I didn't change
You just never knew me
ผมไม่เคยเปลี่ยนไป
คุณแค่ไม่รู้จักผมเท่านั้น
การมีชีวิตอยู่ดูจะเป็นสิ่งที่ง่ายกับคนบนโลกเป็นแสนเป็นล้านคน ทุกคนดิ้นรนเพื่อให้อยู่ต่อเพื่อสิ่งใดสิ่งหนึ่งในชีวิต เขาเรียกมันว่าจุดหมาย แล้วจุดหมายของผมอยู่ที่ไหน
“กาย สกาย เหม่ออะไรอ่ะ สรุปว่าไง คืนนี้จะไปไหม” เฟิร์ส เพื่อนสนิทของผมถามขึ้นด้วยเสียงที่ดังเล็กน้อย ผมได้สติหลุดออกจากความคิดของตัวเอง ถึงได้รับรู้ว่าคนในกลุ่มกำลังจับจ้องมาที่ผมเป็นตาเดียว รวมถึงคนรักของผม ที่ขมวดคิ้วมองด้วยความกังวล
“เหม่ออะไรอีกแล้ว ช่วงนี้เหม่อบ่อยนะ” ฟาน แฟนของผมถาม
“เปล่า ไม่มีอะไรหรอก” ผมยิ้ม ยิ้มที่ยากจะทำ แต่ต้องทำทุกครั้งเพราะไม่อยากให้คนอื่นเป็นกังวล ยิ้มเพื่อปกปิดและหลบซ่อนบางสิ่งบางอย่างเอาไว้
“คืนนี้เราควรไปฉลองกันที่ร้านเดิม ไหนๆ ก็สอบเสร็จแล้ว แถมวันนี้เป็นวันศุกร์ด้วย คนเยอะสนุกแน่นอน”
“กูอยากพักอ่ะ” ผมบอก ไม่มีความรู้สึกอยากไปดื่มหรือสังสรรค์เลยสักนิด
ผมเหนื่อยและผมอยากพัก
“อะไรวะ มึงเป็นเจ้าแห่งการเที่ยวนะ จะมาอยากพักอะไร ไปด้วยกันสิ”
“ไม่อ่ะ พวกมึงไปกันเถอะ” ผมปฏิเสธอีกครั้ง
“จะไม่ไปจริงๆ เหรอ ฟานไปนะ” แฟนผมถามอีกครั้ง แววตามีความลังเล
‘ไม่ไปได้ไหม’
ผมอยากบอกเขาแบบนั้น อยากให้เขาอยู่กับผมในคืนนี้
แต่ทำไมมันพูดออกไปยากเหลือเกิน หรือผมปากหนักเกินกว่าที่จะเอ่ยขอจากเขา
“ไม่เอาดิ มึงไปกับกูดิ กูเพื่อนมึงนะ” เฟิร์สยังคงรบเร้าผม
ผมเงียบ เกิดความอึดอัดขึ้นในใจ ผมพยายามระงับมัน แล้วตอบเพื่อนรักออกไปสั้นๆ
“ขอคิดดูก่อน”
“มึงยังต้องคิดอะไรอีก”
“ก็ขอคิดก่อนไงเล่า พูดไม่รู้เรื่องหรือไงวะ” ผมหันไปตวาดใส่เพื่อนทันที จากนั้นก็เกิดเดธแอร์ขึ้นภายในกลุ่ม และผมเริ่มรู้ตัวว่า สิ่งแย่ๆ ได้เกิดขึ้นอีกแล้ว ผมทำมันลงไปอีกแล้ว
ริมฝีปากที่เคยอิ่มน้ำบัดนี้กลับรู้สึกแห้งผาก ยิ่งสายตาของคนรักส่งแววตำหนิมา ยิ่งทำให้ผมสั่นมากขึ้น ผมเม้มริมฝีปากของตัวเอง ก้มหน้าลงหลบซ่อนนัยน์ตาที่ร้อนผ่าว น้ำตายังคงเอ่อคลอ ทว่าไม่มีคนเห็นหรอกว่ามันได้ไหลลงมาแล้ว
ไหลอยู่ข้างใน ที่ๆ ไม่มีเห็นใครเคยมองเห็น
และก่อนที่อะไรมันจะแย่ไปกว่านี้ ผมรีบคว้ากระเป๋าแล้วลุกขึ้นออกจากโต๊ะ เดินหนีออกมา เดินออกมาให้เร็วที่สุด ผมไม่ได้ยินเสียงอะไรทั้งนั้น ทั้งเสียงเรียกของฟาน เสียงฝีเท้าที่วิ่งตามมาเรื่อยๆ จนกระทั่งรับรู้ได้ถึงแรงกระชากที่แขนจนตัวเซไปปะทะกับหน้าอกแข็ง
“เป็นอะไรกาย หงุดหงิดอะไรทำไมต้องไปลงกับเพื่อน” ฟานตำหนิผม
“ก็กายไม่อยากไป”
“ก็บอกเพื่อนดีๆ สิ”
“ก็พูดดีแล้วไง แต่ทำไมต้องเซ้าซี้” ผมสวน
“แล้วทำไมต้องโมโหขนาดนั้น พักนี้เป็นอะไร กายดูไม่เหมือนเดิมนะ”
ไม่...ผมเหมือนเดิม ทำไมผมจะไม่เหมือนเดิม
“ปล่อย กายจะกลับบ้าน” ผมพูดตัดบท ไม่อยากให้เรื่องมันแย่ไปมากกว่านี้
“งั้นก็กลับกัน” ฟานจับมือผมแล้วเดินนำไปที่รถ ขับตรงกลับบ้านพักที่เราอยู่ด้วยกันห้าคน บ้านเดี่ยวสองชั้นขนาดกลางที่อยู่ไม่ห่างจากมหาวิทยาลัยมากนัก ทำให้สะดวกสบายต่อการเรียนและใช้ชีวิตอยู่ที่นี่
บ้านหลังนี้ได้อานิสงส์จากแม่ที่เคยเรียนมหาวิทยาลัยนี้มาก่อน คุณตาเป็นคนซื้อไว้ให้แม่พักอาศัยตอนเรียน ใจจริงผมอยากเรียนต่อที่กรุงเทพ เพราะไม่อยากอยู่ห่างจากครอบครัว แต่แม่คะยั้นคะยออยากให้ผมมาเรียนที่นี่ ผมเชื่อฟังเพราะอยากให้พ่อกับแม่มีความสุข พอรู้ว่าผมสอบติดที่นี่แม่ก็ยกบ้านหลังนี้ให้ เพื่อที่ผมจะได้อยู่กับเพื่อนอย่างสะดวกสบาย
ผมไม่เคยมีปัญหาใดๆ กับการใช้ชีวิตที่สุขสบาย จนกระทั่งตอนนี้ ที่ผมคิดว่าตัวเองเริ่มจะกลายเป็นตัวปัญหา
กลับมาถึงบ้าน ผมเดินตรงดิ่งเข้าห้องนอน ฟานเดินตามหลังมา ผมทิ้งตัวนั่งลงบนเตียง ส่วนเขาเดินไปอาบน้ำในห้องน้ำ
เสียงน้ำไหลดังออกมาจากในห้องน้ำ ผมควรได้อยู่ตรงนั้นด้วยเหมือนเคย แต่ทำไมตอนนี้ ผมถึงอยู่ที่ตรงนี้...คนเดียว
ผมเกิดความรู้สึกโกรธที่ฟานไม่ชวนผมอาบน้ำ ทำไมเขาไม่รออาบพร้อมผม เราเคยอาบน้ำพร้อมกันเกือบทุกวัน แล้วทำไมวันนี้เขาถึงไม่ถามไม่ชวน หรือเพราะว่าผมตะคอกใส่เฟิร์สอย่างนั้นเหรอ
เสียงรถยนต์อีกคันดังขึ้นในบริเวณบ้าน ผมไม่มีหน้าออกไปพบใคร ผมรู้ว่าผมทำผิดต่อเพื่อน ผมพยายามควบคุมตัวเองแล้ว แต่เฟิร์สก็ยังเซ้าซี้ผม
ผมไม่อยากไป ผมอยากอยู่เฉยๆ อยากพัก ทำไมไม่มีใครเข้าใจ
ฟานอาบน้ำเสร็จแล้ว เขาเดินมายืนอยู่ตรงหน้า ผมเงยหน้าขึ้นมองเขา คนรักคนนี้ผมรักเขามากกว่าใคร แต่บางครั้งเขาเหมือนเป็นคนอื่นสำหรับผม ผมไม่ได้อยากรู้สึกแบบนี้ แต่ว่า...บางครั้งเขาก็ใจร้ายกับผมมาก
อย่างเช่นตอนนี้
“คืนนี้อยู่กับกายไม่ได้เหรอ”
“ถ้าไม่อยากอยู่คนเดียวกายก็ไปด้วยกันสิ ฟานเครียดกับการอ่านหนังสือมาเป็นอาทิตย์ ฟานอยากไปปลดปล่อย”
ผมก็เครียด แต่ผมไม่อยากไป
ผมเองก็อยากปลดปล่อยความอึดอัดที่คับแน่นอยู่เต็มอก แต่ผมทำไม่ได้ ผมสลัดมันไม่หลุดสักที
“ไปเถอะนะ ไปสนุกด้วยกัน” ฟานนั่งยองๆ ลงตรงหน้า เขาอ่อนโยน แต่เขาไม่เข้าใจผม
“อืม” เพียงเพราะให้เขาพอใจ เพียงเพื่อให้ทุกคนพอใจ ผมจำต้องฝืนตัวเองทั้งๆ ที่ไม่อยากทำ...อีกครั้งและอีกครั้ง
“เก่งมากคนเก่ง งั้นกายก็ไปอาบน้ำนะ ไอ้พวกนั้นน่าจะแวะซื้อกับข้าวเข้ามา จะได้กินรองท้องก่อนไปดื่มเหล้าแบบจัดเต็ม” ฟานยิ้ม เขาดีใจและมีความสุขที่จะได้ออกไปเที่ยว
ผมยิ้มแล้วลุกขึ้นเดินเข้าห้องน้ำ ผมยืนหันหลังให้เขา ก้มหน้ามองเท้าของตัวเอง ผมแทบไม่รู้สึกเลยว่าตัวเองก้าวมาถึงหน้าประตูได้ยังไง เสียงผิวปากอารมณ์ดีของฟานเคยเป็นสิ่งที่ผมชอบฟัง ถ้าเขาทำมันในขณะที่อยู่กับผมแสดงว่าเขาอารมณ์ดี แต่ครั้งนี้ผมไม่ได้รู้สึกชอบมันเหมือนทุกครั้ง
นานแค่ไหนแล้วที่ผมเป็นแบบนี้ ผมถามตัวเอง ทว่าไร้ซึ่งคำตอบ
หลายครั้งเหมือนผมจะจำได้ถึงจุดเริ่มต้นของมัน...เพียงแต่ทุกครั้งที่พยายามเพ่งมอง ผมกลับรู้สึกเจ็บปวดจนต้องรีบดึงตัวเองกลับมา
ผมเข้ามาอยู่ในห้องน้ำ เปิดน้ำให้ไหลผ่านตัวเอง ยืนนิ่งอยู่อย่างนั้น ไม่รับรู้ถึงสิ่งที่กำลังทำอยู่ ถึงแม้สายตาจะจ้องมองหยาดน้ำที่ไหลผ่านหน้า แต่ผมกลับไม่รู้สึกถึงการมีอยู่ของมัน
ผมแบมือทั้งสองข้างออกแล้วพยายามที่จะคว้าหยดน้ำเอาไว้ในมือ แต่สุดท้ายแล้วเมื่อแบมือออก ทุกอย่างก็คือความว่างเปล่า
และมันทำให้ผมรู้สึกว่า ทุกอย่างมันกำลังจะแย่ลงไปกว่านี้ ทั้งตัวผม ความสัมพันธ์ฉันท์คู่รักกับฟาน และคนอื่นๆ รอบตัว
ผมหลับตาลงก่อนจะตัดสินใจปิดน้ำ ลากเท้าเดินออกมาแต่งตัวเงียบๆ เพียงลำพัง หลังประตูห้องนอนบานนั้น เสียงหัวเราะดังเล็ดลอดมาให้ได้ยินตลอด
ผมยิ้มขื่นให้ตัวเองเพียงเสี้ยววินาทีก่อนจะเปิดประตูออกไปเผชิญหน้ากับคนรักและเพื่อน
“มาเร็วสกาย ไก่ทอดของโปรดมึงจะหมดแล้วนะ” ยุทธ เพื่อนของฟานที่กลายมาเป็นเพื่อนของผมด้วยหลังจากที่เราคบกันกวักมือเรียก
“อะไรกัน กินไม่รอกูเลย” ผมปั้นหน้ายิ้มแล้วรีบสาวเท้าเข้าไป
ผมควรทำมันให้ดีกว่านี้ ผมต้องมีความสุขร่วมกับทุกคน
“มึงก็แกล้งเมียกู ฟานเก็บไว้ให้แล้ว ไม่ให้ใครมาแย่งของโปรดของกายหรอกน่า” ฟานลากเก้าอี้ออกให้ผมนั่ง ผมยิ้มให้ฟาน ก่อนจะหันไปหาเฟิร์ส
“กูขอโทษนะที่หงุดหงิดใส่มึงเมื่อเย็นอ่ะ” ผมบอกกับมันอย่างรู้สึกผิด เฟิร์สเป็นเพื่อนที่ดี และผมไม่ควรทำแบบนั้นกับเพื่อนจริงๆ
ผมมันแย่เอง
คนผิดก็คือผม
“เฮ้ย ไม่เป็นไร กูไม่คิดมากหรอก กูรู้ว่ามึงเหนื่อย” มันยิ้มให้ผมแบบไม่คิดอะไรแล้วก็ก้มหน้ากินข้าวต่อ
“อืม” ผมตอบรับในลำคอ
“นี่ไก่ ฟานเก็บไว้ให้” ฟานตักน่องไก่ทอดของโปรดผมวางไว้ให้ในจาน
“ขอบคุณนะ”
“ฟานยกของฟานให้ด้วย” ฟานวางน่องไก่น่องที่สองใส่จานผม
“ไม่เอา ฟานกินเถอะ” ผมทำท่าจะตักคืน แต่ฟานดันมือผมกลับ
“ฟานอยากให้กายกิน ช่วงนี้กายซูบลงไปเยอะนะ กอดไม่นุ่มเลย” ฟานใช้เสียงเจ้าเล่ห์กระเซ้าเย้าแหย่ผม
“อะแฮ่ม จะคุยเรื่องติดเรท18บวกกันบนโต๊ะอาหารไม่ได้นะเว้ย” ว่าน เพื่อนอีกคนของฟานแซวขึ้นกลางปล้อง ทำให้เพื่อนๆ หัวเราะตอบกันด้วยความชอบใจ
“เลอะเทอะกันจริงๆ เลย” ผมบ่นไม่จริงจัง แล้วก็หันมาสนใจจานข้าวของตัวเอง
เป็นอีกครั้งที่ผมรู้สึกไม่หิว ทั้งๆ ที่วันนี้ทั้งวันผมกินอะไรน้อยมาก และใช้พลังงานไปกับการพยายามทำข้อสอบอย่างหนัก แม้ว่าสุดท้ายแล้ว ผมจะไม่ได้ทำข้อสอบเลยก็ตาม
แต่จะไม่กินก็ไม่ได้ เพราะฟานคอยตักกับข้าวให้ผมอยู่ตลอด ผมจึงจำต้องกินข้าวให้หมด จนรู้สึกอยากจะอ้วกออกมาจึงได้หยุด
สามทุ่มเราก็พากันออกจากบ้านเพื่อไปยังผับร้านประจำ ใกล้บ้านใกล้มหาวิทยาลัย ไปที่นั่นก็จะเจอแต่คนรู้จัก ทำให้การสังสรรค์เต็มไปด้วยความสนุกสนานมากยิ่งขึ้น
ผมว่าผมจำได้ว่าตัวเองชื่นชอบการมาสังสรรค์ในร้านเหล้าในผับบาร์มากแค่ไหน ผมเคยชอบพูดคุยกับผู้คน แต่ในวันนี้ ผมเริ่มที่จะไม่ชอบมันเสียแล้ว
เหล้าแก้วแรกยังอยู่ในมือผม ของเหลวสีอำพันพร่องไปเพียงนิดเดียว ผมยกขึ้นจิบอีกครั้ง หวังให้ตัวเองเมามาย เผื่อว่าผมจะรู้สึกสนุกร่วมไปกับทุกคนได้อย่างจริงจัง ไม่ใช่การแสร้งทำแบบในตอนนี้
“ความตลกคืออะไรรู้ป่ะมึง มันจะเดินไปให้อาหารหมา ทำตัวเป็นคนใจบุญ แต่สุดท้ายหมาวิ่งหนีมันเว้ย คิดดูว่าหน้ามันเป็นภัยต่อคนอื่นขนาดไหน”
“ไอ้เหี้ย มึงก็พูดเกินไป”
“หรือมึงมีอะไรจะเถียง”
“คอยดูนะ เจอมันคราวหน้ากูจะไล่กวดมันให้หางจุกตูดเลย”
“ฮ่าๆๆ ไอ้เหี้ย แกล้งได้แม้กระทั่งหมา”
“ฮ่าๆๆ”
สิ่งที่แย่ที่สุดก็คือการที่ทุกคนหัวเราะอย่างมีความสุข การที่ผมหัวเราะไปกับเขา แต่ข้างในของผมกำลังร้องไห้อย่างหนักอยู่ในความเงียบเพียงลำพัง ไม่มีใครรู้ ไม่มีใครสังเกตเห็น ผมไม่เข้าใจ ทำไมผมถึงหัวเราะทั้งๆ ที่ไม่มีความสุข ทำไมเรื่องสนุกที่เขากำลังเล่าผมถึงเข้าถึงมันไม่ได้
ท่ามกลางเพื่อนฝูงและคนรัก ผมเหมือนโดดเดี่ยวอยู่ตรงนี้ และค่อยๆ แตกสลายเพียงลำพัง
ไม่มีใครเห็น ไม่มีใครรับรู้ ไม่มีเลย
ผมลุกออกจากเก้าอี้เดินตรงไปที่ห้องน้ำอย่างเงียบเชียบ แม้แต่ฟานเองก็คงไม่ทันได้สังเกต ในห้องน้ำไม่มีคนสักคน ผมเดินเข้าไปในห้องริมสุด ล็อกประตูแล้วทิ้งตัวลงนั่งบนชักโครกอย่างหมดแรง
เบื่อ...ผมเบื่อไปหมด ทั้งเบื่อและทั้งเหนื่อย
เสียงเปิดประตูห้องน้ำมาพร้อมเสียงฝีเท้า ผมนั่งก้มหน้าฟังเสียงรอบตัว มันคงจะดีถ้าไม่มีใครอยู่ตรงนี้ แต่เพราะที่นี่เป็นที่สาธารณะผมจึงหลบเลี่ยงไม่ได้
“มึงเห็นหน้ามันป่ะ ทำเป็นหยิ่งนั่งเชิดหน้า คิดว่าสูงส่งมากมั้ง”
“เออ หน้าแม่งอย่างกวนตีน กูไม่เข้าใจว่าฟานไปคบมันได้ยังไง”
ชื่อของฟานหลุดมาจากปากคนที่อยู่ในห้องน้ำทำให้ผมเงยหน้าขึ้น สายตาจับจ้องไปที่บานประตู รอคอยฟังสิ่งที่พวกเขาพูดด้วยหัวใจที่บีบคั้น
“จริง กูโคตรเสียดายเลย”
“คนอย่างฟานหาได้ดีกว่านี้เปล่าวะ หน้าตาดีแล้วไง ไปทำศัลยกรรมมาละสิไม่ว่า แต่นิสัยโคตรแย่”
ผมเปล่าทำ...เข้าคลินิกทำหน้าสักครั้งผมก็ไม่เคย
“บ้านรวยไงมึง อยากทำไรก็ได้ เอาเข้าจริงกูว่าที่พวกๆ เพื่อนมันคบอ่ะ ก็เพราะบ้านมันมีเงิน ที่เขาบอกว่าแห่กันไปอยู่บ้านพักใกล้กับมหาลัย ค่าเช่าก็ไม่เสีย แถมมีรถใช้ฟรี กูว่าถ้าไม่มีเงินก็ไม่มีใครคบแหละวะ”
“แต่กูได้ข่าวเกี่ยวกับครอบครัวของไอ้สกายมานะเว้ย และก็หลุดมาจากปากของน้องชายไอ้สกายเองด้วย ว่ามันไม่ใช่พี่น้องกันจริงๆ”
...อย่า...
“หมายความว่ายังไงวะ”
…อย่าพูด...
“หมายความว่า...”
ปึง!!!
ประตูห้องน้ำถูกผมทุบจนเสียงดังก้องไปทั่วบริเวณ แผงประตูห้องน้ำสั่นไหวจนหวั่นว่ามันจะพังเสียหาย แต่ไม่เท่าใจผมตอนนี้ที่ถูกเขย่าอย่างบ้าคลั่ง
ผมกำมือที่ใช้ทุบประตูแน่น เสียงคนข้างนอกโวยวายหาตัวการที่ทำให้ฉากกั้นบานประตูสั่นไปทั้งแผง ผมสูดลมหายใจลึก แม้ว่าผมจะเจ็บปวด แต่ผมจะให้พวกที่เกลียดผมรู้ไม่ได้ว่าพวกมันมีอิทธิพลต่อความคิดและความรู้สึกของผม
ผมปลดล็อกประตูแล้วเปิดออกช้าๆ มองจ้องหน้าคนที่อยู่ในห้องน้ำเรียงตัว มีสองคนที่สะดุ้งเมื่อผมจ้องตา นั่นทำให้ผมรู้ว่าใครที่นินทาผมก่อนหน้านี้ ผมเดินเข้าไปใกล้ ปลายสายตามองและทิ้งคำพูดไว้ก่อนที่จะเดินออกมา
“พวกที่ไม่มีดี ก็ทำได้แต่เห่าหอนไปวันๆ”
“มึง!”
ความเข้มแข็งเป็นเพียงแค่เปลือกนอก ผมเดินกลับไปที่โต๊ะด้วยร่างกายที่สั่นเทา พร้อมกับความรู้สึกที่ค่อยๆ ปริแตกจนเห็นรอยร้าวใหญ่ขึ้นกว่าเดิม
ว่างเปล่า ทำไมถึงว่างเปล่าได้ขนาดนี้
“ตื่นแล้วเหรอกาย ไปอาบน้ำป่ะ จะได้ไปเรียนกัน”
ฟานอาบน้ำเรียบร้อยแล้วขยับขึ้นมานั่งบนเตียง ฝ่ามือที่เย็นเฉียบของเขา ทำให้ผมหนาวมากกว่าเดิม ผมมองใบหน้าที่หล่อเหลาของเขาแล้วยิ้มออกมา
ผมกลัว
กลัววันที่ไม่มีฟาน
ผมว่าผมอยู่คนเดียวไม่ได้ แม้ว่าตอนนี้ผมรู้สึกว่าผมอยู่ตัวคนเดียวก็ตาม ผมกลัวความคิดนี้ ทำไมต้องคิด ทำไมมันต้องแสดงตัวตนออกมาด้วยนะ
“ฟาน”
“หืม เด็กดี”
“กายไม่เด็กซะหน่อย อายุเท่ากัน”
“เด็กสิ เด็กขี้เซาด้วย” เขามองผมด้วยสายตาเอ็นดู
“อุ้มหน่อยสิ” ผมอ้อน
“มาสิ” แล้วเขาก็ทำตามที่ผมขอ อุ้มผมเข้าห้องน้ำ บีบยาสีฟันให้ และลงทุนอาบน้ำให้ผม แม้ว่ามันจะลงเอยด้วยเซ็กซ์ในยามเช้าก็ตาม
ผมยินดีให้เขากอดได้ทุกเมื่อถ้าฟานต้องการ เพราะตอนนี้สิ่งที่ผมต้องการก็คือความรู้สึกที่ว่าผมไม่ได้อยู่คนเดียว ผมไม่ว่างเปล่า และผมมีเขาอยู่เคียงข้างก็พอ
“ทำไมเพิ่งออกมากันวะ ฮั่นแน่ แอบทำอะไรกันตั้งแต่เช้าสินะพวกมึง” ยุทธที่เหมือนจะรู้ทันเอ่ยปากแซวตั้งแต่ที่ฟานเดินพ้นบันไดขั้นสุดท้าย
“เสือก” ฟานว่าเข้าให้
“แสดงว่าทำจริง ฮ่าๆๆ” และพวกเพื่อนคงสนุกกับการหยอกล้อผมกับฟานไปอีกสักพัก
“วันนี้มีอะไรกินวะ” ฟานถาม
“กูทำข้าวต้ม” เฟิร์สที่กำลังทำกับข้าวอยู่ในครัวพูดขึ้น
ในส่วนของพื้นที่ห้องครัวจะเป็นแบบเปิดตัวยู มีโต๊ะเตรียมอาหารตรงกลาง และกั้นด้วยเคาน์เตอร์บาร์อีกที ค่อนข้างสะดวกสบายกับการอยู่อาศัยของผู้ชายห้าคนที่กินอย่างกับแร้งลงในทุกมื้อ
“ยังไม่เสร็จเหรอ เดี๋ยวไปช่วย” ฟานถามกลับไป
ผมดึงชายเสื้อของฟานเอาไว้
“รออยู่นี่นะ อยากกินอะไรเป็นพิเศษไหม เดี๋ยวฟานทำให้”
“น้ำส้ม” ผมบอก ผมว่าความรู้สึกผมหม่นเกินไป น้ำส้มอาจจะช่วยให้ผมอารมณ์ดีขึ้น
“ได้เลยครับคุณชาย” ฟานขยี้หัวผม แล้วเดินไปช่วยเฟิร์สทำอาหารในครัว
แต่ภาพที่ผมหันไปเห็น ทำให้ความโมโหของผมที่มาจากไหนก็ไม่รู้พุ่งทะยานจนถึงขีดสุด รู้ตัวอีกทีร่างกายก็เดินเข้าไปกระชากคนทั้งสองคนออกจากกัน
“ทำอะไร!”
“เห้ย เป็นอะไรอ่ะกาย” ฟานถามขึ้นคล้ายตกใจ
ผมจ้องไปยังเฟิร์ส บอกผมทีว่าเมื่อกี้ผมไม่ได้ตาฝาด ตอนที่ฟานขยับหน้าเข้าไปใกล้หน้าของเฟิร์ส เพื่อนผมคนนี้ไม่ได้เขิน ไม่ได้แสดงแววตาของคนที่แอบรักออกมา
“มันไม่มีอะไรนะเว้ย มึงหึงเหรอวะ ฟานแค่ช่วยกูเฉยๆ” เฟิร์สพูด
“เป็นอะไรไปกาย” ฟานกระชากแขนผมให้ถอยห่างจากเฟิร์ส
“ไม่ได้เป็นอะไร แล้วทำไมฟานต้องอยู่ใกล้เฟิร์สขนาดนั้นด้วย” ผมพูดเหวี่ยงกลับด้วยความโมโห
“น้ำข้าวต้มมันกระเด็นเข้าตาเฟิร์ส ฟานก็เลยช่วยดูให้”
“แล้วต้องใกล้จนเกือบจะสิงกันด้วยเหรอ”
เพื่อนอีกสองคนเดินมาดูสถานการณ์ แววตาของฟานที่มองผมดูอ่อนอกอ่อนใจ ยิ่งทำให้จิตใจของผมสั่นจนต้องกำมือทั้งสองข้างแน่น
“อย่างี่เง่าได้ไหม” ฟานว่า
ผมก้มหน้าเม้มปากแน่น
“ไม่คิดว่ามึงจะขี้หึงนะเนี่ย กับเพื่อนกับฝูงก็ไม่เว้น ไปๆ ออกไปจากครัวกันให้หมดเลย ข้าวต้มเสร็จพอดี”
เฟิร์สทำเหมือนไม่คิดอะไร แต่ผมรู้ว่ามันคิด เฟิร์สแคร์เพื่อนมาก และผมที่เป็นเพื่อนมันทำไมมันจะไม่แคร์ นี่ผม...ทำอะไรลงไป
พอมีสติผมก็รู้สึกแย่ รีบเดินออกจากตรงนั้น เพื่อหลบเลี่ยงสายตาของยุทธและว่าน มากกว่านั้นคือสายตาของฟาน คำตำหนิยังดังก้องอยู่ในหู
‘อย่างี่เง่าได้ไหม’
ผมไม่เคยเป็นคนงี่เง่าและไม่ได้อยากเป็น แต่วันนี้ผมกลับแสดงกิริยาที่ฟานเรียกว่างี่เง่าออกมา ผมไม่รู้ว่ามันถูกหรือผิด แต่ผมไม่ชอบจริงๆ ผมหึง ผมหวงฟาน ผมกลัวเขาไปสนใจคนอื่นนอกจากผม
ผมไม่เคยคิดว่าตัวเองจะรู้สึกแบบนี้ แต่อยู่ๆ ก็รู้สึกว่าผมในตอนนี้ไม่คู่ควรกับเขาเลยจริงๆ มันเลยทำให้ผมกลัวว่าเขาจะมองเห็นความจริงข้อนี้ แล้วทิ้งผมไป
ผมหนีกลับเข้ามาในห้องนอน เข้าไปล้างหน้าในห้องน้ำ ให้น้ำเย็นๆ ไหลผ่านแล้วล้างความร้อนรุ่มออก จนรู้สึกดีขึ้นผมก็เดินออกจากห้องน้ำ ฟานนั่งอยู่บนเตียง เขามองมาทางผมอยู่ก่อนแล้ว
ผมไม่รู้จะพูดอะไรดี ได้แต่ยืนนิ่งมองหน้าเขาอย่างรู้สึกผิด
“กายเป็นอะไร ช่วงนี้มีเรื่องเครียดอะไรหรือเปล่า” ฟานถามอย่างเป็นห่วง
“เปล่า” ผมตอบ
“ไม่จริง กายดูเปลี่ยนไป ปกติกายไม่หงุดหงิดง่ายขนาดนี้ แล้วกายก็ไม่เคยแสดงอาการแบบนั้นใส่เพื่อน”
“แล้วทำไมฟานต้องอยู่ใกล้กับเฟิร์สขนาดนั้น”
“มันเป็นอุบัติเหตุ มันไม่มีอะไร ฟานแค่ช่วยเฟิร์สเฉยๆ อย่าบอกนะว่ากายหึงฟานกับเฟิร์สจริงๆ”
“...” ผมเงียบ ถามว่าหึงไหม ผมไม่เคยหึงเขากับเพื่อนของผม แต่ไม่รู้ทำไม อยู่ๆ มันก็หงุดหงิดที่เห็นภาพที่พวกเขาใกล้ชิดกัน
“ไม่เอาน่า กายเป็นแบบนี้ไม่เหมือนกายคนเดิมที่ฟานรู้จักเลย”
ไม่เหมือนเดิมงั้นเหรอ
“แล้วถ้ากายไม่มีวันกลับไปเป็นเหมือนเดิมล่ะฟาน ฟานจะยังรักกายไหม”
“งอแงนะเราน่ะ กายเป็นยังไงฟานก็รัก แต่จะรักที่สุดถ้ากายเป็นกายที่น่ารักของฟานเหมือนเดิม”
ถ้าอย่างนั้น เขาจะต้องค่อยๆ รักผมน้อยลงแน่ๆ ผมมั่นใจ
เพราะผมในตอนนี้ไม่ได้เปลี่ยนไป เขาแค่ไม่รู้จักผม ผมคนนี้ ที่จำไม่ได้แล้วว่ากายคนเดิมเป็นคนยังไง