Married แต่งแล้ว (อย่า) รัก 9
“หนูไม่รู้เหรอลูก?” คุณลุงทวนถามทั้งยังยกยิ้มอย่างสนุกเมื่อเห็นว่าฉันมีปฏิกิริยาเช่นใด
“ค่ะ หนูยังจำชื่อไม่ได้” ฉันยอมรับด้วยความซื่อตรง
“คุณย่าหนูเจ็บนะ” ฉันทำหน้างอมองหน้าคุณย่าทันทีเมื่อโดนท่านตีที่แขนเบา ๆ
“ไปพูดแบบนั้นได้ยังไงกันเด็กคนนี้” คุณย่าเอ่ยดุฉันอย่างไม่สบายใจ ตรงกันข้ามกับคุณลุงและคุณป้าที่หลุดเสียงหัวเราะอย่างพออกพอใจ
“ไง พูดไม่ออกเลย” คุณลุงหันไปแซวลูกชายท่านอย่างอารมณ์ดี ฉันเลิกสนใจคนที่เดินมานั่งที่โซฟาตัวถัดไปแล้วมองของชำร่วย ที่จริงก็ไม่รู้จะเตรียมอะไรเพิ่มแล้วเพราะทุกอย่างป้านิรจัดการหมดแล้วล่ะ
“บ่ายคล้อยก็พาน้องไปดูเรือนหอ...”
“คุณป้าคะ”
“จ้ะลูก” คุณป้านิรขานรับทันทีเมื่อฉันเอ่ยเรียกท่าน
“ขอโทษด้วยนะคะ คือเย็นนี้หนูไม่ว่างเรือนหอคือตามนั้นเลยค่ะไม่ต้องไปดูก็ได้” ฉันเอ่ยบอกกับคุณป้า ถ้าคุณป้าบอกว่าจะพาไปฉันก็อาจจะตกลง แต่พอท่านเปลี่ยนให้ลูกชายท่านพาไปพูดตามตรงฉันไม่อยากไปเลย เรื่องเรือนหอก็ตามมีตามเกิดเถอะค่ะ
“หนูจะไปไหนหรือเปล่าลูก”
“หนูอยากเคลียร์งานบางส่วนค่ะคุณป้า”
“อา ป้าเข้าใจลูกเอาไว้ว่าง ๆ ก็แล้วกันเนอะ”
“ขอบคุณค่ะ”
“ระหว่างนี้แม่จะให้พี่เขามาช่วยจัดทางนี้นะลูก อยากไปไหนก็ให้พี่เขาพาไปได้เลย ถ้าน้องจะไปไหนพาน้องไปด้วยนะเข้าใจไหม?” ท้ายประโยคคุณป้าหันกลับไปบอกลูกชายตัวเองที่ยังมองฉันอยู่นิ่ง ๆ ดังเดิม
“ครับแม่”
“ส่วนแขกเดี๋ยวแม่จัดการเอง”
“ครับ”
บ่ายแก่ ๆ คุณป้ากับคุณลุงกลับบ้านไปแล้ว ส่วนฉันพยุงคุณย่าออกไปนั่งเล่นที่สวนดอกไม้ข้างบ้านและยังมีคุณจอมทัพเดินออกมาด้วย เขาชวนคุณย่าคุยอย่างเป็นกันเองถามไถ่และชวนดูนั่นดูนี่ไปเรื่อยแล้วขอตัวกลับในช่วงห้าโมงเย็น คุณย่ากินยาแล้วเข้านอนไปในช่วงเวลาสองทุ่ม ฉันส่งคุณย่าเข้านอนเสร็จก็เดินออกมาทิ้งตัวนอนบนโซฟาที่ห้องรับแขก
“คุณพลอย...”
“ค่ะพี่ นั่งก่อน ๆ กินข้าวหรือยังคะ?” ฉันรีบขยับลุกขึ้นนั่งเมื่อพี่พยาบาลเดินเข้าใกล้มากยิ่งขึ้น
“กินแล้วค่ะ คุณพลอยกินหรือยัง”
“ยังเลยค่ะ หนูอยากกินส้มตำอะพี่ แต่ดึกแล้วไม่รู้ที่ไหนจะมีเปิด” ฉันอยากกินส้มตำแซ่บ ๆ ไม่ก็กินชาบูอะไรแบบนั้น แต่นี่ไม่ใช่กรุงเทพไงที่เดินออกไปทางไหนก็เจอกับร้านอาหารน่ะ
“โห ยากเลยแบบนี้ปกติก็ในเมืองเลยค่ะ แต่จากที่นี่ไปเมืองก็เกือบเจ็ดสิบกิโลเมตรเลยนะคะ” พี่พยาบาลบอกกับฉัน
“แย่เลย ฮื่อหนูจะถึงรอบเดือนอยากกินทุกอย่างเลยค่ะ” ฉันร้องงอแงบอกกับพี่พยาบาลที่ชื่อพี่ส้ม เมื่อเห็นว่าฉันงอแงพี่ส้มก็หัวเราะอย่างขบขันแทบจะทันที
“พรุ่งนี้ลองไปตลาดในเมืองดีไหมคะ ซื้อมาไว้เผื่ออยากกินก็ทำกินได้เลย” พี่ส้มเสนอ
“หนูซื้อเลยข้อแนะนำนี้ พรุ่งนี้หนูจะไปซื้อของแล้ว เดี๋ยวเรามาเขียนกันค่ะว่าจะเอาอะไรมาไว้บ้าง” ฉันมองพี่ส้มอย่างตื่นเต้น แต่ยังไม่ทันจะได้ทำอะไรเพิ่มเติมโทรศัพท์ฉันก็มีสายเรียกเข้ามา เป็นคนที่แยกกลับบ้านไปในช่วงเย็น ไม่รู้จะโทรมาอะไรนักหนาเหมือนกัน
“ค่ะ” แม้จะบ่นแต่ก็ยังรับสายที่โทรเข้ามาอยู่ดังเดิม
(กินข้าวหรือยัง?) งง อะไรที่ทำให้เขาถามฉันมาแบบนั้น
“มีอะไรหรือเปล่าคะ?”
(อยู่ในเมืองอยากได้อะไรไหมกำลังจะกลับ) อยู่ในเมือง? ฉันเงยหน้ามองพี่ส้มตาโตทันที
“ในเมืองเหรอ?”
(ใช่ เอาอะไร) ทำไมเขาถามเหมือนรู้เลยว่าฉันมีความต้องการที่อยากได้อะไรบางอย่างจากเมือง
“ฝากซื้อส้มตำสิคะ ให้เขาแยกเครื่องกับน้ำปรุงมาให้” พี่ส้มบอกฉันพร้อมกับหัวเราะ
“อา ฝากซื้อส้มตำได้ไหมคะ” แม้จะไม่ค่อยชอบเขาแต่ก็อยากกินอะ
(ต้องสั่งยังไงไม่เคยสั่ง) อีกฝ่ายถามกลับมา
“อา บอกว่าเอาตำปูปลาร้าเปรี้ยว ๆ เผ็ด ๆ แยกเส้นกับน้ำปรุงค่ะ”
(อย่างอื่นล่ะ)
“อยากกินชาบูเสียบไม้มีไหมคะ?”
(ไม่รู้จัก เดี๋ยวเดินดูก่อน)
“ขอบคุณค่ะ” เอ่ยบอกปลายสาย
(ล็อกบ้านดี ๆ ถึงแล้วจะโทรบอกเอง) อีกฝ่ายสั่งมาสั้น ๆ แล้ววางสายไป และฉันก็ตื่นเต้นกับส้มตำที่จะได้กินในไม่ช้านี้
พี่ส้มนั่งคุยกับฉันสักพักก่อนจะขอตัวไปนอนพักหลังจากช่วยฉันปิดประตูและล็อกบ้านเสร็จแล้วเรียบร้อย ฉันกลับขึ้นบนห้องนอนอาบน้ำเปลี่ยนชุดและนั่งทำงานไปเล็กน้อย หัวตันมากเขียนงานตัวเองไม่ออกเลยสักตัวอักษร อีกอย่างยิ่งจะมีประจำเดือนฉันยิ่งหงุดหงิดตัวเอง ทั้งยังอ่อนไหวง่ายมาก รอกินส้มตำนานจนร้องไห้ไปหนึ่งรอบ
สามทุ่มครึ่งคนอาสาซื้อส้มตำมาให้เดินทางกลับมาถึงบ้านแล้วเรียบร้อยพร้อมกับของกินหลายอย่าง และฉันก็นึกว่าเขาส่งมอบของกินเสร็จแล้วจะกลับไปแต่ไม่ใช่เลยค่ะ เขานั่งกินข้าวกับฉันในช่วงเวลาสามทุ่มครึ่ง ส้มตำที่ได้มาฉันก็จัดการคลุกในครกด้วยตัวเอง ไม่กล้าตำแรงด้วยกลัวคุณย่าจะตื่น
“เผ็ดมาก” คนที่นั่งอยู่ฝั่งตรงข้ามเอ่ยบอกเสียงสั่น มือก็หยิบน้ำส้มขึ้นดื่มจนหมดขวด แต่อาจจะเป็นเพราะฉันกินรสจัดอยู่แล้วเลยไม่ค่อยอะไรมาก แล้วเขาก็ซื้อชาบูเสียบไม้มาให้ฉันได้ด้วยนะ มีผลไม้แล้วก็ขนมอีกสองสามอย่างด้วย เพราะกินส้มตำไม่ได้เลยนั่งกินชาบูเสียบไม้เป็นเพื่อนฉันจนเกือบสี่ทุ่มครึ่ง
“พรุ่งนี้ตอนบ่ายจะมารับ”
“ไปไหนคะ?” ระหว่างที่เดินออกมาส่งเขาที่หน้าบ้านฉันก็รีบเอ่ยถามคนตรงหน้าทันที
“ไปดูบ้านแล้วก็ไปซื้อของเข้าบ้าน”
“แต่ว่า...” ฉันไม่อยากไปกับเขาเลยนี่สิ
“ต้องไปซื้อ”
“ค่ะ” ท้ายที่สุดก็ยอมตกลง
เขาไม่ได้พูดอะไรแต่เดินออกไปขึ้นรถที่จอดอยู่นอกรั้ว ก่อนกลับก็ช่วยล็อกประตูรั้วให้อย่างดี ฉันล็อกประตูบ้านเสร็จก็กลับขึ้นบนห้องนอนตัวเอง วันนี้คงไม่ได้ทำงานต่อแล้วล่ะ นั่งเช็กโซเชียลอีกสักพักใหญ่ก็อาบน้ำแปรงฟันเข้านอน วันนี้ฉันอาบน้ำไปสี่รอบแล้วล่ะ งงตัวเองเหมือนกันว่าทำไมต้องอาบน้ำบ่อยมากขนาดนี้นะ