จุดจบ(ทางใครทางมัน)

1456 Words
ตามนัด สองทุ่มที่เดิมตามเวลานัด ทั้งคู่นัดกันที่โรงแรมใจกลางเมืองแห่งหนึ่ง รมิตาเดินเข้ามานั่งรอที่ล็อบบี้เหมือนในทุกครั้ง สองทุ่มตรงร่างสูงโปร่งใส่ชุดสูทสีดำเนี๊ยบเรียบกริบไปทั้งตัวก็เดินเข้ามาวันนี้เขาแต่งตัวเป็นทางการกว่าทุกครั้งที่ได้เจอกัน ใบหน้าคมหล่อเหลาหันมองเธอเพียงครู่เดียวก็เดินตรงไปที่ลิฟต์ เพื่อไปยังสถานที่ที่นัดเจอกัน มันไม่ใช่ที่ห้องสี่ศูนย์เก้าเหมือนทุกครั้งแต่เป็นร้านอาหารบนดาดฟ้าของโรงแรม รมิตาลุกขึ้นเดินตามเขาไปทำเหมือนไม่รู้จักกัน เป็นอย่างนี้มาตั้งแต่ต้นตามที่ทั้งคู่ได้ตกลงกัน เธอไม่ได้อยู่ในสถานะแฟนหรือสถานะคนรู้จักก็แค่คนที่แอบแซ่บแอบมีสัมพันธ์ ต่างฝ่ายต่างก็พอใจกับสถานะ เมื่อเข้ามาในลิฟต์แล้วทั้งคู่ก็ทักทายกันปกติ "วันนี้คุณดูแต่งตัวเป็นทางการ" รมิตาเริ่มบทสนทนาขณะที่ลิฟต์กำลังเลื่อนขึ้นชั้นดาดฟ้า ใจเธอสั่นรัวเพราะตื่นเต้นมาก "ผมพึ่งเสร็จธุระ ก็รีบขับรถมา" "อ้อค่ะ ช่วงนี้คุณคงยุ่งมาก" ขนาดเขาเป็นคนเลื่อนนัดเองเขายังดูยุ่งๆ "ก็นิดหน่อย" เขาพูดขึ้นเหมือนไม่มีอะไรแต่สีหน้าแววตานั้นกลับดูเหนื่อยๆ ร้านอาหารชั้นดาดฟ้า "คุณจะทานอะไรก่อนไหมหรือจะคุยก่อน" เขาเองก็มีเรื่องร้อนใจที่อยากจะตกลงคุยกับเธอเช่นกัน " ขอเป็นน้ำส้มก่อนก็แล้วกันค่ะ ยังไม่หิว" "ได้" ปรานต์ ปรเมศวร์ สั่งน้ำส้มกับไวน์มาเสิร์ฟที่โต๊ะ... "เข้าเรื่องเลยไหม ผมให้คุณพูดก่อน" รมิตารู้สึกเกร็งคอแห้งขึ้นมาในทันทีความมั่นใจที่มีมาหายวับในทันทีเมื่อได้สบตากับเขา ประกายในดวงตาเขาตรึงให้เธอหยุดนิ่งได้เสมอถึงแม้จะมีความมั่นใจมากแค่ไหนก็มักจะแพ้ให้กับเขา รมิตากะพริบตาถี่รัวเป็นการเรียกสติ "ฉันให้คุณพูดก่อนดีกว่าค่ะ" เธอหยิบน้ำส้มคั้นขึ้นมาจิบพลางๆ พยายามทำตัวสบายๆ ทั้งที่เหงื่อเริ่มออกมือ จะบอกว่าความจริงกับความคิดนั้นมันต่างกันมันไม่ง่ายเหมือนที่เธอคิด "ได้ งั้นผมเข้าเรื่องเลยนะ ผมคิดว่าเราควรจบความสัมพันธ์ลับๆ ผมขอโทษกับสิ่งที่ผ่านมาผมรู้ว่าผมเห็นแก่ตัว แต่เราสองคนต่างก็พอใจกันทั้งสองฝ่าย" เมื่อพูดจบใบหน้าของเขาก็ดูผ่อนคลายขึ้น เหมือนได้พูดเรื่องที่ค้างคาใจมานาน ความจริงเขาควรจะจบเรื่องนี้ตั้งนานแล้ว ไม่ช้าก็เร้วมันก็ต้องจบลงเขารู้ดี แต่ผู้หญิงที่นั่งอยู่ตรงหน้าเขานั้น เธอไม่เหมือนกับผู้หญิงทั่วไปที่เขาเคยมีสัมพันธ์ลับ ถึงเธอจะดูเข้มแข็งมีความมั่นใจในตัวเอง แต่ลึกๆ แล้วเขาคิดว่าเธอไม่ใช่ และคิดว่าคงจะจบยากคงต้องจ่ายให้เธอมากหน่อยถึงที่ผ่านมาเธอจะไม่ต้องการอะไรแต่ตอนนี้เขากเริ่มไม่แน่ใจ "ค่ะ ฉันตกลง ฉันรู้อยู่แล้วว่าต้องมีวันนี้ คุณไม่ต้องขอโทษหรอกค่ะ ฉันไม่ได้สนใจเรื่องนี้เลย เมื่อถึงเวลาก็จบแยกย้าย มันก็แค่นั้น" รมิตายิ้มให้เขาอย่างเป็นมิตรเป็นยิ้มที่ไม่รู้สึกอะไร ซึ่งเธอก็คิดว่าเธอรู้สึกอย่างนั้นจริงๆ และเธอก็พยายามทำแบบนั้นมาตลอดทำเหมือนไม่รู้สึกอะไร ผู้ชายมันก็เหมือนกันทุกคน และเธอก็พอรู้อยู่แล้วว่าเขาคงอยากจะคุยกับเธอเรื่องนี้ ก็เลยไม่ได้แปลกใจอะไร " ผมขอบคุณที่คุณเข้าใจ แล้วเรื่องที่คุณอยากจะคุยกับผมล่ะ" ปรเมศวร์ยิ้มให้เธออย่างรู้สึกโล่งอก เขาคิดว่างานนี้จะยากแต่มันไม่ใช่ ก็ดี เขาก็สบายใจ "ฉัน" รมิตาเงียบไปสักพักเธอกำลังชั่งใจว่าจะบอกเขาดีไหมไม่บอกน่าจะดีที่สุด แต่เธอก็ไม่สามารถค้านกับสิ่งที่อยู่ในใจได้อย่ากลัวที่จะพูดความจริง จะรับหรือไม่รับก็ช่างเขา " ฉัน ฉันท้องค่ะ" " ฮะ! ท้องหรอ เป็นไปไม่ได้ที่ผ่านมาผมมั่นใจว่าผมป้องกันดีมาตลอด คุณแน่ใจแล้วใช่ไหม" ปรเมศวร์ใบหน้าถอดสีในทันทีที่ได้ฟัง มันจะเป็นไปได้ยังไง ในเมื่อเขาป้องกันตลอด เขามั่นใจว่าเขาไม่มีทางพลาด "ฉันแน่ใจค่ะ ฉันแค่อยากจะมาบอกคุณเท่านี้แหละค่ะ คุณจะเชื่อหรือไม่เชื่อก็เรื่องของคุณ" เธอคิดว่าเธอได้ทำสิ่งที่ถูกต้องแล้วคือพูดความจริงไม่โกหก อย่างน้อยๆ เธอก็ได้บอกเขาแล้ว " แต่ทุกครั้งผมป้องกัน" เขายังคงสับสนมึนงง ในใจยังคิดว่าไม่มีทางเป็นไปได้ "ที่ผ่านมาคุณนอนกับผมแค่คนเดียวใช่ไหม" คำถามนี้ทำให้รมิตาเจ็บจี๊ดด ปี๊ดดขึ้นหน้าใบหน้าหวานแดงก่ำด้วยความโกรธ " ถึงฉันจะดูเป็นผู้หญิงใจง่ายแต่ฉันก็ไม่ได้นอนกับผู้ชายหลายคนอย่างที่คุณคิด และไม่ต้องกลัวว่าฉันจะทำให้คุณเดือดร้อนเพราะฉันแค่มาบอกไม่ได้มาให้คุณรอบผิดชอบ" เธอแทบอยากจะลุกขึ้นไปข่วนหน้าหล่อๆ ของเขาให้เลือดซิบ ผู้ชายมันก็เหมือนกันหมดจริงๆ "ผมก็แค่ถามเพราะสงสัย" ปรเมศวร์มีสีหน้าเคร่งเครียดอย่างเห็นได้ชัด ตั้งแต่รู้จักเธอเขาก็คิดว่าเธอนอนกับเขาแค่คนเดียวจากประสบการณ์ที่มีอะไรกันมาหลายครั้ง แต่จะให้เขาปักใจเชื่อว่าเด็กในท้องเป็นลูกของเขาคงไม่ได้ เขามั่นใจว่าไม่ใช่ "งั้นก็จบแยกทางกันเท่านี้ค่ะ" รมิตาลุกขึ้นด้วยความโกรธเธอรู้อยู่แล้วว่าเขาจะเป็นผู้ชายแบบไหนแต่เมื่อมาเจอจริงๆ เธอกลับรู้สึกโกรธและอยากจะตะบันหน้าเขา...สิ่งที่เขาทำกับเธอที่ผ่านมามันก็ชัดเจนอยู่แล้วว่าเขาเป็นคนยังไง "เดียว คุยกันให้รู้เรื่องก่อน" น้ำเสียงเขาเริ่มอ่อนลงเพราะลังเล หากเป็นลูกเขาจริงๆ มันก็ไม่ใช่เรื่องเล็กๆ หรือเธออาจจะกำลังหลอกเขาว่าท้องเพื่อหวังที่จะเรียกเงิน ถ้าอยากได้เงินก็ควรจะพูดกับเขาตรงๆ เขาเริ่มคิดว่าเธอไม่ได้ท้องจริง ถึงท้องก็คงไม่ใช่กับเขาเพราะเขาป้องกันอย่างดี มันไม่ได้พลาดกันง่ายๆ " จบแล้วค่ะไม่มีอะไรต้องคุย ปล่อย" เธอสะบัดแขนออกจากมือของเขา แต่เขาไม่ยอมปล่อย "นั่งลงก่อน" ร่างบางยอมนั่งลงเพราะอยากให้เรื่องมันจบๆ ยังดีที่ตอนนี้มีโต๊ะเธอเพียงโต๊ะเดียว "แล้วคุณจะทำยังไงต่อไป จะเก็บเด็กไว้ไหม" แววตาของเขาคล้ายแฝงอารมณ์ความรู้สึกชนิดหนึ่งที่อ่านยาก... ปี๊ด! รมิตาอยากจะทุบหน้าหล่อๆ ของเขาจริงๆ พูดเหมือนเธอเป็นผู้หญิงใจร้าย จะเอาเด็กออกถึงเธอจะดูใจง่ายแต่เธอไม่มีทางทำร้ายเด็ก ไอ้ผู้ชายเฮงซวย "คุณพูดอย่างนี้หมายความว่าไง เด็กคนนี้เป็นลูกของฉัน ฉันมีปัญญาเลี้ยงดู" เธอกำหมัดไว้แน่น โกรธจนหน้าแดงตัวสั่น "ผมอยากให้คุณเอาเด็กออก" ปลั๊ก! หมัดเล็กๆ เหวี่ยงใส่จมูกโด่งเต็มแรง จนเลือดกำเดาไหล มือหนายกขึ้นกุมจมูกไว้แน่นเขามั่นใจว่าได้เลือด เธอกล้าต่อยเขา ซึ่งไม่มีใครเคยกล้าทำ.... "ไอ้ผู้ชายเฮงซวยเอ้ย! เกิดมาเป็นคนได้ไงวะ ชั่วเลวจะฆ่าได้แม้กระทั่งเด็กที่ยังไม่เกิด คนอย่างคุณมันไม่ควรเกิดมาเป็นคนด้วยซ้ำ ไอ้เลว" ปลั๊ก!! "หมัดนี้สำหรับเด็กในท้อง นับจากนี้เขาไม่ใช่ลูกของคุณ และต่อไปนี้ขออย่าได้พบเจอกันอีกไอ้ผู้ชายเฮงซวย" รมิตาลุกออกจากโต๊ะด้วยความโกรธจัด เธอจะไม่โกรธจนฟิวขาดขนาดนี้ถ้าเขาไม่บอกให้เธอเอาเด็กออก ความจริงเธออยากจะจบความสัมพันธ์ด้วยดีแต่มันเป็นเพราะเขาที่ทำลายความสัมพันธ์ดีๆ ที่ผ่านมา เธอเกลียดคนอย่างเขาเข้ากระดูกดำ ชาตินี้ทั้งชาติขออย่าได้เจอกันอีก 'ไอ้คนเลว' ทางใครทางมัน!
Free reading for new users
Scan code to download app
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    Writer
  • chap_listContents
  • likeADD