“อยากรักแม่ม่าย อยากปลอบใจคนดี กี่เดือนกี่ปีดูสวยโสภีไม่สร่าง จะดูเอวองค์อนงค์งามจริง...”
คนร้องร้องยังไม่ทันจบท่อน ไอ้มอมกับไอ้ด่างที่นั่งเกาหมัดอยู่ดีๆ ก็พากันส่งเสียงหอนโหยหวนขึ้นพร้อมกันราวกับนัด ท่ามกลางเสียงหัวเราะของทุกคน แม้แต่แสนคมซึ่งเป็นคนยิ้มยากยังอดยิ้มไม่ได้ พรนับพันหัวเราะคิกอย่างขบขัน และยิ่งขำมากขึ้นเมื่อได้ยินเสียงเด็กชายจุ้นที่พูดแบบไม่มีตัวสะกด
“เสียขอลูจ่าไอ้มอกะไอ้ด่ายังทนฟังไม่ได้เลอ”
จ่าโชติหันหน้าเหี้ยมๆ ไปค้อนคนพูดขวับใหญ่ “ไอ้จุ้น เอ็งไม่ต้องแปลก็ได้ เรื่องอย่างนี้ละแปลเก่งนัก ทีให้พูดไทยชัดๆ ดันพูดไม่ได้ซะที”
“จุ้นพูชะที่สุแล้” จุ้นเถียงเสียงดัง ก่อนจะเดินนำจ่าโชติขึ้นมาบนบ้าน แล้วก็ชี้มือไปทางพรนับพันด้วยสายตาตื่นๆ สร้างความสงสัยให้คนถูกชี้รวมทั้งนางพวงจนต้องเอ่ยถาม
“เอ็งชี้ไม้ชี้มือทำไมไอ้จุ้น”
“ตุ๊แก...ตุ๊แก”
คำพูดของจุ้น ทำให้พรนับพันนึกถึงตุ๊กแกตัวใหญ่ที่อยู่บนขื่อในห้องขึ้นมาทันที แล้วก็ต้องตกใจจนร้องเสียงหลงเมื่อเห็นเจ้าตัวดังกล่าวเกาะอยู่บนต้นเสา ที่อยู่ใกล้ตัวเธอไม่ถึงหนึ่งเมตร และกำลังจ้องตาโปนๆ มาที่เธอเขม็ง อารามตกใจทำให้หญิงสาวลุกพรวดจากเก้าอี้ที่นั่ง โผเข้ากอดแสนคมที่ยืนอยู่ทันทีพร้อมกับหลับตาปี๋
“ชู่ๆ...ไปเดี๋ยวนี้”
นางพวงส่งเสียงไล่ตุ๊กแกราวกับไล่หมูไล่หมา พรนับพันค่อยๆ ลืมตาขึ้น แต่ยังไม่คลายอ้อมกอดจากคนตัวสูง จนกระทั่งเห็นสายตาหลายคู่กำลังจ้องมาที่เธอเป็นจุดเดียว พลันดวงหน้าสวยก็ร้อนผ่าวเมื่อได้ยินเสียงห้าวๆ ดังขึ้นข้างหู
“ตุ๊กแกไปนานแล้ว”
น้ำเสียงนั่นทำให้หญิงสาวรีบคลายวงแขนและเดินไปทรุดนั่งที่เดิมในทันใด จึงไม่เห็นว่าคนที่ตัวเองกอดยิ้มมุมปากเพียงเสี้ยววินาทีก่อนจะจางหายไปอย่างรวดเร็ว
“ขอโทษค่ะ ฉันตกใจไปหน่อย” หญิงสาวพูดขอโทษปากคอสั่นด้วยความอับอายจนไม่รู้จะเอาหน้าไปไว้ที่ไหน ที่จู่ๆ ก็โผเข้าไปกอดเขาเฉยเลย
“ไม่เป็นไรผมไม่ถือ” แสนคมบอกเสียงเรียบ ราวกับการถูกกอดเป็นเรื่องปกติธรรมดา ก่อนจะหันไปทางจ่าโชติช่วง “จ่าซ่อมรถให้ผมเสร็จแล้วหรือ”
จ่าสิบเอกช่วงโชติทำเสียงละห้อย
“ซ่อมรถน่ะเสร็จตั้งนานแล้วครับผู้พัน แต่หัวใจของผมที่พังยับเยินจนกลายเป็นซาก ไม่รู้จะให้ใครช่วยซ่อมดี” พูดพลางก็ส่งสายตาหวานเชื่อมให้นางพวง และก็ถูกขว้างค้อนกลับมาทันที เพราะเจ้าตัวรู้ว่าเพลงที่อีกฝ่ายร้องปาวๆ น่ะจงใจแซวนางโดยเฉพาะ
“จ่าซ่อมรถประสาอะไรกันเสียงรถดังอย่างกับท่อแตก”
“คนหัวใจแตกสลายอย่างฉันเป็นคนซ่อมน่ะแม่พวงมาลัย ท่อมันก็เลยแตกตามหัวใจคนซ่อม” จ่าโชติตอบเสียงเศร้าสร้อยซึ่งขัดกับใบหน้าเหี้ยมๆ ที่สุด พรนับพันที่เพิ่งหายอับอายเมื่อครู่ยังอดหัวเราะคิกๆ ไม่ได้
“จ่าโชติ บอกกี่ครั้งแล้วว่าฉันชื่อพวงเฉยๆ ไม่ต้องมาเติมสร้อยให้ฉัน” นางพวงตวาดแหว
“ชื่อพวงเฉยๆ ไม่เห็นจะเพราะเลย โชติช่วงกับพวงมาลัย คล้องกันจะตายจริงไหมไอ้จุ้น” จ่าโชติหันไปถามความเห็นจากผู้ร่วมทาง
จุ้นสั่นหัวดิก “ไม่จิง จุ้นเห็นเวลาลูจ่าพู่กับป้าแววก็เปแบบนี้เหมือนกัน”
“อ้าว...ไอ้เด็กเวรนี่เผากูซะแล้ว” จ่าโชติบ่นพึมพลางทำหน้าแหยๆ แล้วจึงหันไปพูดกับนางพวงเสียงอ่อย “น้องพวงอย่าไปเชื่อเด็กอย่างไอ้จุ้นนะ จ่าโชติรักน้องพวงคนเดียวเท่านั้น”
นางพวงมองคนพูดอย่างหมั่นไส้ “ไม่ต้องมาเรียกฉันว่าน้องเลยนะจ่าโชติ อย่ามาข้ามรุ่น ลืมไปหรือเปล่าว่าฉันแก่กว่าตั้งสองปี จ่าจะรักใครกี่คนก็เรื่องของจ่า” ก่อนจะหันไปบอกพรนับพันที่นั่งยิ้มๆ อยู่
“น้องขิมรู้จักกับจ่าโชติไว้ซะสิจ๊ะ”
หญิงสาวยกมือไหว้ชายวัยกลางคนในเครื่องแบบทหาร ที่มีรูปร่างและบุคลิกแตกต่างกันโดยสิ้นเชิง ครั้งแรกที่เห็นหน้าเหี้ยมๆ รกเรื้อไปด้วยหนวดเครา อีกทั้งท่อนแขนที่โผล่พ้นเสื้อก็เต็มไปด้วยรอยสักเต็มพรืด เธอยังนึกว่าต้องเป็นคนดุไม่ต่างจากเจ้านายเป็นแน่ ทว่าเมื่อได้ฟังคำพูดแล้วไม่ใช่อย่างที่คิดเลย กลับกลายเป็นคนที่พกพาแต่อารมณ์ขันไว้อย่างเต็มเปี่ยม จนน่าจะแบ่งอารมณ์ขันให้เจ้านายอย่างตาผู้พันหน้าหงิกนั่นไปบ้าง
แล้วก็อดนึกถึงเหตุการณ์เมื่อกี้ขึ้นมาไม่ได้ เพราะเจ้าตุ๊กแกนั่นตัวเดียวจริงๆ ทำให้เธอเผลอกระโดดกอดตาผู้พันนั่น น่าขายหน้าชะมัด!
“คุณคงเป็นนางไม้ที่ไอ้จุ้นเล่าให้ผมฟังกระมังครับ”
คำทักทายของจ่าโชติทำให้พรนับพันสงสัยไม่น้อย
“นางไม้” หญิงสาวพึมพำ “นางไม้อะไรหรือคะ”
“นั่นสิไอ้จุ้น นางไม้อะไรของเอ็ง” นางพวงเองก็อดถามอย่างสงสัยไม่ได้
“ก็พี่เขาสวยเหมือนนาไม้ไงป้า” จุ้นตอบแล้วส่งยิ้มฟันขาวให้พลางทำหน้าเอียงอาย ราวกับกำลังมีความรัก จ่าโชติมองแล้วหมั่นไส้จนต้องยกมือขึ้นเขกหัวเล็กๆ เต็มแรง
“แหม คำว่าสวยเนี่ยเอ็งพูดชัดแจ๋วเชียวนะไอ้จุ้น ทีกับดวงใจเห็นเจอกันทีไรพูดว่าซวยทุกที”
“ถ้าจุ้นโง่ จะโท่ลูจ่า” เด็กชายยกมือขึ้นคลำป้อยตรงจุดที่ถูกเขก “ก็พี่ดัวใจไม่เห็นจะสัวเลอ ทาปากแดแช๊ดยากะกิเลือดใครมา” พูดพลางก็ชำเลืองมองไปยังร่างสูงใหญ่ที่มันรักนักรักหนา