ตอนเย็นปุณวริทธิ์มีนัดไปกินมื้อเย็นกับคุณเพทายผู้เป็นมารดาโดยมีองค์อรและคุณอนงค์มารดาขององค์อรมาร่วมด้วย มารดาของเขาและองค์อรรู้จักกันดีเพราะอยู่ในแวดวงสังคมเดียวกัน คุณเพทายเป็นห่วงลูกชายที่ปีนี้สามสิบสามเข้าไปแล้วยังไม่คิดจะมีครอบครัวเป็นหลักเป็นฐาน พอคุณอนงค์พูดเรื่องที่ปุณวริทธิ์ดูเหมือนจะสนิทสนมกับองค์อร มารดาที่กำลังห่วงว่าลูกชายจะหวงความโสดจนไม่คิดจะแต่งงานก็รู้สึกตื่นเต้นยินดี เพราะฝ่ายหญิงก็โพรไฟล์ดีไม่มีข้อติติง ทั้งหน้าตา ฐานะ ถือว่าเหมาะสม คุณเพทายจึงเป็นฝ่ายนัดหมายฝ่ายหญิงให้มากินข้าวร่วมกัน
ทั้งสี่คนนัดหมายกันที่โรงแรมสยามแกรนด์ในเวลาห้าโมงเย็น คุณอนงค์บอกกับคนเชิญว่าลูกสาวเป็นห่วงสุขภาพของผู้ใหญ่ไม่อยากให้กินอาหารมื้อเย็นค่ำเกินไป คุณเพทายออกอาการปลื้มที่ว่าที่ลูกสะใภ้รู้จักห่วงใยผู้ใหญ่ ชมองค์อรให้ปุณวริทธิ์ฟังตอนโทร. ไปนัดลูกชายเสียยืดยาว
โรงแรมสยามแกรนด์ในช่วงนี้กำลังจัดเทศกาลอาหารไทยสูตรโบราณ มีอาหารหลายอย่างที่ปุณวริทธิ์ไม่เคยคิดอยากจะกินหรือแม้แต่จะลองชิม อย่างข้าวแช่ ม้าฮ่อ ปลาแห้งแตงโม หรือแกงเขียวหวานมังคุด ปกติชายหนุ่มไม่ได้สนใจเรื่องอาหารมากนัก แต่คราวนี้พอมารดาชวนมากินอาหารและบอกว่าเป็นอาหารไทยสูตรโบราณ เขากลับรู้สึกสนใจ
“น้าดีใจนะคะที่มีคุณปุณเข้ามาดูแลลูกสาวคนเดียวของน้า เห็นแบบนี้ถ้าวันข้างหน้าน้าเป็นอะไรไปกะทันหันน้าก็ไม่มีอะไรต้องห่วงแล้วล่ะค่ะ”
มารดาขององค์อรพูดพลางหันไปยิ้มกับลูกสาว ดีใจที่ลูกเจอผู้ชายที่ดี เหมาะสมคู่ควรกันทุกประการ
“อย่าพูดแบบนั้นสิคะ คุณอนงค์ยังดูแข็งแรงดีออก มีคุณหมอคอยดูแลใกล้ชิด ทำตามคำแนะนำของคุณหมอ แล้วก็อย่ากังวลมากเกินไป ร่างกายที่แข็งแรงมาจากจิตใจที่เข้มแข็งนะคะ”
“ดิฉันก็คิดแบบคุณเพทายค่ะ ตอนรักษาตัวก็รู้สึกว่ามันทรมานมาก พอเห็นว่าลูกสาวรู้จักกับคุณปุณก็มีกำลังใจอยากอยู่ต่อ อยากรอเลี้ยงหลานน่ะค่ะ”
“คุณแม่ก็...ยังไม่เร็วขนาดนั้นหรอกค่ะ อรกับพี่ปุณเพิ่งตกลงคุยกันเองค่ะ”
ลูกสาวตอบแก้เขิน ส่งสายตาหวานไปที่ชายหนุ่มที่นั่งเงียบ ปล่อยให้ผู้หญิงคุยกัน จนมารดาต้องสะกิด
“ว่าไงลูกปุณ ฝั่งนู้นอยากเลี้ยงหลานแล้วนะ”
ชายหนุ่มมองหน้ามารดา ยิ้มแห้ง “ยังไม่เร็วขนาดนั้นหรอกครับคุณแม่ คุณน้า”
“ลูกปุณขา ลูกน่ะสามสิบสี่แล้วนะคะ เพื่อนคนอื่นของลูกปุณน่ะลูกคนโตเกือบสิบขวบแล้ว ลูกแม่ยังต้วมเตี้ยมอยู่เลย ช้าไปแม่กับพ่อจะอุ้มหลานไม่ไหวนะคะ”
ปุณวริทธิ์ยังคงยิ้มเรียบเรื่อยไม่ได้รับคำหรือปฏิเสธ ส่วนองค์อรก้มหน้าเอียงอาย
“ทานของคาวอิ่มแล้วเรามาสั่งของหวานทานกันดีกว่าค่ะ” คุณอนงค์จึงเอ่ยชวนขึ้น
“จริงด้วยสิ ของหวานที่นี่น่าทานหลายเมนูเลย แต่วันนี้ขอเป็นกะท้อนลอยแก้วดีกว่า” คุณเพทายเลือกเมนูโปรดที่เล็งไว้
คุณอนงค์สั่งของหวานแบบใส่เกล็ดน้ำแข็ง ส่วนองค์อรเลือกเป็นผลไม้สด
“ผมขอเป็นข้าวเหนียวทุเรียนครับ” เสียงชายหนุ่มเพียงคนเดียวสั่งเมนูของตนบ้าง
คนที่หันมามองหน้าเขาคือคุณเพทายผู้เป็นมารดาและก็ไม่ได้มองด้วยสีหน้าปกติ หากแต่เบิกตากว้างอย่างประหลาดใจที่อยู่ ๆ ลูกชายที่ไม่ชอบกินทุเรียนแม้แต่กลิ่นก็ยังไม่ชอบวันนี้กลับเลือกกินเมนูข้าวเหนียวทุเรียน ส่วนองค์อรกับมารดาที่ไม่ได้ล่วงรู้ความชอบของเขาก็ไม่ได้มีท่าทีแปลกใจ
“เอาจริงเหรอคะลูกปุณ”
“เอาจริงครับ วันนี้ผมอยากทาน”
สองแม่ลูกคุยกันเสียงเบาในระหว่างที่องค์อรก็คุยกับมารดาของตัวเองไปด้วยก่อนจะหันมายิ้มพูด
“พี่ปุณจะทานข้าวเหนียวทุเรียนเหรอคะ”
“ครับ”
“อรก็ชอบทานทุเรียนนะคะ แต่ที่ไม่สั่งเพราะไม่แน่ใจว่าพี่ปุณกับคุณป้าชอบทุเรียนหรือเปล่า เพราะบางคนไม่ทานแค่ได้กลิ่นก็ไม่ไหวแล้ว” องค์อรพูดอย่างคนที่คำนึงถึงคนอื่นก่อน คุณเพทายยิ่งชื่นชมหญิงสาว คะแนนความว่าที่สะใภ้พุ่งขึ้นอีก
“ดีจังเลยค่ะที่เราชอบเหมือนกัน งั้นอรจะชวนพี่ปุณไปชิมเมนูทุเรียนกันนะคะ” น้ำเสียงกระตือรือร้นส่งยิ้มให้ปุณวริทธิ์อย่างน่ารัก
“ครับ” ปุณวริทธิ์จำต้องรับปากตามน้ำ ปกติเขาไม่กินทุเรียนเลย แต่วันนี้เขาเกิดนึกอยากกินขึ้นมาเท่านั้น
“น้องอรชอบทานทุเรียนค่ะ แต่ก็เกรงใจคนอื่นเพราะไม่ใช่ทุกคนจะชอบ ตอนนี้เจอคนที่ชอบเหมือนกัน” คุณอนงค์รับมุกพร้อมกับเสริมคุณสมบัติของลูกสาว “ถูกใจเลยสิคะลูก” ยกนิ้วจิ้มหน้าผากลูกสาวเบา ๆ อย่างเอ็นดู
^
^
^
***ผีเข้าผีออกนะคะอิผี
โปรดติดตามตอนต่อไปและเป็นกำลังให้มนสิด้วยนะค้ามี้