ห้องส่วนตัวที่หยางเล่อชินอ๋องได้จับจองล่วงหน้าเอาไว้ เมื่อครู่ก่อนจะมาถึงนี่เป็นห้องพิเศษที่อยู่บนชั้นสอง พวกเขาจะต้องเดินผ่านผู้คนมากมายหลายโต๊ะขึ้นไป ชินอ๋องอุ้มบุตรทั้งสองขึ้นมาพร้อมกันด้วยมือทั้งสองข้างแต่อิงอินห้ามเอาไว้ก่อน นางขออุ้มอิงเอินด้วยตัวเองถึงจะรู้ว่าท่านอ๋องสามารถอุ้มลูก ๆ ได้อย่างสบาย ๆ แต่นางก็รู้สึกขัดเขินกับสายตาของผู้คนที่มองมา การมีบุตรสักคนอยู่ในอ้อมกอดก็ช่วยลดอาการประหม่าได้อยู่ไม่น้อย มาถึงตอนนี้นางถึงรู้ว่าตัวเองคิดผิดที่แย่งอิงเอินมาจากท่านอ๋อง ก็มือข้างที่ว่างของเขากลับมาคว้าหมับเข้าที่มือของนางเสียนี่ จะขัดขืนก็ไม่ได้ก็คงต้องปล่อยให้เลยตามเลย 'เฮอะ! มือไวเสียจริง'
"ขอบใจเจ้า ที่ยังไว้หน้าให้ข้าบ้าง"
"รู้ตัวด้วยหรือเจ้าคะ โอ้อวดพอควรแล้วก็ปล่อยมือเถิดเจ้าค่ะ"
"หึ ๆ ๆ ยังไม่พ้นสายตาพวกนั้นเลย" หยางเล่อขบขันกับคำที่นางกล่าวว่าให้เขา 'โอ้อวดหรือ' ใช่เขาโอ้อวดและจะไม่ยอมปล่อยมือของนางกว่าจะมีโอกาสเช่นนี้ได้มันไม่ง่ายนะ ขอให้เขาได้กุมมือนี้ไปอีกสักนิดเถอะ แค่นี้หัวใจของเขาก็เต้นแรงยิ่งกว่าครั้งไหน ๆ เหมือนหนุ่มน้อยที่เพิ่งจะพบพานรักครั้งแรกไม่มีผิด
เหลาอาหารนับเป็นสถานที่เดียวในเมืองหลวงที่ทำให้เด็กน้อยทั้งสองพอใจรวมถึงอิงอินด้วย หลังทานมื้อกลางวันเสร็จสิ้นเจ้าแฝดก็พร้อมจะพากันหลับได้ทุกเมื่อและอีกครั้งที่พวกเขาได้ลงมาอวดโฉมให้ผู้คนพากันอิจฉา คนที่ยิ้มไม่หุบก็คงจะเป็นชินอ๋องส่วนอิงอินนางก็ได้แต่กลั้นขำจนเผยเป็นรอยยิ้มออกมา เพราะไม่คิดว่าเรื่องแค่นี้จะทำให้บุรุษร่างโตทั้งอายุก็ไม่ใช่น้อย ๆ ยังจะมาทำตัวเหมือนเด็กหนุ่มไปได้
"ข้าดีใจที่ทำให้เจ้าอารมณ์ดี" ขึ้นรถม้าเรียบร้อยแล้วหยางเล่อถึงได้พูดกับนาง หากพูดตอนเดินออกมาเขาเกรงว่ารอยยิ้มของนางจะหายไปเสียก่อน
"ข้าก็ไม่เคยอารมณ์เสียนี่เจ้าคะ"
นั่นปะไรเขาคิดผิดเสียที่ไหน จากที่กำลังยิ้มอยู่พอเขาพูดขึ้นนิดหน่อยนางก็หุบปากฉับทันที ใช่นางไม่เคยอารมณ์เสียใส่เขาก็จริงอยู่แต่ก็ไม่เคยยิ้มให้เลยสักครั้ง จากนั้นบรรยากาศภายในรถม้าก็เงียบสนิท คนหนึ่งก็เอาแต่จ้องหน้าอีกคนก็แสร้งทำเป็นมองไม่เห็น กว่ารถม้าจะวิ่งเข้าไปสู่ตำหนักเก่าได้ก็ทำเอาเกร็งไปหมด
"พรุ่งนี้ยามเซินข้าจะมารับเจ้ากับลูก ๆ เข้าวังหลวง" [ยามเซิน=15.00-16.59 น.]
"จะไม่อยู่หรือเจ้าคะ ข้าหมายถึงคืนนี้น่ะ" อิงอินหยุดนิ่งเพื่อทบทวนคำถามของตัวเองเมื่อเห็นชินอ๋องกำลังอมยิ้ม นางไม่ได้ตั้งใจจะถามแบบนี้เลยนะแค่คิดว่าหากลูกทั้งสองตื่นขึ้นมาพวกเขาอาจจะอยากรู้ก็เท่านั้น 'ทำไมถึงต้องอารมณ์ดีขนาดนั้นด้วย'
"อยู่สิ แต่พรุ่งนี้เช้าข้าจะต้องไปทำงานให้ฝ่าบาทแล้วจะกลับมารับเจ้ากับลูก ๆ อีกที" หยางเล่อส่งลูกน้อยเข้านอนแล้วจึงล่าถอยออกมา ขืนหาอุบายอยู่ต่ออาจจะทำให้นางอารมณ์เสียเปล่า ๆ แค่นางเอ่ยปากถามไถ่มันก็มากเกินพอแล้วสำหรับเขา
"ฮูหยิน พวกข้าเห็นท่านอ๋องเดินยิ้มหน้าบานออกไป ไม่ใช่ว่าท่านกับท่านอ๋อง คิก ๆ"
"คิดอะไรของพวกพี่น่ะ ไม่มีอะไรทั้งนั้นแหละ"
"ไม่มีก็ได้เจ้าค่ะ แต่สิ่งนี้ต้องมีนะเจ้าคะ"
"อะไรหรือ..ทำไมมันถึงมากมายขนาดนี้"
"ของพวกนี้ถูกส่งมาจากวังหลวงเจ้าค่ะ มีของข้ากับอาอวี่ด้วยนะเจ้าคะ ข้าไม่เข้าใจเลยทำไมข้าสองคนจะต้องเข้าวังหลวงกับท่านด้วย" เหลียนอ้ายถามด้วยความสงสัย เพราะนางกับน้องสาวไม่ได้มีความสำคัญสักนิดจะต้องเข้าเฝ้าพร้อมกับฮูหยินอิงทำไม
"ไปกับข้าที่ไหนมิใช่ว่ามีคนอยากให้พี่ทั้งสองคนไปด้วยหรือ ท่านรองแม่ทัพกงซาน ใช่คนนี้หรือไม่นะ" อิงอินแสร้งเอ่ยลอย ๆ ทั้งที่จริงมันก็เป็นเช่นนั้น
"ฮูหยินรู้เรื่องนี้ตั้งแต่เมื่อใดเจ้าคะ"
"ฮึ..เกี้ยวพากันประเจิดประเจ้อปานนั้น ไม่มีใครรู้สิแปลก ข้าอยากจะเล่าให้พี่ปินฟังเหลือเกินว่าเกิดอะไรขึ้นบ้างกับพวกพี่ทั้งสองคน"
"แล้วเห็นอะไรบ้างเจ้าคะ"
"เฮอะ! พวกท่านเนี่ยน่าไม่อาย" จะให้นางพูดออกมาหรือ ว่าบังเอิญไปเห็นพวกเขาจูบกัน แค่คิดใบหน้าของอิงอินก็ร้อนผ่าวไปหมด นางได้แต่ค้อนขวับให้กับสองสาวเพราะความเขินอาย
คิก ๆ สองสาวขบขันกับความเป็นเด็กน้อยของฮูหยินอิง การที่นางมีลูกแล้วถึงสองคนมันไม่ได้ช่วยให้นางหน้าหนาขึ้นเลยสักนิด
ตลอดบ่ายจนถึงค่ำพวกนางก็มีเรื่องให้สนทนากันอย่างสนุกสนานทั้งยังได้เลือกชุดงาม ๆ ไว้สวมใส่เข้าวังหลวงพรุ่งนี้อีกด้วย
เช้าของอีกวันก่อนจะเข้าวังหลวง มามาหวี่ยังได้นำนางกำนัลมาให้อิงอินไว้ใช้สอยและคอยแต่งตัวทำผมให้กับพวกนางก่อนจะเข้าวังหลวง ส่วนตัวของมามาหวี่ได้เดินทางกลับเข้าวังไปก่อนแล้ว
หลังมื้อกลางวันก็เป็นเวลาที่คนในตำหนักเก่าจะต้องเตรียมตัวเข้าวังหลวง นางกำนัลที่มามาหวี่ทิ้งไว้ให้ก็ทำงานได้อย่างยอดเยี่ยม พวกนางทั้งสามและเด็กอีกสองคนก็ถูกจัดการเรียบร้อย ก่อนที่ท่านอ๋องจะมารับในเวลาที่ถูกกำหนดไว้ ถึงจะไม่ชอบและไม่อยากจะไปเท่าใดนักแต่อิงอินก็ต้องจำยอม แค่ครั้งนี้ครั้งเดียวเท่านั้นที่นางจะยอมเข้าวัง พิธีการมากมายเช่นนั้นนางไม่ชอบเลยสักนิด เพียงอดทนเอาไว้พ้นวันนี้ไปพวกนางก็จะได้กลับอู่ซานเสียที ป่านนี้พี่สาวของนางคงจะใกล้คลอดเต็มทีแล้ว
จวนเจียนจะได้เวลาอิงอินจึงพาลูกทั้งสองออกมาด้านหน้าตำหนักที่มีท่านอ๋องกับท่านรองแม่ทัพรออยู่ และยังมีรถม้าคันเดิมกับรถม้าอีกคันของท่านรองแม่ทัพที่ประดับธงและตราสัญลักษณ์ของตระกูลกงอยู่ด้วย ทั้งสองคันดูยิ่งใหญ่และงดงามไม่แพ้กัน สกุลกงที่ใคร ๆ ก็รู้ว่าเป็นสกุลฝั่งของฮองไทเฮา แต่ใครจะไปคิดว่าท่านรองแม่ทัพเป็นถึงหลานที่ใกล้ชิดกับพระนางถึงเพียงนั้น
"ทีนี้รู้สาเหตุที่พี่ทั้งสองต้องเข้าวังหรือยังล่ะ"
"ไม่ใช่เรื่องสนุกเลยสักนิด ทำไมเขาไม่บอกเราตั้งแต่แรก แล้วพวกเราทั้งสองจะผ่านด่านของไทเฮาหรือเจ้าคะ ข้าไม่คิดว่าเขาจะเป็นสกุลกงสายหลักนี่ ข้าไม่ไปได้หรือไม่" เหลียนอวี่รู้ซึ้งถึงความต่ำต้อยในชาติกำเหนิดของตัวเองดี ถึงพวกนางสองคนพี่น้องจะเคยเป็นคุณหนูก่อนที่จะมาคัดตัวเป็นนางกำนัลก็เถอะ ก็แค่คุณหนูจากตระกูลพ่อค้าของเมืองเล็ก ๆ แห่งหนึ่ง ไหนเลยจะคู่ควรกับคุณชายใหญ่ของตระกูลกงสายหลักกันล่ะ
"ไม่ไปไม่ได้หรอกคิดเสียว่าไปเที่ยวในวังหลวง หากมันไม่ใช่ เราก็แค่กลับอู่ซาน" เหลียนอ้ายปลอบใจน้องสาว ทั้งที่ตัวนางเองก็แอบกลัวอยู่เหมือนกัน
[ฮองไทเฮาคือพระมารดาของจักรพรรดิองค์ปัจจุบันที่เคยดำรงตำแหน่งฮองเฮามาก่อน หรือจะเรียกแค่ไทเฮาก็ได้หากราชวงศ์นั้นมีไทเฮาแค่พระองค์เดียว]
อิงอินไม่ได้กังวลกับพวกนางสักนิด เรื่องนี้หากท่านรองแม่ทัพไม่มั่นใจก็คงไม่พาพวกนางทั้งสองเข้าเฝ้าไทเฮาเป็นแน่ นางรู้สึกยินดีกับพี่ทั้งสองด้วยใจจริง ถึงจะรักบุรุษคนเดียวกันแต่ดูแล้วก็ไม่น่าจะมีปัญหา.. แต่พอหันกลับมามองตัวเองนางไม่รู้ว่าชีวิตนี้จะกล้ามีใครอีกหรือไม่ ความรักแบบหญิงชายนางก็ไม่เคยได้สัมผัสสักครั้ง 'มันจะมีความรู้สึกอย่างไรนะ' ในขณะที่นางกำลังคิดอะไรอยู่นั้น อิงอินไม่รู้เลยว่ามีสายตาคู่หนึ่งกำลังจับจ้องมาที่นางมันเป็นดวงตาที่เปี่ยมไปด้วยความชื่นชมและความหวัง
อิงเล่ยกับอิงเอินเด็กน้อยที่ยังไม่รู้ประสาพากันวิ่งไปหาบิดา ทันทีที่เจอหน้า ทำอย่างกับไม่เคยเห็นหน้ากันมาแสนนานทั้งที่เมื่อเช้าก็ยังได้เจอหน้ากันอยู่เลย 'ช่างวิ่งมาได้จังหวะเหลือเกินให้เวลาบิดาได้มองนางในดวงใจนานกว่านี้หน่อยก็ไม่ได้' หยางเล่อบ่นอุบอิบให้กับบุตรทั้งสองที่วิ่งเข้ามาขัดจังจังหวะของช่วงเวลาอันแสนสุขพอดิบพอดี
"ท่านแม่งามมากใช่ไหมเจ้าคะ" อิงเอินถามผู้เป็นบิดา เพราะหนูน้อยเห็นว่าบิดาเอาแต่มองมารดาจนนิ่งค้างเป็นหุ่นไปแล้ว
"อืม..แม่ของเจ้างดงามมากจนพ่อละสายตาจากนางไม่ได้เลย" หยางเล่อกล่าวกับบุตรสาวยิ้ม ๆ
"ไปวังหลวงกันเถิดขอรับ เราจะได้กลับอู่ซานเสียที"
'ขัดบิดาเจ้าอีกแล้วนะ' ความต้องการของบุตรก็คือคำสั่งที่ชี้ขาดสำหรับชินอ๋อง เขาเองก็เบื่อเมืองหลวงไม่น้อยไปกว่าลูก ๆ เลย หยางเล่อจึงพาทั้งสองขึ้นรถม้าแต่ก็ยังเหลืออดีตภรรยา
"ขออภัย" เขาบอกนางแค่นั้นก่อนจะอุ้มนางขึ้นรถม้าไม่ต่างจากบุตรสาวเท่าใดเลย หากไม่ใช่เพราะชุดที่ยาวกรอมเท้าจนเดินไม่สะดวกไหนเลยนางจะยอมให้เขาอุ้ม…
วังหลวงเป็นสถานที่ที่อิงอินและบุตรไม่เคยเห็นมาก่อน มันจึงดึงดูดสายตาของทั้งสามคนเป็นอย่างมาก มันงดงามตั้งแต่ประตูของวังเลยเชียวแหละ
"เสด็จย่าอยู่ที่นี่หรือขอรับท่านแม่"
"ใช่แล้วจ้ะ"
"แล้วเสด็จลุงก็อยู่ด้วยหรือเจ้าคะ"
"อยู่ด้วยจ้ะ"
คำถามเหล่านี้ก็มีมาตลอดทาง เด็ก ๆ ใคร่จะรู้นางก็ตอบเท่าที่พอรู้ ไม่นานรถม้าก็จอดสนิทบนลานกว้าง ข้างนอกนั้นมีทั้งขันทีและองครักษ์มากมายมารอรับชินอ๋องเสด็จ พอลงจากรถม้าพวกเราก็ถูกส่งขึ้นเกี้ยวต่อเพื่อจะไปยังตำหนัก'กงหยา'ที่อยู่ห่างไกลจากที่นี่มากโขหากจะเดินก็คงจะเดินจนเหนื่อยหอบ อิงเล่ยกับอิงเอินคงจะตื่นเต้นเพราะทั้งสองดูเงียบจนผิดปกติ
"ลูก ๆ กลัวหรือจ๊ะ"
"ขอรับ/เจ้าค่ะ" สองแฝดตอบขึ้นพร้อมกัน
"ไม่ต้องกลัวท่านพ่อก็อยู่กับเราด้วยจะต้องไปกลัวอะไร" อิงอินปลอบลูก ๆ ทั้งที่นางเองก็ไม่รู้ว่าท่านอ๋องจะทำอะไรได้บ้าง ในวังหลวงที่นางเคยได้ยินมาก็มีแต่เรื่องน่ากลัว หากนางกับลูกทั้งสองคนถูกกักขังไว้ที่นี่แล้วนางจะทำอย่างไรดี ความคิดมันฟุ้งซ่านไปหมด จนเสียงฝีเท้าของคนข้างนอกเริ่มจะหยุดเดินทำให้อิงอินรู้ว่าพวกนางได้มาถึงตำหนัก'กงหยา'แล้ว ผู้ที่เปิดเกี้ยวรับเราสามแม่ลูกลงมาก็คือท่านอ๋อง ด้วยใบหน้าและท่าทางสบาย ๆ ของเขาทำให้อิงอินคลายกังวลลงไปเยอะพอสมควร ชินอ๋องอาสาอุ้มบุตรทั้งสองคนซึ่งนางก็ไม่ได้ขัดอะไร ดูเหมือนว่าเด็กทั้งสองก็อยากจะให้บิดาอุ้มอยู่เหมือนกัน ขันทีอาวุโสพาเราทั้งหมดเข้าเฝ้าไทเฮาตามรับสั่ง กว่าจะได้เข้าเฝ้าพิธีการก็ช่างมากมายจนทำให้ชินอ๋องหงุดหงิด
"หากจะเข้าเฝ้าเสด็จแม่ยากเย็นถึงเพียงนี้ เราจะกลับแล้วนะ" ชินอ๋องตรัสขึ้นเสียงดังหวังจะให้บางคนที่อยู่ข้างในได้ยินและมันก็ได้ผล หากหยางเล่อไม่ขู่ฝ่าบาทก็คงไม่หยุดกลั่นแกล้งเขาเป็นแน่
เมื่อได้เข้าเฝ้าตามประสงค์ อิงเล่ยและอิงเอินจึงกลายเป็นจุดสนใจของคนทั้งหมด เด็กทั้งสองเป็นแฝดชายหญิงที่มีใบหน้าแตกต่างกันโดยสิ้นเชิง เป็นครั้งแรกที่ไทเฮาได้อุ้มหลานอย่างสบายใจและไม่มีฝั่งใดคอยอิจฉาตาร้อน แล้วตอนนี้พระนางก็หลงรักพวกเขาเสียแล้ว อิงเอินก็ช่างจ้อเก่งส่วนอิงเล่ยเมื่อได้คุ้นชินกับที่นี่แล้วก็หมดความกลัวเกรงต่อฝ่าบาทโดยสิ้นเชิง เพราะใบหน้าที่ไม่ได้ต่างจากบิดาเลยทำให้เด็กน้อยคุ้นเคยโดยง่าย
อิงอิน เหลียนอ้ายและเหลียนอวี่ถูกไทเฮาเรียกเข้าเฝ้าเป็นการส่วนพระองค์
"อิงอิน อัยเจียขอโทษเจ้าแทนบุตรผู้โง่เขลาด้วยนะ แต่จุดเริ่มต้นก็มาจากอัยเจียเองที่อยากให้ชินอ๋องมีชายาเสียที จึงได้แอบอ้างเรื่องราวต่าง ๆ นานาจนทำให้เป็นเรื่องใหญ่ เจ้าอย่าโกรธ ชินอ๋องเลยนะ"
"หม่อมฉันไม่ได้โกรธแล้วเพคะ"
"เช่นนั้น กลับมาเป็นหวางเฟยให้ชินอ๋องได้หรือไม่ ไหน ๆ ก็มีบุตรด้วยกันแล้วแต่งคืนอีกครั้งจะเป็นไรไป"
"หม่อมฉันให้สิทธิ์เต็มที่เรื่องบุตรกับท่านอ๋องได้เพคะ แต่เรื่องแต่งงานหากไม่มีความรักมันก็คงจะจบลงเหมือนเดิมเพคะ"
"เป็นแบบนี้เอง อัยเจียไม่บังคับเจ้าหรอกแต่เด็ก ๆ คงจะต้องให้ใช้แซ่หยางเจ้าคงจะไม่ขัดใช่หรือไม่"
"หม่อมฉันไม่ขัดเพคะ"
"อืม ดี ๆ" กงหยาไทเฮาได้แต่ภาวนาให้บุตรชายเกี้ยวพาอดีตลูกสะใภ้คนนี้ให้สำเร็จเสียที ตามที่มามาหวี่รายงานมาชินอ๋องก็ยังพอมีโอกาสอยู่บ้าง
"เจ้าสองคน เหลียนอ้ายกับเหลียนอวี่ใช่ไหม เข้ามาหา อัยเจียใกล้ ๆ สิ"
"เพคะ ไทเฮา"
"อัยเจียฝากกงซานด้วยนะ พวกเจ้าไม่ต้องกังวลเรื่องสกุลกงหรอก แค่กงซานได้แต่งงานพวกเขาก็แทบจะปิดเมืองฉลองกันแล้ว" ไทเฮาตรัสอย่างอารมณ์ดี จะไม่ดีได้อย่างไรก็หลานชายของนางพาหลานสะใภ้มาให้ถึงสองคนและยังงดงามถึงเพียงนี้ นิสัยใจคอหรือก็ไม่ได้ชั่วอะไร
"ขอบพระทัยเพคะ"
กว่าไทเฮาจะสนทนากับพวกนางเสร็จก็ผ่านไปแล้วหนึ่งชั่วยาม พอออกมาเหล่าบุรุษและบุตรของนางก็หายไปอย่างไร้ร่องรอย อิงอินมองหาจนทั่วก็ไม่เจอ นางไม่ได้กังวลอะไรเกี่ยวกับคนในวังหลวงหรอกแต่นางกลัวว่าเด็ก ๆ จะซนเกินไปต่างหาก
"ฮูหยินอิง มองหาท่านอ๋องหรือเจ้าคะ"
"มามาหวี่ พวกเขาไปไหนกันหมดเจ้าคะ"
"ท่านอ๋องน้อยกับท่านหญิงหลับไปแล้วเจ้าค่ะ ส่วนชินอ๋อง ดื่มอยู่กับฝ่าบาทและท่านรองแม่ทัพ ฮูหยินอิงและแม่นางเหลียนทั้งสองไปพักที่เรือนรับรองกับท่านอ๋องน้อยและท่านหญิงก่อนเถิดเจ้าค่ะ"
ก็คงต้องเป็นเช่นนั้น อิงอินได้แต่ปล่อยเลยตามเลย วันนี้พวกนางจะได้กลับตำหนักเก่าหรือเปล่าก็ไม่รู้...