Chapter 5 แผนรุกรานครั้งแรก (2)

1375 Words
ท้องฟ้านอกดินแดนรกร้างสว่างสดใส เป็นสีครามที่สวยงาม แต่หลังจากรีชม่อนใช้เวทเคลื่อนย้ายวงกว้าง อันเป็นพลังที่ได้รับหลังเลื่อนขั้นเป็นจอมมาร พาแซนโซที่อยู่ในร่างมังกรเกร็ดขาวดุจหิมะตัวใหญ่ และปีศาจลิ้วล้ออีกหนึ่งพันตนมาเยือนดินแดนมนุษย์ ท้องฟ้าที่เคยสว่างสดใสก็มืดครึ้มราวกับช่วงเวลาก่อนมีฝนตก มังกรแซนโซบินโฉบไปโฉบมาพร้อมใช้ [เวทฝนแช่แข็ง] ทำให้ทุกสิ่งอย่างกลายเป็นประติมากรรมน้ำแข็ง เหล่าปีศาจหลายเผ่าพันธุ์ในกองทัพใช้อาวุธในมือไล่เข่นฆ่าผู้คน ตามบทบาทที่ถูกเขียนเอาไว้ ก็ไม่ได้ตั้งใจจะใช้วิธีที่โหดเหี้ยมแบบนี้ แต่เวลาจวนตัวจริงๆ มีใครช่วยเหลือเขาได้บ้าง? ...ไม่มี ดังนั้น ต้องเอาพวกมากเข้าว่า นั่นคือแผนของรีชม่อน อาจเป็นแผนที่ตื้นเขิน แต่ตอนหนีจากผู้กล้าก็จะได้อาศัยช่วงฉุกละหุกนั้นซ่อนตัว และอีกอย่าง โลกแฟนตาซีก็มีเรื่องให้ฉงนอยู่บ้าง ทั้งๆ ที่มนุษย์นั้นถูกเผ่าพันธุ์ปีศาจรุกรานออกจะบ่อย แต่กลับไม่เคยสูญพันธุ์ ในตอนแรก เสียงกรีดร้องขอความช่วยเหลือของชาวบ้านให้รู้สึกน่าอนาถใจ แต่ถ้าอดทนฟังอีกหน่อย เสียงกรีดร้องและเสียงอ้อนวอนต่อพระเจ้าก็จะค่อยๆ เงียบลงไปเอง นั่นเพราะถูกแซนโซแช่พวกเขาให้กลายเป็นน้ำแข็งนั่นเอง “ช่วยด้วย กรี๊ด...!” “พระเจ้า ช่วยลูกด้วย ช่วย...อ๊าก!!” “ผู้กล้า...” ถึงอย่างนั้น การยืมมือแซนโซก็ไม่ใช่การทดสอบพลังเวทของจอมมารอยู่ดี รีชม่อนเคลื่อนย้ายตัวเองไปยืนอยู่หน้ากองทัพปีศาจนับพัน ขบคิดอย่างรวดเร็วว่าควรใช้เวทบทไหนทำลายเมืองหลวงของกริฟส์ให้จบๆ ในคราเดียว และในที่สุดก็สรุปได้ “[เวทกรงเล็บวิญญาณ] [เวทตาข่ายอนันตกาล]” เขาร่ายเวทสองบท หลังจากนั้นเกิดเสียงดังตูม แผ่นดินสั่นสะเทือน ก่อนทุกอย่างจะปกคลุมด้วยความมืดและค่อยๆ ขยายเป็นวงกว้าง อย่างแรก เสียงระเบิดนั้น เกิดจากเวทกรงเล็บวิญญาณ กรงเล็บสีดำนั้นจะมีขนาดใหญ่หรือเล็กขึ้นอยู่กับพลังเวทและความตั้งใจของคนที่ใช้ อย่างที่สอง เวทตาข่ายอนันตกาล เป็นการกักขังเป้าหมาย กินอาณาเขตใหญ่หรือเล็กก็ขึ้นอยู่พลังเวทและความตั้งใจของคนที่ใช้เช่นเดียวกัน ...แต่ก็นะ โชคดีแค่ไหนแล้วที่ไม่ใช้เวททำลายล้าง อีกอย่าง เวทกรงเล็บวิญญาณ เขาก็เล็งไปตรงที่ไม่มีคนด้วย เห็นอย่างนี้ แต่เขาก็เคยเป็นมนุษย์มาก่อน ไม่กล้าลงมือฆ่าใครหรอก แม้พลังเวทของรีชม่อนจะไม่คงที่ แต่ก็เรียกได้ว่ามีมากถึงขั้นกักขังเมืองทั้งเมืองให้อยู่ในความมืดได้ การที่เขาเลือกใช้เวทบทนี้ก็เพื่อชิงความได้เปรียบ ปิดกั้นทุกอย่างเพื่อไม่ให้ผู้กล้ามาถึงตัวเขานั่นเอง แถมการเปิดตัวในฐานะจอมมารยังทำให้ธีโอราสพอใจด้วย ยิงปืนนัดเดียวได้นกสองตัว! เอาละ ทดสอบเรียบร้อย ใช้ช่วงชุลมุนนี้แหละกลับปราสาท [แซนโซ ถอ...] “จะรีบไปไหนเล่า จอมมาร” “อึก!” ขณะที่รีชม่อนกำลังใช้เวทสื่อสารบอกให้แซนโซถอยทัพ ทว่ายังพูดไม่ทันจบ เสียงของแขกที่ไม่ได้รับเชิญก็ดังในระยะประชิด รีชม่อนหันขวับไปมอง คนที่ยืนอยู่ข้างๆ เขาตอนนี้ก็คือชายหนุ่มร่างสูง มีเส้นผมสีทองและมีดวงตาสีครามเป็นประกาย โดยรวมแล้วเป็นชายหนุ่มที่หล่อเหลาเอาการ แต่ถึงอีกฝ่ายจะหล่อมากสักแค่ไหน สำหรับเขาการได้เจอคนคนนี้มันคือหายนะ! “ผู้กล้า!?” รีชม่อนเผลอใช้น้ำเสียงสั่นเครือเรียกอีกฝ่าย การที่จู่ๆ ก็มาเสียอาการย่อมมีเหตุผล นั่นเพราะเมื่อครู่เขาบังเอิญสบตากับผู้กล้า ภายใต้ดวงตาสีครามคู่สวย คล้ายจะมีเปลวเพลิงเผาไหม้อยู่ในนั้น และอีกอย่าง อีกฝ่ายยังขยับเข้ามายืนใกล้มากขึ้นเรื่อยๆ ไอความร้อนจากตัวชวนให้นึกถึงฉากสำเร็จโทษ? ฟ้าเหลือง? ผู้กล้าเลิกคิ้วข้างหนึ่ง ก่อนจะผละออกไปยืดหลังตรง แล้วสะบัดดาบที่มีเลือดและน้ำแข็งเกาะราวกับไม่ได้ตั้งใจ แต่แค่นั้นก็ทำให้ใครบางคนขนลุกเกลียวด้วยความสยอง ถูกเล่นงานแล้วเหรอ แซนโซ...!!! ทว่าไม่มีเวลาให้สงสารคนอื่น เพราะต่อไปก็เป็นตาของเขา “ดาบแห่งแสงของข้า แค่โดนทีเดียวก็ได้ไปเกิดใหม่แล้ว แต่รับรอง ข้าไม่ได้ทำให้ลูกน้องของเจ้าเจ็บสักนิด อันที่จริง เจ้ามังกรนั่นไม่รู้สึกถึงความเจ็บสักนิดตอนที่ลาโลก” รีชม่อนไหล่ห่อเหี่ยว จะขู่หรืออะไรก็ช่าง แต่มาถึงขนาดนี้แล้ว เขาก็หมดหนทางรอด “เหรอ...ข้าควรขอบคุณผู้กล้าที่อุตส่าห์ส่งเขาไปสวรรค์แบบไม่เจ็บปวดสินะ” เขาพูดด้วยความใจเย็น ทั้งที่ความจริงกำลังปวดหัวจี๊ดๆ ผู้กล้ายักไหล่ ภายใต้ความหวาดกลัว รีชม่อนมอบรอยยิ้มอย่างเป็นมิตรที่สุดให้ผู้กล้า ขณะนั้นก็ลอบใช้เวทเคลื่อนย้ายหลบหนีแบบเนียนๆ ทว่า... “จอมมารคิดจะไปแล้วเหรอ พวกเรายังคุยกันไม่จบเลยนะ ดีจริงๆ ที่ก่อนหน้านี้ข้าใช้เวทศักดิ์สิทธิ์สร้างเขตแดนเอาไว้ ปิดกั้นได้แม้แต่อณูวิญญาณเล็กๆ ไม่อย่างนั้นจอมมารคงหนีข้าไปแล้ว” “...!” ได้ยินอย่างนั้น ในหัวของรีชม่อนมีแต่คำว่าแย่แล้ว แย่แล้ว... เขาหนีไม่ได้ แถมเวทตาข่ายอนันตกาลที่ควรจะกลืนกินเมืองหลวงกรีฟส์ให้ตกอยู่ในความมืดมิด ตอนนี้ค่อยๆ สลายหายไป พลังของผู้กล้าช่างน่ากลัว แต่ที่น่ากลัวกว่าก็คือ....หลังจากนี้! “ข้า...” รีชม่อนเปล่งเสียงออกจากปาก หลังจากพยายามข่มอาการไม่ให้สั่นไปมากกว่านี้ “หือ?” “ถึงจะฟังดูไม่น่าเชื่อ แต่นี่ต้องเป็นเรื่องเข้าใจผิดแน่ๆ” “เข้าใจผิด? เรื่องอะไรเหรอ” “ข้าคิดว่า...ข้าถูกยั่วยุ” ...ขอโทษนะทุกคน ขอโทษที่โยนความผิดให้พวกเจ้า “จากใคร” “จากลูกน้อง ไม่สิ คือว่า อันที่จริง ข้าไม่ใช่คนจากโลกทางนี้หรอก แค่ตื่นขึ้นมาก็เข้ามาอยู่ในร่างของจอมมารนี้แล้ว แล้วก็นะ นี่ไม่ใช่จุดประสงค์จริงๆ ของข้า ก็แค่เล่นไปตามบทน่ะ ฮะๆๆ” เมื่อจนคนเราตรอก ต่อให้สิ่งที่ทำจะไร้หมายความแค่ไหน หากก็เป็นด้ายเส้นสุดท้ายที่อาจยึดเหนี่ยวชีวิตเอาไว้ได้ ดังนั้น เขาจึงบอกความจริงกับผู้กล้าแม้จะฟังดูไร้สาระ “อ๋อ อย่างนั้นเหรอ แล้ว?” “ถ้านายไม่เชื่อ ฉันก็ไม่มีอะไรจะพูดแล้ว” เขาเผลอใช้คำพูดจากยุคสมัยที่จากมา “จอมมารนี่ตลกจริงๆ ของแบบนั้นใครจะเชื่อลง” นั่นสินะ ขอโทษที่พูดพล่อยๆ...คิดว่าเขาจะตอบกลับไปอย่างนั้นเหรอ “อีกอย่างนะจอมมาร เจ้าไม่คิดว่าพวกเราควรพูดคุยกันให้มากกว่านี้หน่อยเหรอ” ทว่าก่อนที่รีชม่อนจะตอบกลับไปว่า ‘ไม่มีอะไรจะต้องพูด’ เอลเลียตก็ฉุดแขนของเขาแล้วอุ้มพาดบนบ่า ทั้งยังสรุปเอาเอง “ไปเถอะ” “เหวอ....” ร่างที่ลอยจากพื้นเพราะถูกอุ้มเอาง่ายๆ ทำให้เขาตกใจจนหัวใจร่วงไปอยู่ที่ตาตุ่ม แต่ก็รู้ว่าหลังจากนี้ต่างหากคือความน่ากลัวที่แท้จริง! ไม่เอาน่า ถึงนายจะเป็นผู้ชายที่หล่อมากๆ แต่ก็เป็นประเภทสัตว์กินเนื้อ หื่นกระหาย แถมไอ้นั่นก็ใหญ่ ในมังงะก็พอทน แต่ของจริงไม่เอาด้วยหรอก ทำไมฉันถึงรู้น่ะเหรอ ก็ฉันต้องทนเห็นของนายมาถึงสองปีเลยนะ!!
Free reading for new users
Scan code to download app
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    Writer
  • chap_listContents
  • likeADD