ตอนที่ 5 รักไม่ต้องการเวลา

3544 Words
ตอนที่ 5 รักไม่ต้องการเวลา อมลรดายืนนิ่งอยู่ข้างรถพลางกวาดตามองไปโดยรอบอย่างตื่นตาตื่นใจ ภาพเบื้องหน้าคือสิ่งปลูกสร้างที่ออกแบบให้กลมกลืนอยู่กับธรรมชาติอย่างลงตัว บ้านพักแต่ละหลังฝังตัวอยู่บนเนินเล็กๆ ที่มีขนาดสูงต่ำลดหลั่นกันไป โดยรอบเรือนวารีถูกโอบล้อมเอาไว้ด้วยทิวเขาสูงตระหง่านที่กำลังเขียวขจีด้วยความชุ่มฉ่ำยามปลายฝน อยู่ในอ้อมกอดแห่งขุนเขาราวกับถูกตัดขาดจากโลกภายนอกอย่างแท้จริง เธอชอบทิวสนที่แทรกอยู่กับสิ่งปลูกสร้างอย่างกลมกลืน อีกทั้งดอกแก้วที่ปลูกเป็นแนวยาวไปตลอดริมทางเดิน ระหว่างลานจอดรถไปจนถึงส่วนต้อนรับกำลังส่งกลิ่นหอมอ่อนๆ ลอยมาตามลม บรรยากาศแสนดีเยี่ยมและการออกแบบโครงสร้างของรีสอร์ทที่ลงตัว สะกดแววตาคู่สวยให้เฝ้ามองอย่างหลงใหล จนลืมที่จะก้าวขาเดินตามอารชวินเข้าไปด้านใน มันคือความฝันเล็กๆ ของเธอมาตั้งแต่ตอนยังไม่จบการศึกษา กับการได้เป็นเจ้าของรีสอร์ทสักแห่งบนที่ดินสวยๆ บรรยากาศดีๆ แต่เพราะบิดาต้องการให้เธอจับงานโรงแรมที่เป็นกิจการของครอบครัว ความฝันจึงยังคงเป็นแค่ความฝัน เพราะเธอไม่มีทุนที่จะทำตามฝันเนื่องจากไม่ได้รับการสนับสนุนจากบิดา “อุ๊ย!” หญิงสาวตื่นจากภวังค์เมื่อสัมผัสได้ถึงอุ้งมืออุ่นๆ ที่รวบมือตนเอาไว้แล้วออกแรงกระตุกเบาๆ เพื่อให้เธอก้าวขาออกไปจากตรงนี้ อารชวินเดินย้อนกลับมาตอนไหนนั้นเธอไม่ทันสังเกต เพราะถูกเสน่ห์ของเรือนวารีครอบงำจิตใจเอาไว้ราวอยู่ในห้วงฝันไปชั่วขณะ “คุณปราย ไม่ต้องจูงมือก็ได้ค่ะ” “ก็คุณเล่นยืนเฉยไม่ยอมเดินตามผมเข้าไป ยิ่งความจำเสื่อมอยู่ด้วยหากหลงขึ้นมาจะทำยังไง” ชายหนุ่มยังคงไม่ปล่อยมือ ขณะพาอมลรดาเดินไปตามทางเล็กๆ เพื่อทะลุไปยังส่วนที่อยู่ด้านหลังสุดของรีสอร์ท ติดกับทะเลสาบอันเป็นที่มาของชื่อเรือนวารี “ก็ฉันมัวชื่นชมอยู่กับความสวยของรีสอร์ทคุณ...ที่นี่ที่ไหนเหรอคะ ฉันยังไม่รู้เลยด้วยซ้ำว่ามันคือส่วนไหนของประเทศกันแน่” “เพชรบูรณ์” “เพชรบูรณ์! คุณพาฉันมาจากกรุงเทพฯจนถึงเพชรบูรณ์ ให้ตายสิทำไมฉันถึงเมาจนไม่ได้สติสตังขนาดนั้น” หญิงสาวค่อนข้างตกใจ กับการที่เธอไม่รู้ตัวเลยสักนิดว่าเขาขับรถพามาไกลถึงเพชรบูรณ์ ไม่รู้ตัวจนกระทั่งเช้าวันใหม่มาทักทาย “ใช่ คุณเมาจนไม่ได้สติจนเกือบจะถูกวัยรุ่นที่ไหนก็ไม่รู้ลากไป แล้วคุณก็ยังอาเจียนออกมาเลอะรถผมอีกด้วย นี่คือสาเหตุที่ผมต้องเปลี่ยนเสื้อผ้าให้คุณ” การที่เขาพูดความจริงออกมา ทำให้คนฟังถึงกับหน้าเจื่อนด้วยความอับอาย ที่ทำอะไรไม่เข้าท่าออกมาจนเขาต้องพลอยเดือดร้อน “นี่ฉันทำตัวน่าเกลียดขนาดนั้นเลยเหรอคะ ฉันขอโทษหากทำให้คุณเดือดร้อน ขอโทษจริงๆ” “แล้วคุณผิดหวังอะไรมาถึงคิดจะใช้เหล้าย้อมใจ เป็นทางเลือกที่ไม่ฉลาดเลยสักนิด มันอันตรายมากๆ เลยรู้ไหมกับการเข้าไปนั่งดื่มคนเดียวกลางผับ ถ้าหากผมไม่ไปเจอป่านนี้คุณอาจจะถูกฆ่าหมกป่าที่ไหนสักแห่งแล้วก็เป็นได้” ถ้อยคำของเขาทำให้คนฟังคลี่ยิ้ม พร้อมกับบีบกระชับอุ้งมืออุ่นที่ยังคงกอบกุมมือเธอเอาไว้ไม่ยอมปล่อย คล้ายกับกลัวว่าเธอจะหลงทางขึ้นมาจริงๆ “ก็เพราะว่าฉันยังโชคดีนี่คะ ที่เจอคุณ” “โชคดีที่เจอผมงั้นเหรอ” “ใช่ เพราะฉันโชคดีมากๆ ที่เจอคนดีๆ อย่างคุณ ขอบคุณอีกครั้งนะคะคุณปรายที่ช่วยฉันเอาไว้ แล้วยังไม่ฉวยโอกาสกับฉันอีกด้วย” “อย่าเพิ่งตัดสินอะไรในตัวผม เพราะเรายังไม่รู้จักกันดีพอ” “ฉันเชื่อว่าลึกๆ แล้วคุณไม่ใช่คนเลวร้าย เซ้นส์ของฉันบอกแบบนั้น” อารชวินหันมาสบตาคนข้างกาย ที่เห็นว่าเธอเชื่อมั่นและศรัทธาในตัวเขาเสียมากมาย ที่จริงเขาออกจะแสลงหูกับคำว่าคนดีที่เธอพยายามยัดเยียดจะให้เขาเป็น เพราะเขาไม่ใช่คนดี “ปรายฟ้า คุณยังอ่อนต่อโลกเกินไป อันตรายเหลือเกินหากจะออกมาเผชิญโลกเพียงลำพัง ผมไม่รู้ว่าคุณมีปัญหาอะไรแต่ลองคิดดูให้ดี ไม่ว่าอย่างไรบ้านก็คือสถานที่ปลอดภัยที่สุดแล้ว” “ไม่ บ้านของฉันไม่ปลอดภัย..." หญิงสาวหยุดค้างเอาไว้พร้อมแววตาที่ฉายแววหวั่นวิตก ก่อนจะรีบเปลี่ยนเรื่อง "ไหนคะ คุณจะพาฉันไปดูอะไร ไปเถอะค่ะฉันอยากเดินเล่นในนี้จะแย่อยู่แล้ว” กลายเป็นอมลรดาที่ฉุดรั้งแขนของอารชวินให้รีบเดิน เพราะเธอกลัวว่าหากคุยกันมากกว่านี้เขาจะคาดคั้นความจริงไปจนได้ และพาไปส่งบ้านเพียงเพราะไม่อยากมานั่งรับผิดชอบผู้หญิงที่ไม่รู้แม้กระทั่งหัวนอนปลายเท้า “จริงๆ แล้วผมแค่พาคุณมาเปิดหูเปิดตา เผื่อจะคิดอะไรออกบ้าง” “ฉันคิดอะไรไม่ออกหรอก” “แต่คุณก็จำตัวเองได้แล้ว” “ใช่ ฉันจำได้แค่นั้น อย่างอื่นฉันจำไม่ได้” อารชวินเห็นว่าตะล่อมไปก็เปล่าประโยชน์ เขาจึงพาเธอเดินไปยังส่วนที่ปิดปรับปรุงชั่วคราว ด้วยกำลังอยู่ในระหว่างการให้ช่างติดตั้งเรือนไทย เพราะเขา ต้องการเปลี่ยนบ้านพักที่อยู่ริมทะเลสาบให้ออกมาในรูปแบบเรือนไทย ในส่วนของตัวเรือนเขาได้สั่งทำแบบน็อกดาวน์ และกำลังอยู่ในระหว่างหาคนช่วยตกแต่งเพิ่มเติม อมลรดาเดินตามอารชวินขึ้นไปบนเรือนไทยหลังที่ติดตั้งแล้วเสร็จ เธอสำรวจไปทั่วด้วยหลงใหลในเสน่ห์ของเรือนไทยเป็นทุนเดิม มันช่างเข้ากันได้ดีกับทะเลสาบที่มีฉากหลังเป็นเทือกเขาสูง มีหมอกจางๆ ลอยอ้อยอิ่งคลอเคลียที่สามารถพบได้ตลอดวันหากอากาศเป็นใจ เพียงได้รู้ว่าเขากำลังหาคนตกแต่งเพิ่มเติม สายเลือดนักออกแบบและความใฝ่ฝันส่วนตัวทำให้เธอกล้าเสนอกับเขาโดยไม่ลังเล “หากคุณต้องการคนออกแบบตกแต่ง ฉันช่วยคุณได้นะ” คนฟังถึงกับหัวเราะขบขัน จะให้เขาจ้างคนความจำเสื่อมทำงานที่ต้องใช้ฝีมือและสมองเนี่ยนะ ชายหนุ่มคิดพร้อมอังมือไปที่หน้าผากเนียนเพื่อให้แน่ใจว่าเธอปกติดี “ไหนคุณบอกว่าความจำเสื่อม คนความจำเสื่อมจะทำงานได้ยังไง หรือว่าคุณกำลังไม่สบายก็เลยเพ้อออกมา” "ไม่เห็นเกี่ยวกันสักนิด ฉันทำได้จริงๆ หากคุณไว้ใจที่จะให้ฉันลองดู" "เหรอออ..." หญิงสาวรีบหลบตา เมื่อเห็นอีกฝ่ายมองมาคล้ายจับผิด และเหมือนจะรู้ทันด้วยซ้ำว่าเธอกำลังโกหก “ฉันทำให้ฟรีๆ ก็ได้ ขอแค่คุณมีข้าวให้ฉันกินครบสามมื้อก็พอ ถือเสียว่าทดลองงาน” “หากผมจะจ้างใครสักคนมาทำงาน ผมก็ต้องรู้ประวัติคนนั้นเสียก่อน ถ้าเกิดคุณเป็นคู่แข่งที่เข้ามาล้วงความลับผมจะทำยังไง” “โธ่ คุณก็คิดไปได้นะคะ” “คุณก็บอกผมมาก่อนสิว่าทำไมถึงไม่อยากกลับบ้าน หากเหตุผลเพียงพอผมจะยอมให้คุณอยู่ที่นี่” เมื่อไม่มีทางเลือกหญิงสาวจึงยอมสารภาพออกมา คิดว่าเขาคงไม่ใจร้ายไล่เธอกลับไป เธอเชื่อเช่นนั้น “ฉันถูกบังคับให้แต่งงานกับคนที่ไม่ได้รัก คุณคงเข้าใจนะคะว่าชีวิตทั้งชีวิตจะให้แต่งง่ายๆ ได้อย่างไร เหตุผลพอฟังขึ้นมั้ยคะ กับการที่ฉันไม่อยากกลับไปเจอหน้าใคร” "คุณก็เลยหนีออกมา" “ฉันเครียด ไม่รู้จะหาทางออกอย่างไรก็เลยไปที่นั่น ในเมื่อคุณพาฉันมาถึงที่นี่ก็เลยคิดว่าดีเหมือนกันกับการทำตัวเงียบหายไปสักพัก ฉันขอร้องล่ะคุณปราย ช่วยฉันสักครั้ง อย่านำเรื่องนี้ไปบอกใครแม้กระทั่งตำรวจ ฉันเชื่อว่าป่านนี้ที่บ้านคงแจ้งความแล้วแน่นอน" อารชวินนิ่งเงียบเมื่อยามแววตายาวรีจับจ้องมา มันมีทั้งความหวั่นวิตกและเว้าวอนเจืออยู่ จนเขาเองถึงกับลอบถอนหายใจออกมาเบาๆ “สมัยนี้ยังมีด้วยเหรอ การจับคลุมถุงชนแบบนี้” “ถ้ายังมีผลประโยชน์เข้ามาเกี่ยว มันก็ยังคงมีค่ะ” “ก็…พูดยากนะ กับเรื่องแบบนี้” “ฉันไม่ชอบถูกผูกมัดด้วยการแต่งงาน มันคือความไม่เท่าเทียมอย่างแท้จริง ผู้หญิงที่แต่งงานแล้วมักถูกขังอิสรภาพเอาไว้ด้วยทะเบียนสมรส ในขณะที่ผู้ชายแต่งงานแล้วจะไปมีใครอีกกี่คนก็ได้ ฉันไม่เข้าใจความคิดผู้ชายบางคน หากไม่พร้อมจะรักใครจริงจัง แล้วจะแต่งงานเพื่ออะไร” คำพูดของเธอทำให้ใจคนฟังประหวัดนึกถึงอดีต มันไม่แน่เสมอไปที่ว่าฝ่ายหญิงจะมั่นคง เวลาเปลี่ยนใจคนก็เปลี่ยน เพียงแค่คิดแววตาก็ฉายแววเกลียดชังขึ้นมา แต่คนตรงหน้าไม่ทันสังเกตเห็น "ป่านนี้ว่าที่เจ้าบ่าวของคุณคงจะนั่งไม่ติด ตามหากันให้วุ่น" "ช่างเขาปะไร ตกลงคุณให้ฉันอยู่ที่นี่ใช่มั้ยคะ ขอบคุณนะคะที่ช่วยเหลือ” “นี่…ผมบอกตอนไหนครับ” “คุณคงไม่ส่งฉันกลับไปเผชิญกับความเลวร้ายใช่มั้ยคะ” อารชวินลอบถอนใจอีกครั้ง เขาไม่ชอบแววตาเว้าวอนนั่นเลยสักนิด เพราะเขาไม่อยากเข้าไปพัวพันกับเกมนี้ หากเกิดอะไรขึ้นเขาเองจะต้องเดือดร้อนเพราะช่วยเหลือเธอ แต่ความสงสารมีมากกว่าเหตุผล ชายหนุ่มไม่เข้าใจตัวเองเหมือนกันว่าเหตุใดจึงคิดเช่นนั้น “เฮ้อ…ทำไมผมต้องยอมคุณด้วยนะ” “ขอบคุณนะคะ ฉันรับปากว่าจะไม่ทำให้คุณเดือดร้อน แล้วฉันจะทำงานตอบแทนไม่อยู่ที่นี่ฟรีๆ แน่นอน” “ผมก็อยากรู้เหมือนกัน ว่าคุณจะทำได้อย่างที่บอกไว้จริงไหม เอาเป็นว่าผมยกโซนนี้ให้กับคุณก็แล้วกัน ไม่แน่นะหากถูกใจผมอาจจะจ้างคุณทำงานชิ้นอื่นต่อก็ได้” “ขอบคุณนะคะ ที่ให้โอกาส” เสียงโทรศัพท์ที่ดังแทรกขึ้นมาพอดี ทำให้การสนทนาสะดุดลงชั่วคราว อมลรดาเห็นอีกฝ่ายมีสีหน้าเคร่งเครียดขึ้นมาทันทีหลังจากที่วางสายแล้ว “มีอะไรหรือเปล่าคะ” “มีคนมารอพบผม” “คุณไปต้อนรับแขกก่อนก็ได้ค่ะ ฉันจะเดินกินลมชมวิวรออยู่แถวนี้” “จะไปหาอะไรดื่มก่อนมั้ย” “ไม่เป็นไรค่ะ ฉันไม่หิว” “ถ้าอย่างนั้นผมขอตัวสักครู่นะ เดี๋ยวมา” “ได้ค่ะ” “แล้วอย่าเล่นซนเดินไปไหนไกลนะ ยิ่งความจำเสื่อมอยู่ด้วย ผมขี้เกียจตามหาน่ะรู้มั้ยครับ” ถ้อยคำกระเซ้าเย้าแหย่ที่เขาสรรหามานั้น ทำให้หญิงสาวถึงกับหัวเราะออกมา “ฉันจะไม่เล่นซน ไม่เดินไปไหนแน่นอน” อมลรดามองตามแผ่นหลังกว้างที่เดินย้อนกลับไปทางเดิม ก่อนจะหันมาสนใจกับสิ่งที่อยู่ตรงหน้า การที่ได้วาดแบบไว้ในหัวคร่าวๆ ว่าจะให้ออกมาในรูปแบบไหนนั้น คือความสุขเล็กๆ ของการได้ทำในสิ่งที่รัก และเธอจะต้องทำออกมาให้ดีที่สุด ให้สมกับที่เขาไว้ใจกัน “ผมไม่คิดว่าคุณจะมาเหยียบที่นี่อีก” น้ำเสียงไม่เป็นมิตรที่ดังแทรกขึ้นจากทางด้านหลัง ทำให้แพรวพิลาสชะงักมือที่กำลังยกแก้วกาแฟขึ้นมาจิบ หล่อนรีบวางมันไว้กับโต๊ะตามเดิมแล้วหันไปมอง “ปราย…” “คุณมาทำไม” คำถามมาพร้อมกับการเมินหน้าหนี ไม่ยอมที่จะเดินมานั่งร่วมโต๊ะ เพราะเขาคิดว่าคงคุยไม่นาน ที่จริงเขาจะไม่ยอมมาพบด้วยซ้ำ แต่เพราะรู้ดีว่าหากไม่มาอีกฝ่ายก็จะนั่งรออยู่ที่เดิม ไม่ยอมกลับไปจนกว่าเขาจะยอมมาพบหน้า ได้พูดคุยกันก่อนคนตรงหน้าถึงจะยอมกลับไป “แค่อยากมาเยี่ยม มาถามข่าวคราวว่าสบายดีหรือเปล่า” “ตอนนี้คุณคงรู้แล้วว่าผมสบายดี ถ้าอย่างนั้นก็กลับไปเสียเถอะ ผมไม่ว่างมานั่งคุยอะไรกับใครในตอนนี้ มีงานต้องทำอีกเยอะ” น้ำเสียงที่ไร้ซึ่งเยื่อใยสายสัมพันธ์ ดั่งคมมีดกรีดลงกลางใจคนฟังจนเจ็บแปลบ มันไม่มีอะไรที่จะเจ็บปวดมากไปกว่านี้อีกแล้ว การที่ถูกชายหนุ่มตรงหน้า มีท่าทีหมางเมินเย็นชา “ปราย…เมื่อไหร่…เมื่อไหร่จะเข้าใจ...เมื่อไหร่จะหายขุ่นเคือง รู้มั้ยว่าเจ็บแค่ไหนกับการที่ถูกทำเย็นชาใส่แบบนี้” “กลับไปหาครอบครัวของคุณเถอะ อย่ามายุ่งวุ่นวายกันอีก ที่นี่ไม่ใช่ที่ของคุณ” ชายหนุ่มหันหลังกลับทำท่าจะเดินหนี ขณะในใจปวดแปลบไปพร้อมกัน มันคือความรู้สึกสองอย่างที่ตีกันจนยุ่งเหยิง ความโหยหาและเกลียดชัง เมื่อมาคู่กันมันจึงแปรเป็นความเจ็บปวดกินลึก สั่งสมมานานวัน “จะต้องให้ตายจากกันก่อนใช่ไหม กว่าจะให้อภัยกัน” “ทำไมผมต้องให้อภัยในเมื่อไม่มีใครทำอะไรผิด แต่สถานะระหว่างผมกับคุณคือไร้ซึ่งผูกพัน เมื่อไม่ผูกพันทำไมจะต้องมานั่งทำดีกับคนที่ไม่รู้จัก เราสองคนไม่เคยรู้จักกัน แล้วก็เลิกมาหาผมที่นี่เสียที จะต้องให้บอกกี่ครั้งว่ามันเปล่าประโยชน์ เวลามีแต่เดินหน้า อดีตที่ผ่านมามันย้อนกลับไปแก้ไขอะไรไม่ได้แล้ว” “แม้จะแก้ไขไม่ได้ แต่ก็เลือกทำปัจจุบันให้ดีได้ไม่ใช่หรือ” “ถ้าหากจะมาพูดเรื่องเดิมๆ ผมขอตัว” พูดแล้วก็ชิงเดินหนี ปล่อยให้อีกฝ่ายนั่งนิ่งอยู่เพียงลำพัง พร้อมกับหยาดน้ำตาที่เอ่อท้นออกมาด้วยใจที่ร้าวราน จะต้องเป็นแบบนี้ไปอีกกี่ครั้ง กับความเจ็บปวดซ้ำๆ เดิมๆ แพรวพิลาสนั่งจมอยู่กับความคิดของตนเนิ่นนาน และเมื่อเห็นว่าวันนี้ไร้ซึ่งประโยชน์ที่จะอยู่ต่อ หล่อนจึงพาร่างคล้ายคนไร้ความรู้สึกเดินกลับไปที่รถ พร้อมๆ กับที่สายตาคู่หนึ่งเฝ้ามองการเคลื่อนไหวของหล่อนอยู่เช่นเดียวกัน อารชวินขบกรามแน่น ขณะมองตามรถยนต์ที่แล่นจากไปอย่างช้าๆ มันคือความเจ็บปวดที่ไม่อาจบอกใครได้ ความรู้สึกที่ถอยไม่ได้ก้าวก็ไม่ไปทำให้นึกเกลียดตัวเองยิ่งนัก ความเครียดถาโถมจนต้องระบายอารมณ์อันอัดอั้นกับผนังปูนหยาบจากการออกแบบ กำปั้นหนักๆ ชกต่อยไปที่ผนังอย่างไร้ซึ่งความเจ็บปวด จนเกิดรอยแผลและเลือดสดๆ ที่ไหลซึมออกมา “ว๊าย! คุณปราย” พนักงานรีบปราดเข้ามาห้ามเป็นพัลวัน เมื่อเห็นเจ้านายหนุ่มกำลังทำร้ายตัวเอง เสียงเอะอะของพนักงานทำให้อมลรดารีบผลุนไปตามเสียงนั้น จากการที่เดินผ่านมาเพื่อหาห้องน้ำแล้วได้ยินเข้าพอดี “คุณปราย!” สีหน้าของอมลรดาฉายแววตกใจขึ้นมาทันที เมื่อเห็นแววตาและท่าทีของชายหนุ่มตรงหน้า เธอเห็นเขาสบตากลับมาแวบหนึ่ง ก่อนจะแทรกกายผ่านพนักงานที่กำลังรุมล้อมเดินเลี่ยงหนีไปทันที “คุณปราย เกิดอะไรขึ้นคะ!” “ไม่มีอะไร” อมลรดามองไปตรงรอยแผลที่ยังสดใหม่ เห็นเลือดที่ไหลซึมออกมาแล้วจึงคิดว่าควรจะทำอะไรสักอย่าง มากกว่าการมาคาดคั้นว่าเขาทำลงไปทำไม หญิงสาวถามหาอุปกรณ์ทำแผลกับพนักงาน หนึ่งในนั้นจึงวิ่งไปคว้าในร้านค้าของรีสอร์ทเพื่อแก้ขัดไปก่อน เมื่อได้แล้วเธอจึงรีบเดินตามอารชวินไปที่เรือนไทย เพราะเห็นว่าเขามุ่งหน้าไปทางนั้น อมลรดาเดินตามไปหยุดยืนอยู่ข้างหลัง เห็นอีกฝ่ายนั่งอยู่บนเก้าอี้ไม้สักตัวยาวที่ตั้งอยู่ตรงส่วนกลางเรือนไทย หันหน้าออกไปทางทะเลสาบกว้างใหญ่ โดยไม่สนใจความเป็นไปรอบกาย เธอเดินไปหย่อนกายนั่งลงเคียงข้าง ค่อยๆ ยื่นมือไปกอบกุมมือข้างที่บาดเจ็บของเขามาวางไว้บนหน้าตักของตน “ทำไมคุณถึงทำร้ายตัวเองแบบนี้ ฟ้าจะทำแผลให้คุณนะคะ” ชายหนุ่มไม่พูดอะไร ได้แต่ปรายตามองการกระทำของคนข้างกาย เขาสะดุ้งเล็กน้อยเมื่อยามมือเล็กแตะสำลีที่ชุบยาลงบนบาดแผล เห็นเธอเหลือบตามองคล้ายขอโทษที่ทำให้เขาเจ็บตัว ทำไมจะต้องมาเป็นห่วงมากมาย ทำไมจะต้องมานั่งดูแล คำถามเหล่านี้เริ่มก่อเกิดขึ้นในใจอันแสนด้านชา ความอ่อนโยนของเธอกำลังเปลี่ยนแววตาที่แข็งกร้าวเมื่อสักครู่ ให้แปรเปลี่ยนมาเป็นอารชวินคนเดิม คนที่ทำให้อมลรดาก่อเกิดความศรัทธาว่าเขาคือคนดี เขามองมือเล็กที่กำลังบรรจงใช้ผ้าพันไปรอบๆ เพื่อปิดบาดแผล สลับกับเหลือบมองแพขนตายาวๆ เมื่อยามหลุบต่ำ เพราะเจ้าตัวกำลังใจจดจ่ออยู่กับ การทำแผลให้เขา เธอเลยไม่ทันสังเกตว่ากำลังถูกจับจ้องจากสายตาคู่คม และไม่ทันสังเกตว่ารอยยิ้มเล็กๆ นั้นถูกส่งมาให้อันมาจากความรู้สึกดีที่เกิดขึ้นภายในใจ “เสร็จแล้วค่ะ” หญิงสาวเงยหน้าขึ้นไปมอง แต่แล้วต้องรีบหลุบตาลงตามเดิม เมื่อพบกับรอยยิ้มและสายตาที่จับจ้องรออยู่ก่อนแล้ว สายตาของเขากำลังทำให้เธอมือไม้เงอะงะจนต้องรีบย้ายมือของเขาออกจากหน้าตักของตน ทำทีเป็นเก็บอุปกรณ์ทำแผลใส่กล่องเพื่อกลบเกลื่อนความประหม่า ที่เขาเอาแต่จับจ้องกันแต่ไม่พูดอะไร “ขอบคุณนะ…ที่…เอ่อ…ที่ดูแลกัน” เขาบอกว่าที่ทำอยู่คือการดูแล เพียงแค่นั้นหัวใจก็รู้สึกแปลกๆ ขึ้นมาโดยพลัน หญิงสาวนึกตำหนิตัวเองที่เกิดความรู้สึกไม่ซื่อกับคนที่เพิ่งรู้จักกัน เธอจะต้องไม่หลงไปกับเสน่ห์ของเขา อมลรดาเฝ้าเตือนตัวเอง “ฉันแค่ทำในสิ่งที่ควรจะทำเท่านั้นเองค่ะ” “ผมชอบให้คุณแทนตัวเองด้วยชื่อ ต่อไปแทนตัวเองแบบนั้นได้ไหม จะได้ไม่ดูห่างเหินกันเกินไป” คนฟังเสมองไปยังทะเลสาบเบื้องหน้า ยิ้มเขินออกมาเมื่อถ้อยคำของเขานั้นชวนให้ใจหวั่นไหว เหตุผลของเขาเพราะไม่อยากให้ดูห่างเหิน ทำไมเขาต้องคิดแบบนี้กับเธอซึ่งเป็นคนแปลกหน้า หญิงสาวเฝ้าถามตัวเองในใจ ขณะในใจก็อดที่จะสงสัยไม่ได้ ว่าใครกันที่ทำให้เขาโกรธจนทำร้ายตัวเองเช่นนี้ แต่ก็ไม่กล้าที่จะเอ่ยถามออกมา คิดว่าหากเขาอยากบอกก็คงเล่าออกมาเอง และเธอก็ไม่ใช่คนรักของเขาที่จะต้องรับรู้ในทุกความเป็นไป ทั้งสองนั่งคุยกันไปเรื่อยๆ จนกระทั่งดวงตะวันสีส้มอมแดงเริ่มตกสะท้อนลงบนผิวน้ำ ใกล้จะลับลงในซอกหลืบขุนเขาเข้าไปทุกที อมลรดารู้สึกว่าวันนี้เป็นการออกมานอกบ้านที่แสนจะคุ้มค่า เพราะเธอได้เห็นความสวยงามของธรรมชาติในเมืองห่างไกล โดยเฉพาะท้องทะเลสาบที่สวยงามต่างช่วงเวลา ให้ภาพที่แตกต่างกันออกไป กว่าที่ทั้งสองจะกลับมาถึงบ้านก็กินเวลาไปจนมืดค่ำ ด้วยอารชวินชวน อมลรดาทานมื้อเย็นที่รีสอร์ท เมื่อมาถึงแทนที่เขาจะเดินแยกไปที่ห้องของตน กลับเดินตามอีกฝ่ายไปจนถึงหน้าห้อง เพียงเห็นว่าเธอกำลังจะผลักบานประตูเข้าไป ชายหนุ่มก็รั้งเอาไว้ด้วยการคว้าหมับเข้าที่ข้อมือเล็ก ท่ามกลางความตกใจของเจ้าตัว “คุณปราย!” แววตาคู่สวยออกแนวหวาดหวั่นเมื่อร่างของตนถูกดันไปจนชิดผนัง เขาเบียดกายแนบชิดแล้วกักเอาไว้ด้วยท่อนแขนแข็งแรงที่ยันไว้กับผนัง อมลรดาใจเต้นโครมครามเมื่อสัมผัสได้ถึงลมหายใจรุ่มร้อนที่ลอยวนอยู่เหนือใบหน้า มันมาพร้อมกับฝ่ามือร้อนที่ทาบลงบนพวงแก้มที่กำลังเห่อแดง ก่อนที่ปลายนิ้วแกร่งจะจับปลายคางของเธอให้เงยหน้าขึ้นไปสบตา…
Free reading for new users
Scan code to download app
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    Writer
  • chap_listContents
  • likeADD