กริ๊ก!! เสียงลั่นกุญแจล็อกดังแว่วเข้าหู ร่างเล็กที่ทนทุกข์หอบสังขารขยับลุกขึ้นจากพื้นด้วยความยากลำบาก ความเมื่อยขบรุมเร้าทั่วสรรพางค์กาย ใจกลางลำตัวเจ็บแปลบจนต้องลากเท้าทีละน้อยเพื่อพาตัวเองไปนั่งลงบนเตียง
เด็กสาวใช้สองมือกอดรัดตัวเองเอาไว้แน่น น้ำตายังคงไหลรินไม่ขาดสาย แม้จะพยายามใช้มือปาดเช็ดจนใบหน้าเปียกชื้นไปหมด
เหลือบไปเห็นรอยเกรอะกรังตรงผ้าปูที่นอนแล้วความเศร้าก็กัดกร่อนรุนแรงหนักหน่วง สิ่งที่แปดเปื้อนเป็นคราบสีน้ำตาลแดงซึ่งละเลงอยู่ตรงนั้นคือความสาวที่หล่อนพึงต้องรักษาเอาไว้ให้กับคู่ชีวิต หรือไม่ก็เป็นผู้ชายที่พึงยินยอมพร้อมพลีให้แก่เขา
ไม่ใช่... ชายหนุ่มผู้มีศักดิ์เป็นน้าเขยอย่างพิรเดช
ไม่ใช่... สามีของญาติซึ่งอุปการะเลี้ยงดูเด็กกำพร้าไม่มีที่ไปอย่างหล่อน
เนรคุณ...
คำนี้ช่างเหมาะสมยิ่งนัก หล่อนกอดก่ายโยกตัวไปตามแรงสะอื้นอย่างสุดกลั้นให้กับความทุกข์และความเจ็บช้ำที่รุมเร้าโดยไม่ได้ตั้งตัว หากย้อนกลับไปได้เมื่อคืนนี้หล่อนคงเข้านอนแต่หัวค่ำและไม่ควรใส่ใจเป็นห่วงพิรเดชซึ่งนั่งดื่มเหล้าเมามายอยู่เป็นอาจิณร่วมสองสัปดาห์มาแล้วตั้งแต่มีเรื่องทะเลาะกับ ลลินดาเป็นการส่วนตัวระหว่างผัวเมีย
แต่คิดทบทวนเท่าไหร่ก็นึกไม่ออกว่าเหตุใดพิรเดชถึงได้มาอยู่กับตนได้ ทั้ง ๆ ที่ก่อนหน้านั้นหล่อนก็แค่เอาวิสกี้ไปให้เขาตรงซุ้มด้านนอกตัวบ้านตามคำสั่งของชายหนุ่มและกลับขึ้นมานอนในทันที ไม่ได้ตอแยเท้าความใด ๆ
แล้วจู่ ๆ... มารู้สึกตัวอีกทีหล่อนก็ถูกความอัปยศอดสูครอบงำจนดิ้นไม่หลุด ซ้ำไม่อาจต่อต้านขัดขืนราวกับถูกสะกดเอาไว้ด้วยมนต์ดำ
หรือพิรเดชเมาจนเข้าห้องผิด...
และมีสัมพันธ์กับหล่อนเพียงเพราะคิดว่าเป็นลลินดา
“หงส์! ฟังพี่ก่อน เมื่อคืนพี่...”
“ปล่อย! อย่าเอามือสกปรกโสโครกของพี่มาแตะต้องหงส์แม้แต่ปลายเล็บ” มือเล็กสะบัดออกจากการจับกุมของสามีเต็มแรงที่ยังหลงเหลืออยู่ หันตัวกลับมาเผชิญหน้ากับเขา
ชายหนุ่มถึงกับกลืนน้ำลายลงคอด้วยความจุกแน่นในอกไม่ได้ต่างกันเลย
“...” เขารู้ตัวว่าทำผิด เพราะความเมา และขาดสติแท้ ๆ ถึงได้เกิดปัญหาใหญ่หลวงขนาดนี้ และทางแก้ก็ดูจะไม่ง่ายดายหรืออาจไม่มีด้วยซ้ำไป
“เราไม่มีอะไรต้องพูดกันอีก... หงส์รับไม่ได้กับสิ่งที่เกิดขึ้น ไม่มีทางที่หงส์จะให้อภัยพี่เดลจำเอาไว้ด้วย อาทิตย์หน้าเราเจอกันที่อำเภอ ถ้าพี่เดลไม่ยอมจบเรื่องนี้ง่าย ๆ หงส์จะฟ้องหย่า... และแจ้งความข้อหาล่วงละเมิดหนูนา!” เสียงที่สั่นพร่านั้นจริงจัง แฝงเร้นซุกซ่อนความเจ็บช้ำมากมายที่สื่อผ่านแววตาตรอมตรม
พิรเดชหลับตาลง ไม่อยากมองคนรักในสภาพนั้น เจ็บใจตัวเอง โกรธเกลียดตัวเองเสียยิ่งกว่าที่หล่อนกำลังรู้สึกเป็นไหน ๆ เพราะเขากำลังเป็นฆาตกรเลือดเย็นลงมือฆ่าผู้หญิงตัวเล็ก ๆ บอบบางให้ตายทั้งเป็นถึงสองคนในเวลาเดียวกัน
“พี่ขอโทษนะหงส์ ถ้าพี่ไม่เครียดจนดื่มเหล้าเมาขาดสติ เรื่องคงไม่เลวร้ายแบบนี้ แต่พี่ขอโอกาสได้ไหม เราต้องมีทางออก พี่จะหาทางแก้ปัญหาเอง” ชายหนุ่มยื่นข้อเสนอ ลืมตามองหน้าภรรยาสาวด้วยความเสียใจ แม้ยังลังเลเรื่องเมื่อคืน แต่ถึงอย่างไรเสียเขาก็เป็นคนผิด ไม่อาจปฏิเสธความจริงข้อนี้ได้
ส่วนเหตุว่าทำไมเขาถึงเข้าห้องผิดและไปมีสัมพันธ์เกินเลยกับเด็กสาวได้นั้นคงต้องสืบความกันอีกที เพราะไม่อาจจดจำความจริงในช่วงนาทีนั้นได้เลยแม้แต่น้อยจนน่าแปลกใจ
เพราะถึงเขาจะเมา... มันก็ไม่น่าเลอะเลือนขาดสติได้ขนาดนั้น และก็ไม่ใช่ว่าจะเป็นครั้งแรกที่ดื่มเหล้า ตลอดเวลาหลายวันที่มีปัญหากับลลินดาและหญิงสาวหนีหน้าไปอยู่บ้านแม่ของหล่อน เขาก็คอยตามง้อและกลับมาเมาหยำเปอยู่ทุกวัน
เช้าตื่นขึ้นมาไปทำงาน ตกเย็นแวะไปพบหล่อนที่บ้านดาริน... และกลับมานั่งดื่มจนเป็นกิจวัตรที่คนในบ้านเห็นชินตา
“ทางแก้ไขที่ดีที่สุดก็คือพี่เดลเลิกแก้ตัวเถอะ รับไม่ได้ก็คือรับไม่ได้ ต่อให้เรากลับมาคืนดีใช้ชีวิตอยู่ด้วยกัน แต่หงส์คงไม่มีวันลืมในสิ่งที่พี่ทำในวันนี้ มันจะหลอกหลอนเราสองคนไปจนวันตายเหมือนเงาดำที่ครอบงำชีวิตคู่ของเราให้มีแต่ความระแวง ไม่ไว้ใจ มันไม่มีอะไรเหมือนเดิมอีกแล้ว” น้ำเสียงของหล่อนอ่อนลง แต่หนักแน่นและเข้มแข็ง รวมไปถึงแววตาเศร้าสร้อยนั้นก็ไม่ได้แลดูอ่อนแอหวั่นไหว
มันคือนัยน์ตาของความผิดหวังเสียใจ... และแฝงเร้นความทิฐิเอาไว้อย่างสูงส่ง
“เลิกคุยกับมันเสียทีเถอะหงส์ พูดไปก็เท่านั้น เรากลับบ้านกันดีกว่า” ดารินเดินออกมาพอดี รีบคว้าข้อมือของบุตรสาวและมิวายหันไปมองค้อนชายหนุ่มด้วยสีหน้าไม่พอใจ โกรธ... และเกลียด
ลลินดาไม่ว่าอะไร หล่อนเหลือบหลบสายตาเขาแล้วกัดฟันกลั้นหายใจหันหลังเดินไปตามแรงดึงของมารดาทันที พิรเดชถลาเอื้อมมือจะคว้าเมียรัก... แต่แม่ยายก็แทรกตัวเข้ามากั้นขวางกลางเอาไว้เสียก่อน
“พี่จะสืบหาความจริงว่ามันเกิดอะไรขึ้น... แล้วพี่จะพิสูจน์ให้หงส์ยอมรับพี่อีกครั้งให้ได้”
“ฮึ...”
“ไปเถอะค่ะคุณแม่... หนูไม่ไหวแล้ว” ลลินดาเอ่ยให้ได้ยินเพียงสองคนแม่ลูกเมื่อเห็นว่าผู้ให้กำเนิดมีท่าทีจะหันไปต่อปากต่อคำกับพิรเดชอีก ทั้งคู่จึงพากันประคองเดินไปที่รถซึ่งจอดรออยู่แล้วพร้อมคนขับด้วยความรวดเร็ว
ชายหนุ่มยกมือขึ้นลูบหน้าแรง ๆ ด้วยความเครียดจัด มองรถที่ภรรยาและแม่ยายโดยสารขับห่างออกไปทุกทีจนออกนอกประตูรั้วบ้านโดยที่ทำอะไรไม่ได้เลย
เหตุที่ไม่ตามไม่ยื้อในตอนนี้ เพราะรู้แก่ใจดีว่าน้ำเชี่ยวไม่ควรเอาลำเรือเข้าไปขวาง ควรรอให้พายุที่ห้ำหั่นจิตใจจนว้าวุ่นสงบลงสักเล็กน้อยเสียก่อน...
ตั้งสติ... และคิดตริตรองว่าควรจะเริ่มที่ตรงไหน
มันคงดีกว่าวู่วามจนทำให้เรื่องเลวร้ายบานปลายใหญ่โตซ้ำซ้อน
“โธ่เว้ย!!!” ปึก! ปึก! ปึก! เสียงคำรามตะโกนลั่นพร้อม ๆ กับกำหมัดแน่นแล้วชกเตะกำแพงตรงหน้าราวกับต้องการที่รองรับอารมณ์โมโห เลือดสดไหลซึมผ่านผิวหนังที่แตกยับเพราะแรงกระแทกซ้ำแล้วซ้ำเล่าราวกับว่าเจ้าของมือนั้นไร้ซึ่งความรู้สึกไปเสียแล้ว
เมื่อเตะต่อยกำแพงประหนึ่งมันเป็นต้นเหตุแห่งความวิบัติจนหนำใจ ร่างใหญ่ก็ทรุดลงนั่งใช้สองมือลูบเสยใบหน้าแรง ๆ และประสานมือแน่นเอาไว้บนศีรษะ
ตลอดชั่วชีวิต เขาไม่เคยรู้สึกว่าตัวเองสารเลวได้ขนาดนี้เลย
“ไม่เป็นไรนะหงส์... ห้ามคิดสั้นนะลูก เสียใจยังไงก็ขอให้นึกถึงแม่” ดารินกุมมือบุตรสาวเอาไว้มั่น เฝ้ามองดูแลด้วยความสงสารขณะที่กอดร่างเล็กแบบบางเอาไว้ในอ้อมกอด
“หงส์จะไปหาพี่ณี” ลลินดาแจงความประสงค์
“ไปทำไม...” น้ำเสียงของผู้เป็นแม่เหมือนจะไม่ใคร่พอใจนักกับชื่อนั้นที่บุตรสาวเอ่ยถึง
“อ้อนบอกว่าเห็นพี่ณีไปด้อม ๆ มอง ๆ อยู่ที่ตึกเมื่อคืน บางทีพี่ณีอาจจะรู้เรื่องนี้ก็ได้” เรื่องราวแต่ละตอน ๆ วนเวียนอยู่ในหัวจนหล่อนจับใจความบางอย่างได้ในตอนที่เด็กอ้อนโทรฯ ไปฟ้องถึงพฤติกรรมอันน่าบัดสีและเหตุการณ์ก่อนหน้านั้นตั้งแต่ช่วงหัวค่ำ
“หรือจะเป็นแผนของมัน...” ดารินสานต่อความคิดของบุตรสาวทันที
“หงส์ไม่รู้ค่ะ แต่หงส์ต้องรู้ให้ได้ว่าทำไมพี่เดลกับหนูนาถึงทำกับหงส์ได้ขนาดนี้” พูดจบหญิงสาวก็หยุดประโยค เพราะไม่อาจฝืนเอ่ยถึงคนทั้งสองได้มากไปกว่านั้น
“งั้นก็ไป บอกตรง ๆ แม่ไม่อยากไปเหยียบบ้านนังขี้เมานั่นนักหรอก แต่ก็ไม่แน่หรอกว่านังณีนี่แหละที่เป็นต้นเหตุคอยเสี้ยมสอนให้ลูกมันหาทางยั่วตาเดลจนทนไม่ไหวตามประสาผู้ชาย มันอิจฉาพวกเรา... มันอยากทำลายพวกเรามาตั้งนานแล้ว” หญิงวัยกลางคนถอนหายใจร้อนรุ่ม เอือมระอาอยู่ลึก ๆ เมื่อนึกถึงว่าต้องไปพบเจอญาติซึ่งอยู่ไม่กันไกลนัก
บ้านของภารณีที่ลลินดากล่าวถึงมีพื้นที่ติดกับเรือนหอ หากนับโดยสายเลือดแล้วก็ค่อนข้างสนิทชิดเชื้อกันอยู่พอสมควรเพราะภารณีเป็นหลานสาวแท้ ๆ ที่เกิดจากพี่สาวของนาง
แต่วิถีชีวิต... ต่างกันโดยสิ้นเชิง
“แม่ณี... อยู่หรือเปล่า ออกมาพบฉันหน่อย” สองร่างแม่ลูกลงจากรถมายืนอยู่ตรงหน้าบ้านไม้เก่าทรุดโทรม กระนั้นก็ยังมีเค้าความสง่าในอดีตหลงเหลือให้เห็นว่า ก่อนเก่านานมาแล้วมันเคยเป็นเรือนไม้สองชั้นที่สวยงาม ซึ่งปลูกสร้างโดยผู้มีอันจะกินในเวลานั้น
“แม่ณี นี่ฉันเอง... ดาริน” น้ำเสียงแหบกร้านตามวัยตะเบ็งเรียกไม่เต็มใจนัก สายตากวาดมองรอบ ๆ ตัวเรือนที่ทั้งรกและสกปรกแล้วต้องเบือนหน้าหนี
“แม่ณี... อยู่ไหมนั่น ได้ยินหรือเปล่า” นางเอ่ยปากเรียกซ้ำอีกครั้ง เพราะไม่แน่ใจว่าจะมีคนอยู่หรือไม่ เมื่อมีเพียงความเงียบงันไร้การตอบรับจากข้างใน
“แม่ณี... ว้าย!!!” ปัง! เพล้ง! ยังไม่ทันจะขาดปากเมื่อเรียกหาเจ้าของบ้านซ้ำเป็นครั้งที่สี่ ประตูก็เปิดออก แต่ไม่ได้เปิดแบบธรรมดา คล้ายมีคนใช้แรงผลักหรือถีบจนเกิดเสียงดัง ตามมาด้วยบางสิ่งบางอย่างที่ขว้างปาออกมากระทบกับพื้นจนแตกละเอียดก่อนหน้าจะได้เห็นตัวคนที่พวกเขามาหาด้วยซ้ำ
“มาเอะอะอะไรกันวะ คนจะนอน... อ้าว! น้าดาว” ร่างผอมบางในชุดเสื้อยืดสีชมพูแปร๋นนุ่งผ้าถุงลายดอกสีทึบแบบหยาบ ๆ เดินออกมายืนพิงประตู มือข้างหนึ่งเท้าสะเอวผมเผ้าพะรุงพะรังเปิดปากหาวหวอด ๆ บอกให้รู้ว่าคงเสียอารมณ์อย่างหนักที่ถูกปลุกกลางนิทราซึ่งยังไม่เต็มตื่น
“เออ... ฉันเองแหละ มีธุระเรื่องแม่ลูกสาวตัวดีของหล่อนนั่นแหละ ลงมาคุยกันหน่อย”
“มีอะไร! อยากคุยก็คุยมาสิ จะไปนอนต่อ”
“...” วาจากิริยาที่ไร้มารยาท ไร้ซึ่งการอบรมสั่งสอนทำให้ดารินกัดฟันกรอด นางมีศักดิ์เป็นน้าแท้ ๆ แต่ภารณีกลับมองเป็นหัวหลักหัวตอตั้งแต่ไหนแต่ไร เพราะอายุไม่ต่างกันมาก โตมาด้วยกัน เนื่องจากในสมัยก่อนนั้นบ้านพี่บ้านน้องบ้าน พ่อแม่ก็อยู่ในบริเวณเดียวกันหมด
“ลูกสาวหล่อนมันไปทำงามหน้าเอาไว้น่ะสิ... กินบนเรือน ขี้บนหลังคา ไม่สำนึกบุญคุณข้าวแดงแกงร้อนที่พวกฉันเวทนาให้กินให้ใช้ หล่อนควรจะรับรู้ความเป็นไปของมันบ้าง ไม่ใช่สักแต่จะให้เกิดออกมาแล้วโยนภาระให้คนอื่น”
“วะ! แล้วใครไปขอให้เอามันไปเลี้ยง ฉันไปขอร้องอ้อนวอนลูกสาวน้าอุปการะมันหรือไง อยากได้กันเอง อยากเอาไปกันเองก็ดูแลกันไปสิ มายุ่งอะไรกับฉันเล่า... เอ้อ!!”
“พี่ณี... เมื่อคืนพี่ณีไปหาหนูนาใช่ไหม” ลลินดาตัดสินใจพูดเข้าเรื่องเสียเอง ไม่อยากรีรอเวลาให้ยืดเยื้อไปกว่านี้ จิตใจมันซมซานเกินกว่าจะเอ้อระเหยอยู่ในโลกภายนอกได้นาน ๆ อยากโผเข้าห้องแล้วใช้เวลาอยู่คนเดียว ไม่ข้องแวะกับใครเลยเสียมากกว่า
“อือ... ทำไม มีอะไร แม่จะไปหาลูกไม่ได้เหรอ ก็ไม่ได้ห้ามนี่” เรื่องนี้ใคร ๆ ก็รู้กันอยู่แล้ว ในความเป็นแม่ลูกสัมพันธ์ย่อมตัดไม่ขาด แต่เหตุที่ภารณีไปหาสัตตบงกชนั้นไม่ได้เหมือนกับที่แม่คนอื่น ๆ เขาทำกัน
“บอกหงส์มาตรง ๆ พี่ณีเป็นคนวางแผนทำเรื่องชั่ว ๆ พวกนั้นใช่ไหม”
“มันก็รวมหัวกันทั้งหมดนั่นแหละ” ดารินแทรกขึ้น นางหมายถึงทุกคน ทั้งพิรเดช สัตตบงกชและภารณีต่างก็รู้เห็นเป็นใจกันก่อเรื่องทราม
“อะไร... มาหาเรื่องอะไรแต่เช้าเนี่ย มีอะไรก็พูดมา ฉันแค่ไปขอเงินนังหนูนามีอะไรไหม ถึงฉันจะไม่ได้เลี้ยงแต่ฉันก็เกิดมันมา แทนที่มันจะได้มาช่วยฉันหาเงิน พวกน้าก็เอามันไปใช้ มันทำงานอย่างกับขี้ข้า เงินขอทีละเล็กทีละน้อย ๆ แค่นี้มันชั่วตรงไหนวะ” ภารณีโต้กลับเสียงแหลมปรี๊ด
ดารินถอนหายใจส่ายหน้าระอา นึกถึงสัตตบงกชแล้วก็ให้แปลกใจทั้งที่นิสัยใจคอช่างแตกต่างกับผู้ที่ให้กำเนิดมากเหลือเกิน แต่ก็นั่นแหละ... ใครจะไปล่วงรู้จิตใต้สำนึกข้างใน
“หงส์ไม่ได้หมายถึงเรื่องนั้น... หงส์หมายถึงเมื่อคืนที่พี่เดลไปนอนกับหนูนา...” หล่อนอยากจะพูดให้มากกว่านั้น อธิบายให้กระจ่างกว่านั้น แต่ก็ทำไม่ได้ ความเจ็บปวดมันตอกตันตีตื้นขึ้นมาจุกอกในทันที ดวงตากลมโตสีโศกกะพริบปรือขับไล่หยาดน้ำที่ปริ่มขึ้นมาคลอหน่วย
“ว่าไงนะ... หนูนามันได้กับผัวแกเหรอ ฮ่า ๆ ๆ” แทนที่จะเวทนาความเจ็บปวดของลูกพี่ลูกน้อง ภารณีกลับหัวเราะร่าตีอกชกตัวราวกับดีใจเอาหนักหนา
ลลินดากำมือแน่นยืนตัวสั่น... ถึงขนาดนี้แล้วคงไม่ต้องต่อความยาวสาวความยืดให้มากความ
“ไปลากตัวลูกหล่อนกลับมาอยู่กับหล่อนเถอะ คนเนรคุณ ต่อให้เมตตามันเท่าไหร่ก็คงล้างเลือดชั่ว ๆ ในตัวให้สะอาดไม่ได้ ต่อไปนี้ก็ไม่ต้องมานับญาตินับเชื้อกันอีก”
“ไม่ได้! ในเมื่อนังหนูนามันได้เสียกับผัวหงส์แล้ว ผัวมันก็ต้องรับผิดชอบ คิดจะให้ลูกเขยน้าฟันลูกสาวฉันแล้วเขี่ยทิ้งอย่างนั้นเหรอ ไม่ง่ายไปหน่อยมั้ง”
“แล้วหล่อนจะเอายังไง!”
“หนูนามันเป็นเด็กดี มันยังไม่เคยต้องมือผู้ชายคนไหน แต่จู่ ๆ กลับมาถูกน้าเขยข่มเหงจนต้องกลายเป็นเมียน้อยน้าสาวตัวเองที่มันนับถือเหมือนแม่ หึ... ไม่มีใครสงสารฉันกับลูกบ้างเหรอว่าจะรู้สึกยังไง”
“ถ้าจะให้รับผิดชอบ หล่อนก็คงต้องไปคุยกับผู้ชายเอาเอง เพราะระหว่างเขากับหงส์ต่อไปนี้ไม่ได้มีอะไรเกี่ยวข้องกันแล้ว ที่เหลือก็แค่รอจัดการให้มันถูกต้องเท่านั้น”
“ดี! เสร็จเรื่องหย่า เรื่องแบ่งสมบัติกันเมื่อไหร่ก็อย่าลืมมาบอกฉันด้วย ฉันจะได้ให้หนูนามันแต่งงานออกหน้าออกตาไม่ต้องอายใครว่าแย่งผัวชาวบ้าน ฉันเป็นแม่มันก็ควรได้ค่าน้ำนงน้ำนม ค่าเสียเวลาที่ให้มันอาศัยอยู่ในท้องตั้งเก้าเดือน ไหนจะเจ็บแทบเป็นแทบตายตอนที่เบ่งมันออกมาอีก มีผัวคนแรกทั้งทีจะให้มันเสียฟรี ๆ ได้ยังไง”
“หล่อนนี่มัน...”
“กลับเถอะค่ะคุณแม่” ลลินดาทำท่าเหมือนจะเป็นลมเมื่อได้ยินการเจรจาฉอด ๆ ราวกับกำลังคุยเรื่องตกลงซื้อขายกันอย่างไงอย่างงั้น ไม่ได้สาระหรือละอายแม้แต่น้อยกับความเลวร้ายที่เกิดขึ้นในชีวิตของหล่อนซึ่งเป็นญาติกันแท้ ๆ
หากเมื่อสิบกว่าปีก่อนหล่อนไม่รู้ไม่เห็นเกี่ยวกับเรื่องราวของเด็กหญิงตัวน้อยที่น่าสงสาร ถูกแม่ใจยักษ์ทิ้งให้อด ๆ อยาก ๆ ทุบตีจนเนื้อตัวมีแต่รอยแผล จึงเวทนาขอมาอยู่เป็นเพื่อนและเลี้ยงดูราวกับเป็นน้องที่คลานตามกันมา
วันนี้... หล่อนคงไม่ต้องเจ็บปวดปางตายเพราะถูกหักหลังสวมเขา
“แม่บอกตั้งแต่แรกแล้ว มันเลี้ยงไม่เชื่อง หงส์ก็ไม่เชื่อ เราไม่ต้องไปยุ่งเกี่ยวข้องแวะกับคนพวกนี้เป็นดีที่สุด”
“คุณแม่คะ... หนูอยากกลับบ้าน” เสียงสั่นเอ่ยเตือนมารดาอีกครั้งคล้ายจะปรามเป็นความนัยว่าไม่อยากรู้ไม่อยากรับฟังอะไรอีกแล้ว ดารินพยักหน้า... หันไปมองภารณีที่ยืนยิ้มอย่างมีความสุขด้วยความโกรธเกลียดจัดแล้วประคองบุตรสาวขึ้นรถทันที
“สมน้ำหน้า!” ภารณียังตะโกนไล่หลังอย่างสะใจเมื่อรถเคลื่อนตัวออกจากบริเวณบ้านของนาง ไม่ได้สำนึกแม้แต่น้อยว่าเรื่องที่เกิดขึ้นมันใหญ่หลวงและสร้างความเดือดเนื้อร้อนใจกับทุกคนที่เกี่ยวข้อง
แม้กระทั่ง... ลูกสาวในไส้ของนางเอง