Married แต่งแล้ว (อย่า) รัก 4
ในวันที่ต้องเดินทางกลับเป็นวันที่คุณพยาบาลเข้ามาช่วยดูแลคุณย่าพอดี เราได้มีโอกาสคุยกันเล็กน้อยก่อนที่ฉันจะเดินทางกลับเข้ามาทำงานต่อ ที่จริงฉันสามารถทำงานที่นั่นต่อได้ แต่เพราะยังมีงานบางชิ้นที่ต้องแก้ไขและต้องกลับมาคุยรายละเอียดต่าง ๆ เพิ่มเติม หากกลับมาที่กรุงเทพก็น่าจะสะดวกกว่าอยู่แล้ว
ในทุกวันคุณพยาบาลจะส่งรายงานอาการคุณย่าเข้ามาให้ฉันที่ไลน์ และรายงานทุกอย่างให้ฟังทั้งมีใครมาเยี่ยมบ้าง ใครมาหาอะไรแบบนั้น คุณพยาบาลอายุสี่สิบกว่าแล้วล่ะเพราะเหนื่อยกับงานที่โรงพยาบาลเลยออกมารับงานเป็นจ็อบแบบนี้ ซึ่งฉันก็ให้ค่าแรงไม่น้อยกว่าของโรงพยาบาลเลยนะคะ ให้เยอะกว่าด้วยเพราะทำงานยี่สิบสี่ชั่วโมง
“ยังไงเล่าสิ แต่งงานอะไรตกใจแล้วก็งงมาก” หลังจากคุยเรื่องปกผลงานเล่มใหม่เสร็จเพื่อนก็เอ่ยถามด้วยความตกใจ เพราะก่อนหน้านี้ฉันมีส่งข้อความเข้ามาบ่นกับเพื่อนเรื่องที่คุณย่าจะให้แต่งงาน แต่ยังไม่เคยลงรายละเอียดอะไรเลยกระทั่งได้เจอหน้ากัน เพื่อนถึงได้เอ่ยถามด้วยความสนใจ และนั่นจึงทำให้ฉันได้เล่าและบ่นให้เพื่อนฟังเกี่ยวกับเรื่องที่เกิดขึ้น
“พูดไม่ออกเลยว่ะ” พิรัชคือคนแรกที่เอ่ยขึ้นมาหลังจากฟังสิ่งที่ฉันเล่าจนจบ
“เหมือนกัน แต่นี่เข้าใจที่คุณย่าเป็นห่วงนะ” ประกายดาวเอ่ยเสริมขึ้นมาบ้าง
“แต่ฉันก็ไม่อยากแต่งไง เขาเป็นยังไงก็ไม่เคยรู้นิสัยใจคอ อีกอย่างนะเขาเองก็ไม่อยากแต่งงาน ฉันรู้”
“แต่ถ้าไม่มีใครก็ลองเรียนรู้กันไปก็ได้นะฉันว่า” อาริสาเป็นอีกคนที่บอกมาแบบนั้น บอกให้เรียนรู้กันเพิ่มเติม แต่ฉันรู้ตัวเองดีว่ามันเป็นไปไม่ได้หรอก เพราะฉันเองก็รู้ว่าเขามีคนรักอยู่แล้ว
ในวันหนึ่งที่คุณย่ายังอยู่ที่โรงพยาบาลฉันลงไปซื้อของก็เห็นเขายืนกอดกับแฟนอยู่เลย แต่ก็พอจะรู้เหตุผลที่เขายอมตกลง ฉันได้ยินเขากับคุณลุงคุยกันว่าหากยอมแต่งงานกับฉันคุณลุงจะยกไร่ให้เขาคนเดียว และนั่นจึงเป็นเหตุผลที่เขาไม่เคยปฏิเสธสิ่งที่คุณลุงกับคุณป้ายื่นให้
แต่ฉันก็ไม่ได้เล่าให้ใครฟังว่าฉันรู้เหตุผลเหล่านั้นแล้ว
และรู้ด้วยตัวเอง
“เอาเถอะ ถ้ามีอะไรให้ช่วยก็บอกเลยนะ เย็นนี้ไปกินข้าวกันไหม?” ประกายดาวเอ่ยชวนหลังจากที่นั่งคุยเรื่องเครียด ๆ มานานหลายชั่วโมง ทั้งเรื่องงานและเรื่องส่วนตัวของฉันที่ได้ระบายให้เพื่อน ๆ ฟัง
“อืม ไม่น่าจะได้ไปนะ ขอเคลียร์งานก่อน ฉันอยากแปลเล่มแรกให้เสร็จก่อนน่ะ”
“อย่าหักโหมนะรู้ไหม” พิรัชย้ำด้วยความเป็นห่วง
“ได้เลย”
“เรื่องอาหาร มื้อเที่ยงและเย็นเหมือนเดิมนะ เดี๋ยวสั่งเข้าไปให้ทุกวัน”
“ขอบคุณค่า เดี๋ยวก่อนเริ่มงานจะโอนเงินไว้ให้” ทุกครั้งที่ทำงานฉันจะโอนเงินค่าอาหารให้เพื่อนตลอดทั้งเดือนแล้วให้เพื่อนสั่งข้าวให้ เพราะฉันจะลืมกินข้าวตลอดเลยเวลาเร่งทำงานเพื่อนเป็นห่วงกลัวจะเป็นลมเป็นแล้งไปเลยต้องจัดการเรื่องอาหารให้แบบนี้นี่แหละ
“ได้ หาร้านดิลผูกปิ่นโตก่อน”
“เลี้ยงเหมือนมันเป็นลูกจริง ๆ ละ” อาริสาหัวเราะเสียงดังเมื่อเห็นว่าประกายดาวกำลังเริ่มหาร้านผูกปิ่นโตให้ฉัน
แยกย้ายจากเพื่อนในช่วงบ่ายสอง ก่อนกลับไปที่คอนโดฉันแวะซื้อเข้าไปซื้อของใช้ที่ห้างสรรพสินค้ารวมถึงขนมและเครื่องดื่มต่าง ๆ เพื่อเตรียมไว้ ระหว่างที่เดินเลือกซื้อของอยู่นั้นโทรศัพท์ฉันก็มีสายเรียกเข้ามาเป็นเบอร์ที่ฉันไม่ได้บันทึกไว้เสียด้วย สายแรกฉันไม่ได้รับเพราะกลัวจะเป็นมิจฉาชีพแต่ไม่ถึงสองนาทีเบอร์นั้นก็โทรกลับเข้ามาใหม่ นั่นจึงทำให้ฉันตัดสินใจรับสายในที่สุด
“ค่ะ”
(แม่ให้นัดมาเลือกชุด) อา เสียงนี้ เสียงของลูกชายคุณป้า และฉันเองก็มีเรื่องจะสารภาพด้วยนะคะ คือฉันน่ะจำชื่อเขาไม่ได้
(ยังไง จะให้ไปหาที่ไหน)
“เอ่อ ไม่ว่างเลยค่ะ รบกวนให้คุณป้าเลือกให้ได้ไหมคะ เอาที่คุณป้าว่าดีเลย” ฉันต้องเร่งทำงานแล้วนะคะ ไม่อยากขับรถไปกลับแล้วด้วย
(มันได้ที่ไหน ส่งพิกัดบ้านมาจะเอาแบบเข้าไปให้ดู)
“...”
(ส่งมาเร็ว ๆ)
“เฮ้อ” ฉันถอนหายใจอย่างเบื่อหน่ายก่อนจะกดส่งพิกัดคอนโดเข้าไปในช่องแชตแล้วส่งข้อความให้คุณป้านิรพร้อมกับส่งบอกความบอกท่านสั้น ๆ ว่าพิกัดคอนโดฉัน เพราะฉันไม่มีไลน์ของลูกชายท่านและไม่คิดจะเพิ่มเพื่อนเข้าไปด้วย
เดินซื้อของเสร็จก็เดินทางกลับมาที่ห้องตัวเองจัดเรียงข้าวของเข้าตู้เย็นและตู้เก็บของ จากนั้นก็ทำความสะอาดโต๊ะทำงานเพื่อที่คืนนี้จะได้เริ่มทำงานเสียที ผ่านมาตั้งหลายวันฉันทำงานไปได้ไม่ถึงสิบเปอร์เซ็นต์เลยด้วยซ้ำ พิรัชกินหัวฉันแน่ งานเดินช้ามากขนาดนี้
สองทุ่ม โทรศัพท์ฉันส่งเสียงเรียกเข้ามาอีกครั้งฉันรับสายด้วยความงุนงง กระทั่งได้ยินเสียงปลายสายและบอกให้ฉันเดินลงไปรับที่หน้าคอนโด ก็พอจะรู้ว่าใครที่โทรมา
“...” เดินลงไปรับก็พบว่าคนตัวสูงยืนทำหน้านิ่ง ๆ หอบหิ้วอะไรไม่รู้มามากมาย ระหว่างที่เดินเข้าห้องเราทั้งสองคนก็ไม่มีใครเอ่ยอะไรออกมา บางทีเขาอาจจะเอาของมาไว้แล้วกลับไปก็ได้
“ง่วง...”
“...” ฉันหันไปมองหน้าเขาอย่างสงสัยทันทีเมื่อได้ยินสิ่งที่เขาบอกมาแบบนั้น
“จะอาบน้ำนอนพักแล้ว บอกแม่ให้หน่อยว่ามาถึงแล้ว” นั่นคือสิ่งที่เขาบอกกับฉัน
เขาเดินหายเข้าไปในห้องนอนฉันแล้วเรียบร้อย ส่วนฉันได้แต่ยืนงงอยู่ห้องรับแขก แต่มือก็กดส่งข้อความหาคุณป้าบอกว่าลูกชายท่านมาถึงแล้วอย่างปลอดภัย จากนั้นฉันก็โทรหาคุณย่าทันทีพูดคุยกันไม่ถึงสิบห้านาทีฉันก็ต้องวางสายเตรียมทำงานของตัวเองบ้างแล้ว
เมื่อได้ลงมือทำงาน ก็แทบจะไม่รู้ตัวเลยว่าเวลาผ่านไปนานเท่าไหร่ เริ่มงานเกือบสามทุ่มเงยหน้าอีกทีก็ตีหนึ่ง ฉันเดินไปดื่มน้ำแล้วเดินกลับมานั่งทำงานตัวเองต่อ จวบจนตีสี่หลังจากบันทึกงานเสร็จก็เดินงัวเงียกลับเข้าห้องนอน หัวถึงหมอนก็ภาพตัดไปทันที
โดยที่ตัวฉันเองก็หลงลืมไปว่าตอนนี้ที่ห้องไม่ได้มีเพียงฉันอย่างที่เคยเป็นมา