“ไอ้เสือ หนูปรายเขาก็ทักทายก็ตอบเขาหน่อยซิ” คุณบุญมาดุลูกชาย
“ต้องพูดอะไร ก็เห็นอยู่แล้วว่ายืนอยู่ตรงนี้ก็แสดงว่ากลับมาแล้วซิ คนถามนั้นแหละถามอะไรไม่รู้จักคิด”
“เขาไม่ได้ถามเขาเรียกคำทักทาย” คราวนี้คุณรำเพยช่วยอธิบาย แต่ไม่หรอกนางเข้าข้างไปรยาสุดฤทธิ์
“พ่อแม่ครับ นั่นแม่บ้านนะครับ แล้วนี่ผมเป็นลูก สับสนอะไรหรือเปล่า” เขาทำหน้าไม่พอใจเหมือนเด็กไม่รู้ตัว
“น้ำเย็นค่ะคุณพยัต”
ไปรยาเปลี่ยนเรื่อง รีบรินน้ำใส่แก้วส่งให้ เขารับมาแล้วดื่มรวดเดียวเหมือนโมโห จะโกรธอะไรนักล่ะ เธอก็ตั้งใจทำงานดีแล้วนี่นะ วันนี้สนุกกับการเข้าครัวมาก คุณรำเพยชอบทำอาหารแต่อยู่กันแค่สามคนพ่อแม่ลูก จึงไม่ค่อยได้แสดงฝีมือนัก เธอพลอยได้ความรู้ใหม่ไปด้วย
“พ่อกับแม่กำลังจะกินข้าวเย็นพอดี เอ็งมากินพร้อมกันไหมล่ะ” คุณบุญมาถามลูกชาย
แม้จะมีกันอยู่แค่นี้แต่ลูกชายก็โตเกินกว่าจะมาออดอ้อนเอาอะไร จะว่าไปก็โตเกินวัยของเขานั้นแหละ เพราะทำงานเรียนรู้งานมาตั้งแต่วัยรุ่นก็ว่าได้ ภูมิพยัตเป็นหัวเรี่ยวหัวแรงในการทำงานให้โรงงานเจริญเติบโตก้าวหน้ามาถึงทุกวันนี้
ชายหนุ่มมองมาทางแม่บ้านคนใหม่เหมือนจับผิดแล้วพยักหน้ารับ ถ้าเป็นเมื่อก่อนป้าประนอมจะทำใส่ตลับพลาสติกสี่เหลี่ยมแช่ตู้เย็นไว้ ป้าประนอมเป็นแม่บ้านที่ไปกลับ ลูกชายสองคนของนางก็ทำงานที่โรงงานของเขานั้นแหละ บ้านจึงอยู่ไม่ไกลนัก ไปกลับจากบ้านใช้เวลาไม่มาก
“หิวผมจะกินที่นี่”
“ค่ะ”
ภูมิพยัตพูดแล้วนั่งลงที่เก้าอี้ชุดบริเวณสวนย่อม ซึ่งบ้างครั้งพ่อกับแม่ก็ออกมานั่งทานอาหารกันที่ตรงนี้ แต่นั่งก้นไม่ทันติดเก้าอี้ ก็ถูกแม่ตีแขนเข้าให้จนสะดุ้ง
“แม่ตีผมทำไม!”
“จะกินข้าวก็ไปช่วยน้องเขายกสำรับอาหารออกมาซิ จะมานั่งรอเป็นคุณชายได้ยังไงกัน”
“แต่นั่นผมจ้างมาเป็นแม่บ้าน ก็ต้องดูแลบริการนี่” เขาเถียงแม่เหมือนเด็ก
“ตอนป้าประนอมอยู่ก็ไม่เห็นแกจะงอมืองอเท้าให้ใครมาตักข้าวให้กินนี่” คราวนี้แม่ดุกลับไม่ยอมกัน
“ไม่เป็นไรค่ะ หน้าที่ปรายเอง ทุกคนนั่งรอดีกว่าค่ะ”
“ไม่ได้ๆ วันนี้มีกับข้าวหลายอย่าง ตาภูมิไปช่วยน้องเดี๋ยวนี้”
เจอคำสั่งเฉียบขาดเข้าใจ ภูมิพยัตจำใจลุกขึ้นเดินหน้าตึงเข้ามาในครัว ดูเหมือนว่ากับข้าวจะตักใส่ชามไว้รอแล้ว เขาถอนหายใจหนักๆ นี่เขาจ้างแม่บ้านมาช่วยงานบ้านหรือจ้างมาให้เพิ่มงานให้ตัวเองกันแน่
“คุณพยัตค่ะ ปรายทำเองค่ะ”
“แม่ผมจะได้บ่นอีกไง” เขาทำปากขมุบขมิบ “วันนี้กับข้าวเยอะจัง”
“คุณท่านให้ทำของโปรดคุณค่ะ”
ไปรยายิ้มกว้าง หญิงสาวไม่รู้ตัวหรอกว่ารอยยิ้มของเธอสะกดสายตาชายหนุ่มได้มากแค่ไหน เขาหันไปทางอื่นไม่อยากต้องมนตร์ยัยแม่มดหน้าหวานเข้าให้
“ผมยกถาดอาหารไปแล้วกัน” เขาพูดเมื่อเห็นเธอยกชามอาหารสามสี่อย่างใส่ถาดแล้ว “เกิดคุณหกล้มขึ้นมาจะอดกินเสียเปล่าๆ”
“ยังมีอีกในหม้อนะคะ ถ้าคุณไม่อิ่มก็เติมได้” หญิงสาวหัวเราะน้อยๆ แล้วเตรียมจานสำหรับทานอาหารเดินตามร่างสูงออกมา
ภาพหญิงสาวร่างเล็กในชุดผ้ากันเปื้อนกับชายหนุ่มตัวโตผิวเข้มช่วยกันจัดโต๊ะอาหารมื้อเย็นนั้น ทำให้ผู้เป็นพ่อแม่อดยิ้มไม่ได้ เคยกังวลว่าลูกชายจะไม่สนใจผู้หญิงเสียแล้ว เห็นแบบนี้ก็เบาใจไปเปราะหนึ่ง แต่ที่ยังกังวลคือยังไม่รู้ที่มาที่ไปของไปรยา ตลอดทั้งวันที่เคยเงียบเหงา ไปรยาช่วยหยิบโน้นทำนี้ไม่บ่นเลยสักนิด การงานเรื่องในครัวก็ดูถนัดราวกับแม่ครัวตัวจริง คุณบุญมาช่วยคุยเรื่องข่าวสารบ้านเมืองทั่วไป ไปรยาก็โต้ตอบได้อย่างคนมีความคิด มีการศึกษา ไม่รู้ว่าผู้หญิงดีๆแบบนี้ทำไมถึงไปอยู่กับแม่เล้าเจนนี่ได้ คงต้องคอยๆดูกันไป ถ้าเป็นคนดีจริงแล้วขัดสนเงินทอง ก็จะช่วยไถ่ตัวจะได้เป็นอิสระไม่ต้องพลีกายให้ผู้ชายมากหน้าหลายตา
“อ้าว แล้วจานข้าวของหนูปรายละลูก” คุณรำเพยถามเมื่อเห็นว่าบนโต๊ะมีเพียงสามชุดเท่านั้น
“คุณท่านรับประทานกันเถอะค่ะ หนูกินในครัวได้”
“กับข้าวเยอะแยะเต็มโต๊ะแบบนี้ มานั่งกินด้วยกันนี่แหละ มาๆ มานั่งข้างตาภูมินี่”
สายตาคมกริบของภูมิพยัตไม่ได้ทำให้ไปรยารู้สึกกลัวได้หรอก เพียงแต่เกรงใจที่ผู้ใหญ่เอ่ยปากชวนแล้วปฏิเสธไปจะดูไม่เหมาะ ทั้งคุณบุญมาและคุณรำเพยคะยันคะยอให้นั่งกินมื้อเย็นร่วมโต๊ะเดียวกัน เธอจึงทำตามอย่างไม่อาจปฏิเสธได้
ภูมิพยัตจับช้อนแล้วแกล้งกางข้อศอกมาโดนคนที่นั่งข้าง เป็นจังหวะที่ไปรยากับตักข้าวเข้าปาก ทำให้เธอเสียจังหวะ ข้าวร่วงก่อนเข้าปาก เธอหันขวับมามองคนตัวโตที่ยักคิ้วให้
สงบใจไว้ไปรยา มันก็เหมือนอยู่กับเด็กป.1นั้นแหละ ชอบแกล้งกันในโต๊ะอาหาร แต่เขาเป็นผู้ใหญ่ตัวโตที่มีนิสัยแบบเด็กๆก็เท่านั้น
“แกงข่าไก่ใส่เห็ดเป็นยังไงลูก อร่อยไหม?”
“อร่อยมากครับ ไม่ได้กินรสมือแม่แบบนี้นานแล้วนะครับ”
“ชามนั้นหนูปรายทำนะลูกไม่ใช่แม่หรอก แม่แก่แล้วลิ้นไม่ค่อยรู้รสแล้วล่ะ” คุณรำเพยยิ้มได้ใจ ลูกชายจะเปลี่ยนคำพูดก็ไม่ได้เพราะเห็นกินเอากินขนาดนั้น
อาหารเย็นผ่านไปด้วยรอยยิ้มและเรื่องเล่าที่ผู้ใหญ่ทั้งสองสรรหามาพูดคุยทำให้ไปรยาอดหัวเราะไม่ได้ มีแต่ภูมิพยัตที่หน้าตึงเหมือนตัวเองเป็นส่วนเกินของบ้าน หลังทานอาหารเย็นเสร็จ หญิงสาวก็ยกจานสัปปะรดที่หั่นไปชิ้นพอดีคำมาเสิร์ฟ เธอขอตัวไปจัดการเก็บล้างจานชามในครัว เธอยิ้มอย่างสุขใจ ผิดกับครั้งที่อยู่กับครอบครัวอาธงชัย เธอมักทำอะไรก็ไม่ถูกใจคนในบ้านเสมอ ถูกแกล้งสารพัดจนหลายครั้งคิดน้อยใจที่พ่อกับแม่ทิ้งเธอไว้ตามลำพัง
“คุณนี่หว่านเสน่ห์ใส่พ่อกับแม่ผมได้ยังไงนะ ปกติท่านไม่ค่อยสนิทสนมกับใครแบบนี้หรอก”
เสียงภูมิพยัตดังมาจากด้านหลัง ทำให้ไปรยาตื่นจากภวังค์ หญิงสาวหันมายิ้มให้ แล้วเช็ดจานชามวางเรียงเป็นระเบียบเรียบร้อยพร้อมถูกใช้งานในวันต่อไป
“ปกติแม่บ้านคนเก่าคุณเลิกงานกี่โมงคะ” ไปรยาถามน้ำเสียงจริงจัง
“ก็ห้าโมงเย็น ทำอาหารเย็นเสร็จก็กลับ” เขาขมวดคิ้วแล้วนึกขึ้นได้ เขามองนาฬิกาที่ข้อมือที่เกือบทุ่มเข้าไปแล้ว
“ไม่ต้องอยู่รอคุณท่านเข้านอนก่อนหรือคะ”
“ไม่หรอก พ่อกับแม่ผมบางทีก็ดูหนังดูละครกว่าจะนอนก็สี่ห้าทุ่ม เอาเถอะ คุณก็กลับไปพักผ่อนได้แล้ว”
“ปรายไม่ได้ห่วงเรื่องนั้น ปรายแค่จะได้รู้หน้าที่ตัวเองที่ต้องทำ”
“คุณทำได้ดีแล้ว แต่หวังว่ามันจะดีมาจากใจจริงนะ”
“คุณนี่ไม่ไว้ใจปรายแต่กลับยอมให้ทำงานด้วย ประหลาดจริงๆเชียว” ไปรยามองหน้าเขาแล้วหัวเราะ
“เขาเรียกกลยุทธ์ไม่รู้เหรอ จงเก็บศัตรูไว้ใกล้ตัวมันจะอยู่ในสายตาคุณทำให้คุณไหวตัวทัน”
“ถ้าเป็นปราย...ก็คงเลือกที่หนีให้ห่างมากที่สุด อย่าได้จองเวรกันและกันเลย” เธอพูดแล้วเหลือบตามองเขา
ไม่รู้ตัวว่าเขาเข้ามาใกล้ตั้งแต่เมื่อไหร่ จนได้กลิ่นหอมของน้ำหอมปนกลิ่นเหนื่อยจางๆ จากเรือนกายกำยำของเขา
“ไปรยา ผมให้โอกาสคุณนะ ถ้ามีอะไรให้พูดความจริงกับผม หากผมรู้จากปากคนอื่นว่าคุณโกหกอะไรผม ผมรับรองได้เลยว่าคุณจะได้รับการตอบแทนที่สมน้ำสมเนื้อจากผม!”
ไปรยาแทบลืมหายใจไปกับคำพูดดุดันและสายตาดุจเสือของเขา ร่างสูงหมุนตัวเดินออกไปแล้ว เหลือเพียงเธอกับการถอนหายใจอย่างเจ็บปวด แม้เพียงจะมาอยู่แค่วันเดียวแต่เธอก็ประทับใจท่านผู้ใหญ่ทั้งสอง เธอไม่อยากโกหก อยากพูดความจริงใจจะขาด แต่ไม่รู้ว่าผลที่ออกมาจะเป็นอย่างไร