Married แต่งแล้ว (อย่า) รัก 5
เช้าของวันถัดมา
“ชอบแบบไหนเลือกได้เลย” ช่วงบ่ายของวันถัดมาฉันนั่งทำหน้าง่วงอยู่ที่โซฟาห้องนั่งเล่นโดยมีผู้ชายคนนั้นนั่งอยู่ฝั่งตรงข้าม ฉันเพิ่งจะตื่นตอนเที่ยงเอง และไม่คิดว่าเขาจะยังรออยู่ และเขาไม่ได้ปลุกฉันนะ เขารอให้ฉันตื่นเองข้าวที่เพื่อนสั่งไว้มาส่งเขาก็ลงไปรับให้
“...” ฉันเปิดดูหนังสือแบบชุดแต่งงาน เปิดดูไปเรื่อย ๆ กระทั่งเห็นแบบชุดที่ตัวเองชอบก็จิ้มที่รูปให้เขาดู อีกฝ่ายยกโทรศัพท์ขึ้นมาถ่ายรูปไว้ทันที
“ชุดไทยพิธีเช้าล่ะ”
“หา? มีด้วยเหรอ?”
“มี แม่บอกมา เลือก” อีกฝ่ายสั่งมือก็เลื่อนหนังสือเล่มใหญ่มาให้ฉัน ฉันเปิดดูด้วยความรวดเร็วและเลือกแบบชุดไทยประยุกต์ที่คิดว่าชอบ เลือกได้อีกฝ่ายก็ยกโทรศัพท์ขึ้นมากดถ่ายรูปไว้อีกครั้ง
“ธีมงานอยากได้สีไหน”
“ฮื่อ! ไม่เลือกได้ไหมทำไมมันเยอะแบบนี้ล่ะ เราไม่อยากแต่งอะคุณช่วยพูดได้ไหม” พอรู้ว่าที่เลือก ๆ ไปยังไม่ครบสิ่งที่ต้องเลือกก็เริ่มงอแง คุณคนตัวโตที่นั่งอยู่ฝั่งตรงข้ามมองหน้าฉันนิ่ง ๆ ไม่ได้ตอบอะไรกลับมา
“เลือกมา” ใช่สิ!! เขาได้อะไรบางอย่างจากการแต่งงานครั้งนี้นี่ คงจะช่วยอยู่นั่นแหละ
“ขาวฟ้าเทา”
“ดอกไม้ล่ะ” เขาถามต่อคล้ายกับในหัวนั้นท่องจำหัวข้อมาหมดแล้วแค่มาถามให้ฉันตอบกลับไป แต่ก็ดี เขาจะได้รีบกลับไปเสียที
“กุหลาบขาว”
“ของชำร่วย” ฉันเปิดดูผ่าน ๆ แล้วจิ้มมาหนึ่งแบบ
“แขก...”
“ไม่มี”
“ยังไง?” อีกฝ่ายทวนถามทั้งยังจ้องฉันไม่วางตา
“ไม่มีแขกค่ะ มีแค่คุณย่า” ฉันบอกแค่นั้น แต่ความจริงก็คงจะชวนเพื่อนไปให้กำลังใจตัวเองรวมถึงครอบครัวของเพื่อนซึ่งก็ไม่รู้ว่าว่างไปกันไหม
“อือ”
“กลับไปได้แล้วค่ะ” ฉันบอกคนตรงหน้าอย่างตรงไปตรงมา เขาเหมือนจะเอ่ยดุฉันแต่ท้ายที่สุดก็ยอมกลับออกไปจากห้องฉันอย่างว่าง่ายในช่วงเวลาห้าโมงเย็น เมื่อเขาออกจากห้องฉันก็รีบทำความสะอาดห้องและหินข้าวเย็นเตรียมทำงานตัวเองต่อในรอบดึกของวัน
การใช้ชีวิตของฉันวนเวียนอยู่แค่นี้ และแน่นอนว่าฉันมีความสุขดีค่ะ ไม่ได้กังวลหรือกลัวอะไร กลับกันฉันยิ่งสบายใจที่ได้ใช้ชีวิตอยู่ที่ห้องตัวเองแบบนี้ ได้กินของที่ชอบ ได้ทำงานที่รัก ฉันมีความสุขมาก ๆ เลยนะคะ
เกือบสองเดือนฉันทำงานแปลเล่มแรกเสร็จแล้วเรียบร้อย และวันนี้ต้องเข้าไปคุยรายละเอียดต่าง ๆ เพิ่มเติม ระหว่างที่กำลังนั่งสรุปงานอยู่นั้นโทรศัพท์ฉันก็มีสายเรียกเข้ามา ฉันไม่ได้รับในทันทีกระทั่งมีช่วงว่างที่พี่ ๆ ทีมงานเตรียมเอกสารฉันถึงได้รับสายที่โทรเข้ามาและเอ่ยทักทายปลายสายเสียงเบา ถึงแม้จะไม่เป็นทางการแต่ก็เกรงใจพี่ ๆ มาก ๆ เลยนะ
“ค่ะ” เอ่ยทักทายปลายสายเบา ๆ
(ทำไมรับสายช้า)
“ประชุมงานอยู่ค่ะ” ฉันกระซิบบอกเสียงเบา อีกฝ่ายที่เหมือนกำลังหงุดหงิดที่ฉันรับสายเขาช้า แต่เมื่อได้ยินแบบนั้นก็ดูใจเย็นลงไม่ได้ตะคอกใส่เหมือนครั้งแรกที่รับสาย
“น้องพลอย อันนี้สัญญาของเล่มสองนะคะ อ่านและตรวจดูก่อนนะ” พี่ทีมงานคนหนึ่งส่งเอกสารสัญญามาให้ เพราะฉันเลือกที่จะเซ็นสัญญาแปลเล่มต่อเล่มเลยต้องเข้ามาเคลียร์เอกสารหลังจากแปลเล่มหนึ่งเสร็จ
“ส่วนนี่ของเล่มหนึ่ง” เช็กใบหนึ่งถูกยื่นมาตรงหน้า ฉันรับมาตรวจดูก็พบว่าตรงกับจำนวนที่ตกลงกันไว้ก่อนหน้านี้แล้ว
“ขอบคุณค่ะพี่ เดี๋ยวหนูขออ่านดูก่อนนะคะ” เอ่ยบอกทีมงาน
“ได้จ้ะ สงสัยอะไรแจ้งเลยนะคะ”
“ค่ะพี่” เมื่อพี่ทีมงานเดินทิ้งห่างออกไปฉันถึงได้กลับมาสนใจคนที่อยู่ปลายสายต่อ
“คุณมีอะไรหรือเปล่าคะ”
(เรื่องชุด // ทัพ เพลงคิดถึงคุณจังเลยค่ะ // อืม) มือที่ถือปากกาอยู่ชะงักค้างไปทันที ฉันไม่ได้โง่ที่จะฟังเสียงครางไม่ออก และฉันไม่อยากจะคาดเดาอะไรเลยว่าปลายสายนั้นทำอะไรอยู่กันแน่ แต่บอกคิดถึงกันแบบนั้นให้เดาก็คงจะอยู่กับคนรักของเขาล่ะมั้ง