โปรย...
หนามแหลมที่ใครคนหนึ่งตราหน้าว่าคอยทิ่มแทงหัวใจให้เจ็บปวด เป็นหนามที่ทำให้ชีวิตของผู้หญิงคนหนึ่งต้องพังพินาศและจมปลักอยู่กับความล้มเหลว
หนามชิ้นเล็กๆ ที่เคยถูกคนทิ้งขว้างอย่างไม่เห็นค่า กลับกลายเป็นหนามแหลมที่กะเทาะเปลือกหัวใจของใครอีกคนให้มันแตกละเอียดเป็นเพียงฝุ่นผง
หนามแหลมที่ปักลงกลางหัวใจแกร่งดั่งหินผา แล้วค่อยๆ แทรกซึมความอบอุ่นโหยหาเข้าไปเติมเต็มในหัวใจที่ขาดวิ่นของกันและกัน หัวใจสองดวงที่เหน็บหนาว กำลังจะช่วยเยียวยาซึ่งกันและกัน
ใครคนหนึ่งกำลังจะใช้ “ความรัก” ที่เขาไม่เคยเชื่อว่ามีอยู่จริง เยียวยาบาดแผลหัวใจที่มันอ้างว้าง ของผู้หญิงตัวเล็กน่าสงสารที่ใครๆ บอกว่าเธอเป็นเพียงเศษสวะไร้ค่า
เขาจะทำได้ไหม...ในเมื่อครั้งหนึ่ง ก็เคยตะโกนใส่หน้าเธอว่า “นังเด็กสกปรก น่ารังเกียจ”
//////////////////////////////////////////////////////////////////////
@สงวนสิทธิ์ตามพระราชบัญญัติลิขสิทธิ์ พ.ศ. 2537
@สงวนสิทธิ์ตามพระราชบัญญัติลิขสิทธิ์ พ.ศ. 2558(ฉบับเพิ่มเติม)
ไม่อนุญาตให้สแกนหนังสือ หรือคัดลอกเนื้อหาส่วนหนึ่งส่วนใดเพื่อสร้างฐานข้อมูล
อิเล็กทรอนิกส์ เว้นแต่ได้รับอนุญาตจากเจ้าของลิขสิทธิ์เป็นลายลักษณ์อักษรแล้วเท่านั้น
/////////////////////////////////////////////////////////////////////
อาคารสำนักงานขนาดใหญ่ถูกปลูกสร้างอยู่ในย่านธุรกิจใจกลางเมืองหลวงของประเทศไทย ผู้คนเดินผ่านไปผ่านมาไม่มีสักคนที่จะเดินผ่านไปเฉย ๆ เพราะแต่ละคนที่ได้มีโอกาสผ่านตึกสำนักงานแห่งนี้แทบทุกคน มักอดใจไม่ไหว ที่จะหยิบเอาเครื่องมือสื่อสารทันสมัยขึ้นมาบันทึกภาพเก็บไว้ บางคนก็เดินเข้ามาโพสท่าถ่ายรูป ไม่ว่าจะเดี่ยวหรือภาพหมู่ เพื่อแสดงความภูมิใจผ่านโลกโซเชียล ว่าครั้งหนึ่งในชีวิตตนได้เข้ามาสัมผัสอาคารสำนักงานอันทันสมัยที่สุดในแถบเอเชีย และมีสถาปัตยกรรมที่ผสมผสานระหว่างวัฒนธรรมตะวันตกและตะวันออกได้อย่างลงตัว
เนื่องด้วยอาคารแห่งนี้เป็นอาคารสำนักงานซึ่งประกอบธุรกิจทางด้านอสังหาริมทรัพย์อันดับหนึ่งของโลก ส่งผลให้ท่านประธานใหญ่มีนโยบายทำให้ที่แห่งนี้เป็นอาคารที่ทันสมัย ล้ำหน้าทางด้านการก่อสร้างและผสมผสานอารยธรรมตะวันตก และตะวันออกอย่างลงตัว
ไม่เว้นแม้กระทั่งบุคลากรที่เข้ามาทำงานในบริษัทแห่งนี้ ล้วนจะต้องผ่านกระบวนการคัดสรร และทดสอบความสามารถกันอย่างเข้มงวดถึงจะมีโอกาสเข้ามาเป็นส่วนหนึ่งของ “มาเวลราจ เอนเตอร์ไพรส์แอนด์คอนสตรัคชั่น”
หกนาฬิกาสามสิบนาที อาจยังดูเช้ามากเมื่อเทียบกับเวลาเข้างานปกติของพนักงานทั่วไป แต่ไม่ใช่สำหรับเจ้าของร่างบางที่กำลังเดินอย่างอ่อนระโหยโรยแรงเต็มที ขนาดจะยกขาก้าวเดินแต่ละก้าว ยังดูยากเย็นนัก ผมเผ้าที่เจ้าตัวไม่เคยให้ความสนใจอยู่แล้วยิ่งดูไม่ได้ เมื่ออยู่ในช่วงเวลาวิกฤตเช่นนี้ มันจึงถูกมัดรวบไว้ครึ่งหัวกลางกระหม่อมแบบลวก ๆ เสื้อผ้าสภาพยับย่นซึ่งดูก็รู้ว่ามันถูกสวมอยู่บนร่างบางนี่ไม่ต่ำกว่าสองวันมาแล้วเป็นแน่
ขาเรียวเล็กกำลังพาร่างกายที่ใครเห็นคงไม่อยากเฉียดใกล้เท่าไหร่นัก มาหยุดอยู่หน้าลิฟต์ขนาดใหญ่ของอาคารสำนักงานทันสมัยที่สุดในแถบภูมิภาคเอเชีย
เสียงสัญญาณดังขึ้นบอกให้รู้ว่า เธอต้องรวบรวมพลังงานทั้งหมดที่มีอยู่ในตัวอีกครั้ง เพื่อจะก้าวเดินพาร่างที่แทบจะแหลกสลายเพียงแค่มีลมพัดผ่านเข้าไปยังลิฟต์ขนาดใหญ่ ซึ่งประตูบานเลื่อนค่อย ๆ ขยับเปิดอย่างนุ่มนวลแทบไม่มีเสียงให้ได้ยิน แสดงให้เห็นว่าเจ้าอุปกรณ์ขนส่งชิ้นนี้ มันมีประสิทธิภาพมากเพียงใดและผู้ที่ได้มีโอกาสใช้มัน คงจะอดภูมิใจไม่ได้ที่สักครั้งหนึ่งในชีวิต ได้สัมผัสกับเทคโนโลยีอันทันสมัยล้ำหน้าใคร ๆ
เมื่อก้าวเข้ามาในกล่องสี่เหลี่ยมขนาดใหญ่เกินมาตรฐานได้เท่านั้น ร่างบางถึงกับทรุดลงกับพื้นอย่างหมดแรง
เมื่อจัดการหาหลักยึดให้กับแผ่นหลังเล็ก ๆ ของตัวเองได้แล้ว มือเล็กยกถุงใส่อาหารขึ้นมาพิจารณาว่าจะจัดการอะไรลงท้องก่อนเป็นอันดับแรก
เนื่องด้วยตั้งแต่เมื่อเย็นวาน สารอาหารเพียงอย่างเดียวที่ตกถึงท้องก็คือน้ำเปล่า และนมเกือบหมดอายุซึ่งอาศัยอยู่ในตู้เย็นของแผนกมาหลายวันแล้ว
ไส้กรอกชีส คือสิ่งแรกที่ถูกเล็งด้วยประกายตาวาววับ ไม่เสียเวลาพิจารณาสิ่งอื่นใด มือบางจัดการเปิดปากถุง หยิบไส้กรอกชีสของโปรดที่หิ้วมาจากร้านสะดวกซื้อใกล้ ๆ กับอาคารสำนักงานแห่งนี้เข้าใส่ปากเคี้ยวตุ้ย ๆ ราวคนอดอยากมานานแรมปี
เสียงฝีเท้าที่ดังเข้ามาใกล้ ๆ ไม่ได้สร้างความสนใจให้กับร่างบางที่กำลังนั่งอยู่บนพื้นลิฟต์โดยสารทันสมัยแห่งนี้ นอกจากสิ่งที่อยู่ในมือเท่านั้น
“นี่คุณ! ลิฟต์นี่มันเป็นลิฟต์ส่วนตัวของผู้บริหารระดับสูงเท่านั้นไม่ใช่เหรอ แล้วคุณมีสิทธิ์อะไรเข้ามาใช้!” เสียงห้าวทุ้มดังออกจากปากของชายหนุ่มร่างสูงใหญ่ผมสีทองสั้นเกรียนเข้ารูปศีรษะ เขากำลังแสดงอาการไม่พอใจเป็นอย่างมาก เมื่อเดินเข้ามาในลิฟต์แล้วเจอเข้ากับร่างของผู้ไม่รู้จักกาลเทศะ แถมยังแสดงสีหน้าไม่ทุกข์ร้อนใด ๆ อีกต่างหาก
“ช่างเถอะ” บุรุษหนุ่มที่เพิ่งเดินตามเข้ามาเอ่ยขัดขึ้น ทำให้เจ้าของเสียงเข้มดุก่อนหน้าหยุดชะงักทันที พลางขยับเลี่ยงไปด้านข้างเพื่อให้คนเป็นเจ้านายเดินเข้ามาได้สะดวกพร้อมทีมบอดี้การ์ดที่เดินตามหลังมาอีกจำนวนหนึ่ง
ชายคนแรกสอดส่ายสายตาสำรวจบริเวณด้านนอกลิฟต์ หาสิ่งผิดปกติซึ่งอาจเกิดขึ้นได้ตลอดเวลา สุดท้ายกลับมาหยุดนิ่งอยู่ที่ร่างบนพื้นลิฟต์ซึ่งยังคงนั่งไม่รับรู้ความเป็นไปรอบตัว
“เกรงว่ามันจะไม่ปลอดภัยนะครับนาย”
“แค่เด็กคนเดียว! ทำให้แกกลัวได้ขนาดนี้?” คนเป็นเจ้านายพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงเรียบ คิ้วเข้มเลิกขึ้นสูงหากแต่มุมปากที่ขยับยกขึ้นเล็กน้อยนั้น ทำให้คนถูกกล่าวหาว่าขี้กลัวต้องหน้าเจื่อนลงทันที
สายตาคมดุเหลือบมองไปยังร่างเล็กบนพื้นลิฟต์อันแสนหรูหราทันสมัย หากก็ต้องขมวดคิ้วด้วยความสงสัย เมื่อก้มลงสังเกตร่างเล็กนั่นอย่างละเอียด ซึ่งเป็นนิสัยประจำตัวของเขาอยู่แล้ว กับการไม่ยอมให้เรื่องเล็ก ๆ น้อย ๆ ผ่านหูผ่านตาไปได้ง่าย ๆ
ทำไมเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยของที่นี่ถึงได้ปล่อยให้เด็กสกปรกคนนี้ เดินผ่านเข้ามาในบริษัทซึ่งมีระบบรักษาความปลอดภัยเข้มงวดได้
สภาพเสื้อผ้าเครื่องแต่งกายดูยังไงก็คงไม่ใช่เครื่องแบบของบุคลากรในบริษัทนี้แน่ หรือแม้กระทั่งรองเท้าแตะหูคีบที่ไม่น่าเชื่อว่าจะมีคนกล้าใส่เข้ามาในสถานที่ที่จัดว่ามีความเป็นเลิศด้านการออกแบบหรูหราที่สุดแห่งหนึ่งในทวีปเอเชีย และก่อสร้างด้วยบริษัทรับเหมาก่อสร้างอันมีชื่อเสียงโด่งดังติดอันดับหนึ่งของโลก
ขณะบานประตูลิฟต์เคลื่อนตัวปิดและกำลังจะเคลื่อนที่สู่ชั้นเป้าหมาย สิ่งหนึ่งที่ไม่คาดคิดเกิดขึ้นกะทันหัน อาการกระตุกและหยุดอยู่กับที่ของห้องโดยสารขนาดใหญ่สร้างความตื่นตัวให้กับบุคคลกลุ่มใหญ่
“เฮ้ย!...” เสียงอุทานดังขึ้นพร้อมกัน เมื่อรู้สึกว่าเกิดเหตุไม่ปกติ ไฟแสงสว่างดับพรึ่บพร้อมกับการหยุดทำงานของลิฟต์โดยสารขนาดใหญ่เช่นนี้แสดงถึงความไม่ปลอดภัย
ชายผมทองส่งสัญญาณให้เพื่อนบอดี้การ์ดซึ่งพร้อมใจกันเดินเข้าประชิดตัวเจ้านายที่ยืนอยู่กลางห้องโดยอัตโนมัติ ทุกคนอยู่ในท่าเตรียมพร้อม มือข้างหนึ่งล้วงเข้าไปภายในเสื้อสูท พยายามสอดส่ายสายตาอย่างระแวดระวัง มองสบตากันตลอดเวลาหากเกิดเหตุการณ์อะไรขึ้น
“ใจเย็น ๆ ไม่มีอะไรหรอกค่ะ รอสักครู่เดี๋ยวก็มีคนมาช่วยเองนั่นแหละ” น้ำเสียงเรียบถูกส่งมาจากร่างเล็กซึ่งนั่งอยู่มุมหนึ่งของลิฟต์ พลันสายตากลมโตที่แฝงไปด้วยความอ่อนล้า ก็เหลือบขึ้นมาสบกับดวงตาหวาดระแวงของชายหนุ่มผมสีทองอย่างช่วยไม่ได้ รอยยิ้มบางถูกส่งมาเพื่อปลอบใจให้ทุกคนคลายกังวล ทว่าอาการนั้นกลับทำให้อีกฝ่ายรู้สึกเสียหน้าไมเบาจึงตวัดสายตาเมินไปทางอื่น
เหตุการณ์ลิฟต์ค้างแบบนี้ มันเกิดขึ้นเป็นประจำเนื่องจากขณะนี้แผนกการสื่อสารและโทรคมนาคม กำลังทำการทดสอบโปรแกรมที่ใช้ในการประหยัดไฟฟ้า เลยทำให้มีบางช่วงไฟอาจตกได้ และนี่ก็ไม่ใช่ครั้งแรกกับเหตุการณ์ลักษณะนี้
พูดจบร่างเล็กราวเด็กประถมก็ลุกขึ้นมาจากพื้น เดินผ่านบรรดายักษ์ร่างใหญ่ ยื่นมือไปหยิบโทรศัพท์ที่ติดอยู่กับแผงควบคุมแล้วพูดออกไปด้วยน้ำเสียงเนิบ ๆ ไม่สนใจสายตาสงสัย และหวาดระแวงที่ส่งมาจากเพื่อนร่วมชะตากรรมที่ยังคงแสดงอาการระวังภัยให้กับเจ้านายหนุ่มกลางห้อง
“เฮีย! ไฟตก ลิฟต์ค้างอีกแล้วนะ”
“...” เมื่อไม่มีเสียงตอบกลับจากฝั่งตรงข้าม คนกำลังเหนื่อยทำเสียงจิ๊กจั๊กหงุดหงิดก่อนจะสูดหายใจแรง แล้วกรอกเสียงลงไปอีกรอบ
“ไอ้เฮีย! ได้ยินไหม บอกว่าไฟตก ลิฟต์ค้างเนี่ย!”
“เออ ๆ รู้แล้ว ใจเย็นสิวะ เป็นเด็กเป็นเล็กใจร้อนฉิบ...” เสียงปลายสายตอบกลับด้วยความหงุดหงิด ไม่แพ้กันเพราะถูกขัดจังหวะการนอน ดูได้จากน้ำเสียงงัวเงียที่ส่งมาตามสาย
หลังได้คำตอบ ร่างบางหันมายกยิ้มมุมปากให้กับเพื่อนร่วมชะตากรรมที่ยืนกันอยู่เต็มห้อง ซึ่งแต่ละคนล้วนเป็นหนุ่มร่างยักษ์ที่เธอไม่เคยเห็นเลยสักคน คงจะเป็นลูกค้าของบริษัทที่มาเจรจาธุรกิจ เพราะดูจากลักษณะการแต่งตัวแล้วคงไม่ใช่แค่พนักงานระดับล่างแน่ ๆ