หญิงสาวชุดดำที่นั่งอยู่ตรงสตูลและกำลังถูกพูดถึงในหัวข้อสนทนาก็คือพรนับพันนั่นเอง วันนี้วิลาสินี เพื่อนในกลุ่มของเธอเพิ่งเลิกรากับแฟน ก็เลยอยากจะมาเลี้ยงส่งความระกำช้ำชอกที่ผับประจำแห่งนี้ เธอมาถึงก่อนเวลานัดเกือบครึ่งชั่วโมงเพราะไม่อยากอยู่บ้าน เนื่องจากวันนี้บิดากับมารดาอยู่กันพร้อมหน้า เธอไม่อยากฟังเสียงโต้เถียงของทั้งคู่จึงหลบเลี่ยงออกมา
แต่เมื่อนึกถึงเหตุการณ์ก่อนหน้านี้ที่บ้าน หญิงสาวก็อดเบ้ปากไม่ได้...
‘ยายขิม แกจะไปไหนอีกล่ะ อยู่ติดบ้านสักวันไม่ได้หรือไง บ้านช่องใหญ่โตไม่เห็นมีใครอยากจะอยู่สักคน มันร้อนรุ่มนักใช่ไหม ถึงต้องหาทางออกจากบ้านกันทั้งพ่อทั้งลูก’ มารดาของเธอพร่ำบ่นตามเคย และยังแขวะบิดาซึ่งนั่งดูทีวีด้วยอีกหนึ่งดอก และคนถูกแขวะก็สวนทันควันเช่นกัน
‘คุณจะบ่นให้มันได้อะไรขึ้นมานะคุณพรรณ บ่นได้บ่นดีทุกวันไม่เบื่อบ้างหรือไง’ คุณเมธีพูดพลางส่ายหน้าอย่างเอือมระอาก่อนจะหันไปทางบุตรสาว ‘ขิมไปไหนหรือลูก’
‘งานเลี้ยงส่งค่ะคุณพ่อ’
คุณพรพรรณรายส่งรอยยิ้มเยาะให้บุตรสาว ‘เพื่อนแกเนี่ยขยันเลี้ยงส่งกันทุกวี่ทุกวันจริงๆ แล้วดูแต่งตัวเข้าอย่างกับพวกผู้หญิงทำงานกลางคืน แกควรจะเห็นแก่หน้าแม่บ้างนะยายขิม เกิดนักข่าวหรือคนรู้จักมาเห็นเข้า แม่จะเอาหน้าไปไว้ที่ไหน’
‘เอาไว้ที่เดิมนั่นแหละค่ะ คุณแม่ปั้นหน้าเก่งอยู่แล้ว ใครมาเห็นก็บอกเขาไปก็ได้นี่คะว่าไม่ใช่ลูกสาว เป็นใครไม่รู้ที่บังเอิญหน้าคล้ายกัน คุณแม่เก่งอยู่แล้วนี่คะเรื่องนี้’ พรนับพันพูดสวนออกไปแล้วยิ้มนิดๆ เพราะรู้ว่ามารดาเกลียดรอยยิ้มเช่นนี้ของเธอนักหนาและก็เป็นดังที่คิด
‘ยายขิม แกอย่ามาประชดฉันนะ ถ้ารู้ว่าเกิดมาแล้วจะเป็นอย่างนี้ ฉันเอาขี้เถ้ายัดปากแกตั้งแต่เด็กแล้ว จะได้ไม่ต้องมาเถียงฉอดๆ อย่างนี้...’
มารดาพูดยังไม่ทันจบ พรนับพันก็ผละออกมาจากบ้าน ทิ้งความโกรธไว้ให้คนพูดเหมือนเคย
หญิงสาวสะดุ้งตื่นจากภวังค์เมื่อถูกจับไหล่เบาๆ
“คนสวย...คืนนี้ไปต่อกับพี่ไหม”
หญิงสาวหันขวับไปมองพร้อมกับผลักคนจับเต็มแรง จนอีกฝ่ายเซเกือบเสียหลักล้มลง
“อะไรวะ จับแค่นี้ทำเป็นผลัก อย่าเล่นตัวนักเลยวะ แต่งตัวแบบนี้บ่งบอกชัดๆ” ชายหนุ่มหน้าตาดีพูดด้วยน้ำเสียงกรึ่มๆ ดวงตาฉายแววโกรธเคืองที่ถูกผลัก
พรนับพันเลือดขึ้นหน้าทันที เธอมองคนพูดจาดูถูกตั้งแต่ศีรษะจดเท้า “ฉันแต่งตัวอย่างนี้แล้วไง ทำไมต้องคิดว่าฉันเป็นผู้หญิงไม่ดีด้วย อย่ามาวัดกันที่การแต่งตัวหน่อยเลย...”
“มีอะไรกันหรือครับ” ผู้จัดการร้านที่คุ้นหน้าหญิงสาวเป็นอย่างดีก็ตรงรี่เข้ามาเสียก่อนที่เธอจะพูดจาแรงๆ ใส่อีกฝ่าย
และเป็นขณะเดียวกับที่ชายหนุ่มสองคนซึ่งคงเป็นเพื่อนกับผู้ชายปากไม่ดีนั่นก็รีบเข้ามาขอโทษขอโพยเธอทันที
“ผมขอโทษแทนเพื่อนผมด้วยนะครับ มันเมามากเลยเข้าใจผิด” ก่อนทั้งคู่จะช่วยกันลากเพื่อนปากเสียกลับไปที่โต๊ะโดยมีหญิงสาวมองตามด้วยความโมโห
“ผมขอโทษด้วยนะครับ” ผู้จัดการร้านกล่าวพลางทำหน้าเจื่อน เพราะรู้ดีว่านักเที่ยวกลุ่มนี้เป็นลูกหลานคนดังทั้งนั้น เขาจึงกลัวจะมีปัญหาในภายหลัง
“ไม่เป็นไร” พรนับพันสะกดกลั้นอารมณ์โกรธ ก่อนจะเดินตรงไปยังโต๊ะที่โทร. มาจองไว้แล้ว นึกด่าตัวเองว่าไม่น่ามานั่งตรงบาร์นี้เลย
พรนับพันไม่รู้เลยว่า ปรางวลัยที่มากับเพื่อนเห็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเมื่อครู่ แถมยังแอบไปยืนหลังกระถางต้นไม้ใกล้ๆ ก่อนจะยกสมาร์ตโฟนในมือขึ้นบันทึกภาพเอาไว้ด้วยความกระหยิ่มยิ้มย่อง แม้จะรู้อยู่แก่ใจว่าไม่ได้มีอะไรเกิดขึ้นก็ตาม แต่เธออยากรู้นักว่าถ้ามารดาของพรนับพันเห็นภาพดังกล่าวแล้วจะรู้สึกอย่างไร
ก็อยากมาทำให้เธอเสียหน้าดีนัก!
พรนับพันนั่งก้นยังไม่ทันร้อน หลังจากนั้นไม่นานเพื่อนๆ สามคนของเธอก็มาถึง
“เมื่อกี้เกิดอะไรขึ้น ฉันเข้ามาเห็นพอดี” วิลาสินีซึ่งเป็นเจ้าของงานเลี้ยงคืนนี้เอ่ยถามหลังจากนั่งลงเรียบร้อย ใบหน้าที่ควรจะเศร้าโศกเพราะเพิ่งเลิกกับแฟนแต่กลับไม่เป็นเช่นนั้น
“เจอคนเมานิดหน่อยน่ะ” พรนับพันพยักหน้าก่อนจะเรียกบริกรมาสั่งพันช์ แต่ก็ถูกพักตร์พิไล เพื่อนอีกคนเอ่ยปากแซวตามเคย
“เมื่อไหร่แกจะเลิกกินเหล้าเด็กๆ พวกนี้ซะทีนะขิม อายุยี่สิบสองแล้วนะไม่ใช่สิบสอง”
“ฉันแพ้พวกแอลกอฮอล์ แกก็รู้นี่นา” นี่คือคำแก้ตัวของพรนับพัน จริงๆ เธอไม่ชอบเหล้าแรงๆ ทุกชนิด เพราะเคยลองแล้วปวดหัวจึงไม่นึกอยากจะดื่มอีกเลย
“แล้วไอ้คนเมานั่นทำอะไรแกหรือเปล่าขิม” กวินทร์ซึ่งเป็นชายหนุ่มเพียงคนเดียวในกลุ่มเอ่ยถามด้วยเสียงแหลมบ่งบอกเพศอย่างชัดเจน
“มันมาชวนฉันให้ไปเที่ยวกับมันต่อ” พรนับพันตอบอย่างฉุนเฉียว
คนเป็นเพื่อนมองการแต่งตัวของคนถูกชวนไปเที่ยวแล้วยักไหล่ ก่อนจะจีบปากจีบคอพูด
“ก็แกเล่นจัดเต็มซะขนาดนี้นี่หว่า แกแต่งแบบนี้สวยมากนะขิม แต่อย่าไปเดินในสถานที่เปลี่ยวๆ แล้วกัน ระวังจะถูกฉุดโดยไม่รู้ตัว แต่ถ้าเป็นฉันนะไม่กลัวหรอก อยากถูกฉุดจะแย่”