่ะ อาเซียงเพียงสงสัยว่า เหตุใดพี่เฟิ่งจึงให้ท่านแม่สามีนั้นมาอยู่ที่จวนรองเช่นนี้เจ้าค่ะปกติ พี่เฟิ่งเป็นผู้นำสกุลสวีก็มิใช่ว่าท่านแม่สามีนั้นต้องอยู่ในห้องบรรพชนใหญ่ที่จวนหลักหรอกหรือเจ้าค่ะ”
“...”
คนที่ตั้งรับภรรยาเอาไว้เต็มที่จนเหงื่อกาฬแตกซ่านอย่างไม่รู้ตัวถึงกับเสียหลักเพราะมิคาดว่า จางเยว่เซียงนั้นมิได้มีความคิดถึงสิ่งที่เขากังวลสักนิด ทว่านางกลับไปสงสัยในอีกสิ่งไปเสียได้
“...???” คนรอฟังคำตอบก็จ้องกลับตาแป๋วแลเห็นแล้วสวีฉีเฟิ่งก็ทั้งขบขันทั้งขัดเคือง แต่สุดท้ายพอนึกได้ว่า ภรรยาผู้นี้ของเขานั้นปัญญาทึบแถมยังอ่อนแอเป็นคุณหนูห้าที่ไร้ค่าที่สุดในแคว้นฉู่แห่งนี้เขาก็เลิกสงสัยในกิริยาแปลกประหลาดไม่สนใจเรื่องที่สตรีเพิ่งแต่งงานใหม่เขาสนใจกันไปในทันที
“ท่านแม่ของข้าเป็นชาวแคว้นฉู่นางเกิดที่นี่พอตายถึงศพมิอาจกลับมาฝังยังบ้านเกิดได้ แต่นางเอ่ยขอร้องท่านพ่อเอาไว้ว่าขอให้ป้ายวิญญาณได้กลับมาอยู่บ้านเกิด ดังนั้นพอท่านแม่สิ้นใจท่านพ่อจึงสร้างจวนรองแห่งนี้ขึ้นมา และจวนแห่งนี้ยังสร้างขึ้นบนจวนเก่าของท่านตาอีกด้วย”
เขาอธิบายไปพลางก็พานางเดินไปยังห้องเก็บป้ายวิญญาณไปพลางฟังแล้วอดีตนางร้ายเงินล้านที่ชอบอ่านนวนิยายมาตั้งแต่เด็กก็ถึงกับมโนไปไกลกับความรักโรแมนติกของบิดาและมารดาของบุรุษที่เดินอยู่ด้านหน้า
...เอ??? ...
อย่าบอกนะว่าเพราะมารดาของเขาเป็นชาวแคว้นฉู่เขาก็เลยคิดแต่งภรรยาเป็นคนบ้านเดียวกับมารดาเช่นนาง แต่คงไม่หรอกกระมังอาจจะเป็นหลายเหตุผล เพราะลักษณะของสวีฉีเฟิ่งมิใช่คนจะทำสิ่งใดเพราะอารมณ์พาไป คนเช่นสามีของนางดูจะเป็นคนซึ่งหากจะทำอันใดสักสิ่งเขาจะต้องคิดแล้วคิดอีก คิดหาเหตุและผลเปรียบเทียบจนแน่ใจว่าเขาจะได้กำไรที่สุดนั่นแหละสวีฉีเฟิ่งผู้นี้เขาจึงจะลงมือ
เรือนนวลจันทร์นี้ดูสงบร่มเย็นอย่างมาก เท้าเรียวเล็กเดินตามกายสูงใหญ่ไปด้วยกิริยาระมัดระวังทุกฝีเท้า “ท่านแม่ข้าพาสะใภ้มาฝากเนื้อฝากตัวขอรับ นางแซ่จาง มีนามว่า เยว่เซียง เป็นชาวแคว้นฉู่เช่นท่านแม่หวังว่าท่านแม่นั้นจะเอ็นดูนาง นะขอรับ”
เขาคุกเข่าลงหลังจากจุดธูปและเทียนเรียบร้อยแล้วจึงรินสุราลงจอกแล้วเทราดลงไปในแท่นบรรจุต้นไม้ประดับด้านข้าง จางเยว่เซียงจึงทำตามบ้างแล้วก็ถอยลงมาอยู่ด้านซ้ายมือของสามีอีกครั้ง
“ท่านแม่สามีอาเซียงคารวะนะเจ้าค่ะ”
นางขยับไปรินน้ำชาที่ท่านพ่อบ้านซูนั้นจัดเตรียมเอามาส่งให้แล้วนำไปวางไว้ตรงหน้าป้ายวิญญาณที่ตั้งอยู่โดดเด่นเพียงหนึ่งเดียวในห้องขนาดกลางนี้สีของไม้กับกลิ่นควันธูปทำให้นางรู้สึกสงบภายในใจ ยิ่งเสียงน้ำตกจำลองที่ด้านนอกดังมาแผ่วเบาบรรยากาศภายในห้องนี้กลับยิ่งสงบอย่างอธิบายได้ยากยิ่ง
“ไปกินข้าวกันเถิด”
จัดเรียงเครื่องเซ่นไหว้เรียบร้อยสวีฉีเฟิ่งจึงชวนภรรยาออกไปกินข้าวเช้าด้วยกันต่อไป บรรยากาศในยามเช้าหลังฝนตกหนักช่างชุ่มฉ่ำและหอมกลิ่นดินกลิ่นหญ้าชวนให้สดชื่น ทำให้มื้อนี้จางเยว่เซียงเจริญอาหารอย่างยิ่ง
“ประเดี๋ยวพี่เฟิ่งมีงานต้องไปสะสางเจ้าก็จัดการธุระในจวนไปผู้เดียวนะน้องเซียง”
เรื่องจัดการภายในนี้เขาจะอยู่ดูแลนั้นย่อมได้แต่ เพราะในจวนนี้หรือจวนของสกุลสวีที่ใดนางที่เป็นภรรยาเอกของผู้นำสกุลจะต้องจัดการทุกสิ่งให้จงได้หากเขาเอาแต่คอยประคับประคองผู้คนใต้ปกครองจะเกรงใจ’ หนานเฉิงกั๋วกงฟูเหริน’ กันเล่า ดังนั้นวันนี้ต้องแนะนำตนเอง เขาเลยปล่อยให้นางจัดการไปด้วยตนเองเท่านั้น
“พี่เฟิ่งอย่าได้ว้าวุ่นใจไปเจ้าค่ะ อาเซียงอยู่ที่จวนจะมิทำให้ทุกสิ่งบังเกิดความยุ่งยากเจ้าค่ะ”
เรื่องเหล่านี้ท่านแม่เลี้ยงได้แนะนำกับนางแล้วเมื่อสองวันก่อน ซึ่งนั่นก็เพราะนางสอบถามว่าเหตุใดจึงต้องจัดเตรียมถุงใส่เงินมากมายร่วมสองร้อยถุงแต่ที่มากหน่อยมีเพียงไม่กี่ถุง สอบถามจึงได้ทราบความว่าสิ่งเหล่านี้จำเป็นยิ่งนักสำหรับนายหญิงคนใหม่ของ’ นายท่านสวี’ รุ่นนี้ที่สามีของนางครอบครองอยู่
“เอาละก่อนออกไป ข้าจะพาน้องเซียงไปรู้จักกับ’ น้องชายและน้องสะใภ้’ ของท่านพี่สักหน่อยเผื่อเจ้าเดินไปด้านหลังจะตกใจเอาได้”
จางเยว่เซียงถูกจับจูงให้เดินไปทางด้านข้างของเรือนเอื้อมจันทร์ซึ่งเป็นเรือนหอของนางเมื่อราตรีที่ผ่านมา จากกลิ่นดินกลิ่นหญ้าหอมสดชื่นกลับกลายเป็นกลิ่นคาวแปลกๆ ไม่คุ้นชินชวนอยากคายอาหารเช้าที่เพิ่งจะกินลงไปเมื่อครู่อย่างยิ่ง
...น้องชายและน้องสะใภ้? ...
จางเยว่เซียงกำลังคาดเดาไปว่าที่สามีนับเป็น’ ครอบครัว’ ของนายท่านสวีนั้นจะต้องเป็น’ สัตว์’ ประเภทใดกันแน่เพราะเท่าที่นางเคยพบเจอมาพอสมควรนั้นคนมีเงินมักมีสัตว์เลี้ยงเป็นพี่เป็นน้องเป็นถึงลูกก็ยังมีเลยไม่แปลกใจหากสามีของนางนั้นจะมี’ สัตว์เลี้ยง’ เป็นน้องชายและน้องสะใภ้แต่ที่สงสัยก็เพียงคนเช่นหนานเฉิงกั๋วกงที่มีกิจการสีเทาค่อนไปทางดำทะมึนนั้นเขาจะเลี้ยงสิ่งใดกันแน่
“อาลี่ อาฟ่ง”
...กึก!...
“สะ...เสือดำ!...”
แข้งขาของจางเยว่เซียงพลันสั่นเท่า ก็ทำใจเอาไว้อยู่แล้วว่าน้องชายและน้องสะใภ้ของสามีนั้นจะมิธรรมดาแต่พอพบเจอเสือดำเพศเมียหนึ่งตัวและเพศผู้หนึ่งตัวก็กระชากดวงใจกระชากต่อมความกลัวของอดีตนางร้ายเงินล้านได้มากมิใช่น้อย
“มานี่สิน้องเซียง”
กลืนน้ำลายอึกใหญ่ก่อนจะเดินเข้าไปหาผู้เป็นสามีที่กระดิกนิ้วเรียวเรียกนางอยู่ตรงด้านข้างกรงของเสือดำตัวใหญ่ยักษ์ถึงสองตัวด้วยเท้าที่ไม่มั่นคงดังเดิม แต่สุดท้ายดึงสติกลับมาได้นางก็คิดว่าเขาอยู่ด้วยนางไม่ทำเขาโกรธชีวิตนางย่อมปลอดภัยจากคมเขี้ยวพี่เสือดำแน่นอน
“อาลี่ อาฟ่ง มานี่มา มาทำความรู้จักกับต้าซ้อเร็วเข้า”
สวีฉีเฟิ่งเรียกเจ้าแมวยักษ์สองตัวให้มันลุกขึ้นมาทำความรู้จักกับคนตัวเล็กดวงตากลมแป๋วที่ยืนอยู่ด้านข้าง ซึ่งอาลี่และอาฟ่ง ก็ขยับเขยื้อนเคลื่อนกายลุกขึ้นมาอย่างเกียจคร้านไม่น้อย
“อาลี่กำลังตั้งครรภ์อยู่”
เขาอธิบายว่าเหตุใดท้องของอาลี่จึงกลมเช่นนั้น สองตัวนำปลายจมูกดันไปที่ฝ่ามือของสวีฉีเฟิ่ง เขาเรียกให้ติงฮ่าวนั้นนำเนื้อไก่สดมายื่นให้แก่จางเยว่เซียงเขาพยักหน้าให้นางรับไปส่งในอาลี่ที่ยังนอนอยู่ ซึ่งเจ้าแมวยักษ์สีดำท้องโตก็รับเอาเนื้อไก่ไปฉีกกินอย่างสุขุมเรียบร้อยไม่ได้กินแบบมูมมามเช่นที่นางเคยเห็นมาไม่น้อย
“มาลองลูบหัวพวกเขาดู”
สวีฉีเฟิ่งจับมือเรียวเล็กของคนเป็นภรรยาไปลูบศีรษะของอาลี่ก่อนจากนั้นจึงไปพาแตะที่ปลายจมูกของอาฟ่งบ้าง” อาฟ่งเขาไม่ชอบให้สตรีถูกกายของเขาเจ้าแตะเพียงจมูกได้ก็นับว่าเขายอมรับ’ ต้าซ้อ’ แล้วละน้องเซียง”
...ถึงจะยอมรับแต่หากนางอยู่เพียงลำพังให้ตายนางย่อมไม่บังอาจเฉียดใกล้กรงของน้องชายและน้องสะใภ้ของเขาเด็ดขาด!...