ตอนที่ 10
“ขอบคุณครับป้า” ภีมะกำลังจะวางสาย แต่ก็นึกได้ว่าถ้าป้านุ่มเห็นว่าโรสรินทร์ไม่กลับบ้าน หญิงชราจะต้องเป็นห่วงและคงจะไม่อยู่นิ่งเฉยแน่นอน
“อ้อ....ป้าครับไม่ต้องเป็นห่วงหนูโรสนะครับ ผมจะดูแลคุณหนูที่รักของป้าอย่างดีที่สุด”
“มะ...หมายความว่า...” ป้านุ่มถามไม่ทันจบอีกฝ่ายก็วางสายไปเสียแล้ว
“เฮ้อ....คุณภีมนะคุณภีม” ป้านุ่มวางโทรศัพท์บนแป้นพร้อมกับส่ายศีรษะ นี่แสดงว่าคุณหนูของนางจะต้องอยู่กับภีมะแน่นอน แล้วงานนี้ใครจะชนะกันละ อีกฝ่ายก็แรง อีกหนึ่งก็ไม่ยอมแพ้เช่นกัน
โรสรินทร์ลืมตาตื่นจากนิทราด้วยความไม่ค่อยสบายตัวสักเท่าไหร่รู้สึกเหมือนกับว่ามีอะไรหนักๆ ทาบทับอยู่กลางลำตัวและด้านข้างก็ยังมีลมร้อนๆ เป่ารดใบหน้าเป็นระยะ ดวงตากลมโตกะพริบปริบ ๆ เหลียวใบหน้าไปมองที่มาของทุกอย่าง
ภีมะนอนหลับสนิทเหมือนเด็กไร้พิษสง เหนือดวงตาเป็นคิ้วหนาเป็นปื้น จมูกโด่งเป็นสัน รับกับริมฝีปากหนา เครื่องประกอบทุกชิ้นรับกับใบหน้าชายหนุ่มจนดูน่ามองไปหมด แต่อย่าให้ดวงตาคู่ลืมขึ้นมา เพราะมันจะมองทุกอย่างด้วยความรื่นรมย์และสนุกสนาน รวมไปถึงปากที่คอยจิกกัดและหยอกล้อให้เธอได้เจ็บช้ำและอับอายอยู่บ่อยครั้ง
“นายนี่มองดูดีทุกกระเบียดนิ้วจริงๆ แต่พอลืมตาเมื่อไหร่ ร้ายกาจอย่างไม่น่าให้อภัยเช่นกัน”
หญิงสาวยกมือขึ้นแตะใบหน้าคมอย่างอดใจไว้ไม่อยู่ แต่กลับต้องหยุดชะงัก เมื่อนึกได้ว่าทำอะไรอยู่
โรสรินทร์ผ่อนลมหายใจ เธอยกแขนใหญ่ที่โอบรอบเอวเล็กคอดอย่างเป็นเจ้าข้าวเจ้าของออกอย่างเบามือที่สุด
หญิงสาวรีบลุกขึ้นนั่ง เมื่อหลุดพ้นจากพันธนาการ เธอกวาดสายตามองไปรอบๆ ห้อง ดวงตาเริ่มจะร้อนผ่าว น้ำตาเอ่อคลอเบ้าและไหลอาบแก้มอย่างช้าๆ เจ็บปวดกับสิ่งที่ได้เกิดขึ้น แต่ก็ไม่ได้โทษใครนอกจากตัวเองที่หุนหันพลันแล่นวิ่งมาให้เขาระบายอารมณ์ตั้งแต่แรกที่ลงจากเครื่อง เพียงเพราะได้ยินคำพูดไม่กี่ประโยคจากคนที่รักถึงสองคน มาถึงตอนนี้ เสียใจมันก็สายไปแล้ว
หญิงสาวก้มลงหยิบเสื้อผ้าที่ถูกถอดและโยนทิ้งไปอย่างไม่ไยดีเก็บขึ้นมาสวมใส่ เพื่อที่จะเดินไปดูท้องทะเลยามค่ำคืน
โรงแรมของบิดาและของภีมะต่างสร้างเหมือนๆ กันเพราะใช้ผู้รับเหมาชุดเดียวกัน ทุกห้องต่างก็ติดกระจกที่คนด้านล่างจะมองขึ้นมาไม่เห็นคนที่อยู่ภายใน แต่คนที่อยู่ภายในจะสามารถมองออกไปเห็นทะเล ได้เห็นพระอาทิตย์ขึ้นและพระอาทิตย์ตก รวมไปถึงยังสามารถมองเห็นได้ตลอดทั้งวันทั้งคืน ยิ่งคืนที่พระจันทร์เต็มดวงและส่องสว่างพื้นน้ำแล้วละก็ จะเหมือนกับว่ามีแสงสีรุ้งอาบไล้รอบเรือนกาย ให้ความรู้สึกเหมือนว่าได้พักอยู่ท่ามกลางสรวงสวรรค์เลยทีเดียว
ถึงตอนนี้แม้จะเป็นคืนเดือนมืด แต่เมื่อดึงผ้าม่านสีน้ำตาลมะฮอกกานีออกและเปิดประตูออกไป ก็ยังเห็นสภาพท้องทะเลที่สะท้อนแสงไฟจากสิ่งก่อสร้างทั้งหลายทั้งปวง ให้ความรู้สึกสงบเงียบและสวยงามเป็นอย่างยิ่ง
“สวยไม่เคยเปลี่ยนเลย”
แม้ว่าเธอจะจากที่นี่ไปศึกษาต่อปริญญาโททางด้านการโรงแรม เพื่อที่จะมาบริหารธุรกิจของตัวเอง แต่เธอก็ยังจดจำสถานที่แห่งนี้ได้ไม่เคยลืมและเร่งวันเร่งคืนให้จบโดยไว เพื่อจะกลับมาชื่นชมความสวยงามของที่นี่
แต่ก็ไม่นึกเลยว่าการเรียนต้องหยุดชะงักกลางคัน เพราะถูกผู้ชายคนที่กำลังนอนหลับสนิทอยู่บนเตียงใหญ่วางแผนเรียกตัวกลับมาเสียก่อน คิดแล้วก็รู้สึกเจ็บใจ เพราะเอาชนะชายหนุ่มไม่ได้ ยังต้องเสียตัวให้กับเขาอีก
“มีทางไหนให้ฉันเอาชนะนายได้บ้างนะภีมะ”
หญิงสาวยืนมองที่นอนหลับสนิทอยู่บนเตียงด้วยความคั่งแค้น อยากจะฝากรอยไว้บนแก้มใหญ่อีกสักครั้งสองครั้ง แต่คิดอีกที ไม่ดีกว่า ถ้าทำให้ไอ้บ้าที่นอนหลับอย่างสบายตื่นขึ้นมาแล้ว มีหวังเธอนั่นแหละที่จะช้ำมากกว่านี้ ดูซิ มือหนักยังกับอะไรดี ไม่ว่าจะถูกตรงไหนก็ทิ้งรอยแดงไว้เต็มไปหมด
หญิงสาวเดินไปยืนมองท้องทะเลอย่างเหงาเศร้า นึกถึงตอนที่อยู่ต่างประเทศ มีชายหนุ่มหลายคนแจกขนมจีบให้ แต่เธอกลับไม่มีตาจะมองใครจะมีก็เพียงแค่กฤษฎาการคนเดียวเท่านั้น ที่เธอให้ความสนิทสนมด้วย เพราะถือว่าเป็นคนไทยเหมือนกัน มีอะไรจะได้ให้ความช่วยเหลือกันได้ แต่ก็ไม่รู้ว่าภายในใจของชายหนุ่มคนนั้นคิดอะไรอยู่
ชายหนุ่มหน้าตาคมคาย ดวงตาคมหวาน จมูกโด่ง ริมฝีปากหน้าแดงเหมือนเชอรี่ รูปร่างสูงใหญ่เหมือนกับชายฝรั่ง ทำให้ชายหนุ่มเป็นที่หมายปองของหญิงหลายคน
โรสรินทร์ไม่ได้อยากจะคิดเข้าข้างตัวเองหรอกว่า แต่สิ่งที่เขากระทำและปฏิบัติยามที่อยู่ด้วยกัน ไม่ว่าจะสองต่อสองหรือว่าอยู่ต่อหน้าเพื่อนๆ คล้ายจะบอกให้รู้ แปลกที่เธอนี่แหละ ทำไมถึงไม่ได้คิดกับชายหนุ่มอย่างที่เขาต้องการให้เป็น
หญิงสาวมองไปทั่วผืนน้ำที่กำลังสะท้อนแสงไฟแล้วต้องถอนใจ ตอนนี้เธอเองก็ต้องมีเรื่องให้คิด ไหนจะหนี้สิน ไหนจะชายหนุ่มตัวยุ่งที่ดูว่าจะไม่ยอมปล่อยเธอไปง่ายๆ แน่ เธอกับภีมะคงจะต้องรบรากันอีกเป็นนาน กว่าที่ฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งจะต้องเป็นฝ่ายแพ้พ่ายไปเอง
“อย่าคิดว่าฉันจะยอมแพ้นายง่ายๆ นะภีมะ ฉันไม่ใช่หมูในอวยที่นายจะสั่งทำให้ทำโน่นทำนี่ได้อย่างชอบใจ แต่...”
โรสรินทร์ขบกัดฟันบนกลีบปากอิ่ม จะทำยังไง เธอถึงเอาคืนภีมะได้นะ หญิงสาวขมวดคิ้วเข้าหากัน จนไม่ทันสังเกตคนบนเตียง
ภีมะขยับตัวและควานหาร่างนุ่มนิ่มที่เขากอดไว้ แต่ก็พบเพียงความว่างเปล่า ชายหนุ่มลืมขึ้นอย่างขัดอดขัดใจ ถึงจะรู้ว่าโรสรินทร์ออกไปจากห้องนี้ไม่ได้ เพราะระบบล็อกที่จะมีเพียงแค่เขาเท่านั้นที่เปิดได้ แต่การไม่มีเธออยู่ข้างกายมันทำให้รู้สึกหงุดหงิดได้มิใช่น้อย
ชายหนุ่มคมปรับให้ชินกับสภาพของห้อง ก่อนกวาดหาร่างโปร่งบางที่ตอนนี้สวมใส่เสื้อผ้าเรียบร้อยและยืนมองท้องทะเลด้านนอกอย่างเหงาหงอย
ภีมะยันตัวขึ้นจากเตียงอย่างเงียบเชียบ เขาเดินตรงไปหาโรสรินทร์ โดยไม่ยอมใส่เสื้อผ้าให้เรียบร้อย เพียงแค่เดินไปถึงแขนแข็งแรงก็โอบรอบเอวเล็กคอดวางคางบนบ่ากว้าง
“ทำอะไรอยู่ครับคุณหนูโรส ทำไมถึงไม่นอน แล้วนี่มองอะไรอยู่” ชายหนุ่มถามพรางแนบปากบนแก้มนุ่ม
“อุ้ย!!” โรสรินทร์สะดุ้ง ก่อนเธอจะกระทุ้งศอกไปที่อกกว้างอย่างว่องไว อีกทั้งยังใช้สองเล็บจิกข่วนตามแขนชายหนุ่มเต็มแรงด้วย
“ปล่อยฉันนะไอ้บ้า ไอ้เลว”
ภีมะสะดุ้ง แต่ก็เอาคืนในแบบของเขา ริมฝีปากร้อนผ่าวขบเม้มลำคอระหง เคลื่อนขึ้นไปจนได้สัมผัสกับแก้มนุ่ม พลางจับมือเรียวที่ละเลงปลายเล็บอันแหลมคมลงบนผิวเนื้อ จนตอนนี้เขาปวดแสบปวดร้อนไปหมดทั้งสองแขน
“อืม...ไม่เอา ไม่ปล่อย”
“จะรัดมาทำไม อึดอัด”
ความร้อนผ่าวที่รัดรอบอยู่ สร้างความรู้สึกป่วนปั่นให้กับโรสรินทร์เป็นอย่างมาก ไหนจะริมฝีปากร้อนผ่าวที่ขบเม้มอยู่บนลำคอระหงอีกล่ะ ทำให้หญิงสาวถึงกับตัวสั่นปั่นปวนในช่องท้อง เกิดความหวาดกลัวกับไฟปรารถนาที่ร้อนรุ่มประดุจไฟที่อาจจะกลับมาไหม้กายอีกครั้ง
“ปล่อยได้ไหม” ถ้าแข็งขืนไปคงจะถูกรัดอยู่อย่างนี้ ดีไม่ดีจะได้กลับกลายเป็นของเล่นบนเตียงซ้ำสอง
“โธ่...จะให้ผมปล่อยทำไมนะครับ อากาศเย็นๆ กอดกันอย่างนี้อบอุ่นจะตาย” ชายหนุ่มเปลี่ยนเป็นจับมือเรียวที่พยายามดึงออกด้วยมือข้างเดียว ส่วนอีกข้างก็ใช้ความชำนาญและความว่องไวทำการเปลื้องชุดที่โรสรินทร์ใส่ออกโดยที่หญิงสาวไม่ทันจะรู้สึกตัวด้วยซ้ำ