อิงเล่ย / หยางเล่อ

2016 Words
เมื่อถูกสหายรักลากออกมาจากที่พำนักได้แล้ว เขาและกงซานก็พากันเดินทางออกจากเมืองหลวงทันทีเพื่อจะไปพบกับมั่วชงที่เมืองอู่ให้ทันเวลานัดหมาย ก่อนที่ทั้งสองจะต้องเดินทางขึ้นเหนือต่อไป แม้จะไม่ได้พบกับสหายผู้นี้มาหลายปีเพราะหน้าที่การงานของพวกเขา เพราะต่างฝ่ายต่างก็ไม่ได้อยู่ในเมืองหลวงเหมือนกัน ทั้งเวลาว่างและวันหยุดก็ไม่เคยจะตรงกันเลย แต่คำว่าสหายรักก็ยังใช้ได้กับพวกเขาสามคนเสมอ ครั้งนี้มั่วชงได้ส่งจดหมายนัดมาให้ถึงจวนของตระกูลกง 'แปลกที่จดหมายไม่ได้ถูกส่งมาที่วัง สหายผู้นี้รู้ความเคลื่อนไหวของพวกเขาตลอดเวลาเลยสินะ' ไม่ได้อยู่ในเมืองหลวงแท้ ๆ แต่กลับรู้ว่าพวกเขาพำนักอยู่ที่ใด ตอนงานแต่งเทียบเชิญก็ไม่ได้ส่งมาให้มันผิดวิสัยจริง ๆ แต่ก็ช่างเถอะวันนี้เขาก็จะได้ทราบถึงเหตุผลนั้นแล้ว "หยางเล่อเจ้าคิดว่ามั่วชงจะมีสิ่งใดมาอวดพวกเราหรือไม่ อย่างเช่น สหายข้ากำลังจะเป็นพ่อคนแล้วนะ อะไรประมาณนี้" "อืม.." หยางเล่อไม่ได้กล่าวอะไรกลับไปเลย นอกจากเสียงตอบรับเพียงสั้น ๆ หึ ๆ กงซานอดขำไม่ได้เมื่อคำพูดของเขาดันไปสะกิดใจของสหายรักเข้า เขาไม่ได้อยากจะตอกย้ำซ้ำเติมสหายเท่าใดนักหรอก แค่อยากจะให้หยางเล่อแสดงอารมณ์อะไรออกมาบ้างก็เท่านั้นดีกว่าจะมาทำหน้าซังกะตายเช่นนี้ ตั้งแต่ออกมาจากตำหนักเก่าหน้าตาก็จะเป็นแบบนี้ตลอดเลย เมืองอู่ โรงเตี๊ยมอู่หรง... "อาเล่ยเป็นอะไรไป ตื่นเต้นหรือ" มั่วชงสะกิดเด็กน้อยที่นั่งขยับตัวขยุกขยิกอยู่อย่างไม่เป็นสุขนักทั้งสีหน้าก็ส่อแววกังวลเกินกว่าที่เด็กน้อยวัยห้าขวบพึงจะมี ไอ้ที่ทำตัวสงบนิ่งตลอดมานั้นมันคือการตบตาเขาชัด ๆ "ท่านพ่อ ท่านคิดว่าคนผู้นั้นจะรู้หรือไม่ว่าข้าเป็นลูก" อิงเล่ยทำตัวไม่ถูกยิ่งใกล้เวลาที่จะได้พบบิดาแท้ ๆ เจ้าเด็กน้อยก็ยิ่งตื่นเต้น หัวใจดวงน้อยก็เต้นโครมครามเหมือนจะหลุดออกมาจากอกได้ทุกเมื่อ "หากเขาไม่รู้เจ้าก็ไม่สมควรเรียกเขาว่าพ่อ" ที่เขาบอกกับอาเล่ยเขาไม่ได้ล้อเล่น อาเล่ยมีใบหน้าคล้ายกับหยางเล่อมากกว่าแปดส่วนด้วยซ้ำ หากจะย้อนไปในวัยเด็กก็คงจะเป็นแฝดสามของตระกูลหยางไปแล้ว หลักฐานบนใบหน้าชัดเจนถึงเพียงนี้หากสหายสูงศักดิ์จำใบหน้าในวัยเด็กของตัวเองไม่ได้ก็เกินไปแล้ว "ฮิฮิ ท่านพ่อหวงข้าหรือ" "แน่นอนสิ พ่อเลี้ยงพวกเจ้ามาหลายปีนี่ถือว่าใจกว้างแล้วนะ พ่อยังคิดไม่ออกเลยหากน้องสาวของเจ้ารู้ว่าบิดาแท้ ๆ ยังมีชีวิตอยู่นางจะเป็นเช่นไร เพราะนางคิดแต่ว่าบิดาได้ตายไปแล้วในสนามรบ" ก็ไม่มีใครบอกกับนางเสียหน่อยว่าบิดาได้ตายไปแล้วแต่นางกลับคิดไปเอง เฮ้อ "ทำไมไม่บอกความจริงให้น้องรู้ขอรับ ทีกับข้าท่านพ่อยังบอกได้เลย" "มันเหมือนกันที่ไหน อาเอินไม่เหมือนเจ้านางยังเด็กและไม่เข้าใจความเป็นไปของผู้ใหญ่หรอก มีแต่จะเคี่ยวเข็ญให้มารดาพาไปหาบิดาก็เท่านั้น" "ข้าก็ยังเป็นเด็ก ข้ายังรู้ได้เลย" "ก็พ่อเพิ่งจะบอกไปว่าเจ้ากับน้องไม่เหมือนกัน" "ข้าเหมือนบิดาไหมขอรับ" อิงเล่ยถามต่อ "ฮึ..เห็นหน้าเจ้าก็รู้เองนั่นแหละ" เมื่อเวลานัดมาถึงไม่นานเท่าใดนักก็มีบุรุษรูปร่างงดงามดุจนักรบเดินเข้ามาในโรงเตี๊ยมถึงสองคนนับเป็นที่สะดุดตาของเหล่าสตรีและชายงามอยู่ไม่น้อย เมืองอู่หรือจะเคยมีบุรุษรูปงามเช่นนี้เข้ามาเยือน บางคนถึงกับอยากวิ่งไปกระชากหน้ากากของชายหนุ่มอีกคนออกเพื่อจะดูว่าหน้าตาจะหล่อเหลาดังเช่นสหายที่เดินมาด้วยกันหรือไม่ หรือว่าจะอัปลักษณ์เสียจนต้องสวมหน้ากากเพื่อปิดบังใบหน้าเอาไว้ "เมืองอู่มีบุรุษงดงามเช่นนี้ด้วยหรือ ข้าชอบบุรุษที่ไม่สวมหน้ากากเขาดูอบอุ่นดีเจ้าว่าไหม ส่วนบุรุษที่สวมหน้ากากนั่นถึงแม้ภายใต้หน้ากากอาจจะหล่อเหลาแต่เขาก็ดูน่ากลัวเกินไปเจ้าว่าไหม" "ก็แล้วแต่เจ้าจะว่าเพราะข้าชอบคนโน้นคนที่มากับเด็กน้อยน่ะ ทั้งหล่อเหลาทั้งใจดีทั้งอบอุ่นเจ้าว่าไหม" "นี่..เจ้าล้อเลียนข้าหรือ" เสียงของสตรีกลุ่มนี้คุยกันก็ไม่ได้เบานัก เพื่อจะทำให้ตัวเองเป็นจุดสนใจจนแขกเหรื่อในโรงเตี๊ยมต่างก็พากันหันมามอง ยกเว้นบุรุษทั้งสองที่เดินผ่านไปพวกเขาไม่ชายตาแลพวกนางเลยแม้แต่น้อย "จะเรียกร้องความสนใจจากพวกเขาคงยากอยู่หรอกนะ นั่นมันท่านแม่ทัพกับท่านรองแม่ทัพแดนเหนือนี่นา สาวงามในเมืองหลวงมีตั้งมากมายพวกเขายังไม่สนใจเลย นับประสาอะไรกับพวกเจ้าแม้แต่สาวงามเมืองอู่ก็ยังไม่เคยได้เป็น ฮิฮิ" เป็นบุรุษหนุ่มรูปงามผู้หนึ่งที่อยู่ในกลุ่มของหญิงสาวกล่าวขึ้นมา 'เฮ้อพวกนางช่างไม่เจียมตัว' "ท่านพ่อใช่เขาหรือไม่ขอรับ" บุรุษท่าทางองอาจสองคนที่กำลังเดินเข้ามาหาพวกเขา จะมองอย่างไรอิงเล่ยก็รู้ว่าใครคือบิดาของตน จากท่าทางที่พ่อบุญธรรมเคยพูดถึงบุรุษที่สวมหน้ากากครึ่งหน้านั่นคือบิดาของเขาแน่นอน "อืม.." "ฮัวมั่วชงไม่เจอกันเสียนาน" กงซานทักทายสหายก่อนจะถึงโต๊ะด้วยซ้ำ "นั่งก่อนสิ" ก่อนที่หยางเล่อจะนั่งลงสายตาก็ปะทะกับเด็กน้อยที่นั่งแบบไม่ไหวติงอยู่เคียงข้างกับสหายรักอย่างจัง ๆ ช่างเหมือนเขากับฝ่าบาทเมื่อตอนเป็นเด็กยิ่งนักหรือนี่คือสาเหตุที่มั่วชงต้องการจะพบพวกเขา "เด็กคนนี้คือ.." "อ้อ..นี่คืออาเล่ยบุตรชายของข้าอายุห้าขวบแล้ว" "มั่วชงเจ้าเพิ่งจะแต่งงานได้ปีกว่ามีบุตรที่โตขนาดนี้แล้วหรือ แต่ทำไมหน้าตาช่างคุ้นนักว่าไหมหยางเล่อ" "อาเล่ย" หยางเล่อพึมพำชื่อของเด็กน้อย แม้แต่ชื่อก็ยังคล้ายตอนนี้เขาแทบจะทำตัวไม่ถูกทั้งคำถามของสหายและเด็กน้อยที่กำลังจ้องมองเขาไม่วางตา หยางเล่อหันไปมองสหายทั้งสองเพื่อขอคำตอบและก็เป็นอย่างที่เขาคิด หัวใจของเขาเหมือนถูกบีบอัด จนแทบจะหายใจไม่ออกถึงคราวจะได้เจอบุตรชายมันก็ช่างง่ายดายเสียเหลือเกิน เหมือนว่าเขาจะโดนสหายรักกลั่นแกล้งถึงว่าตลอดห้าปีที่ผ่านมาเขาถึงตามหานางกับลูกไม่เจอที่แท้นางก็อยู่ใต้ปีกของสกุลฮัวนี่เอง "ถอดหน้ากากได้ไหมขอรับท่านแม่ทัพ" เด็กน้อยที่นั่งอยู่เอ่ยขึ้นเป็นครั้งแรก "อ่อ" ถึงจะยังมึนงงแต่มือก็ยังทำตามที่เด็กน้อยสั่ง เป็นครั้งแรกที่หยางเล่อได้ถอดหน้ากากท่ามกลางสายตาของผู้คนมากมาย ตั้งแต่เล็กจนโตไม่เคยมีผู้ใดเลยที่สามารถสั่งให้เขาถอดหน้ากากได้แต่อาเล่ยนับเป็นข้อยกเว้น หัวใจของหยางเล่อรู้สึกปวดแปลบขึ้นมาทันที คงเป็นเพราะว่าอาเล่ยไปเรียกบุรุษอื่นว่าบิดาแต่กลับเรียกเขาเพียงท่านแม่ทัพกระมัง แม้ในใจจะเจ็บแต่จะทำอย่างไรได้เล่าเขาได้ละเลยบุตรของตัวเองมาตั้งห้าปีแล้วนี่ "ใส่หน้ากากทำไมขอรับหน้าก็ไม่มีแผลนี่นา" เด็กน้อยเพ่งพิศใบหน้าของผู้เป็นบิดาทั้งยังเอามือน้อย ๆ ยื่นไปลูบคลำอย่างไม่กลัวเกรง หยางเล่อยกตัวเด็กน้อยขึ้นมานั่งบนตักพร้อมกับตอบข้อข้องใจเรื่องหน้ากาก "ที่ต้องใส่เพราะว่ามันจำเป็น แล้วเจ้ารู้ใช่ไหมว่าข้าเป็นใคร" "อือ.." เด็กน้อยตอบเพียงสั้น ๆ "รู้แล้วทำไมยังเรียกท่านแม่ทัพ" "ข้าเรียกท่านว่าบิดาได้หรือขอรับ" คราวนี้เป็นคำถามของเด็กน้อยที่ทำให้หยางเล่อสะอึกอย่างแรงเหมือนว่ามีก้อนกลม ๆ คั่งค้างอยู่ในอก เขารู้สึกสะท้อนในใจแม้แต่บุตรชายยังต้องขออนุญาตก่อนเพื่อจะได้เรียกเขาว่าบิดาอย่างนั้นหรือ "ได้สิ เจ้าเรียกข้าว่าท่านพ่อได้" หยางเล่อบอกบุตรชายเสียงสั่นเครือ "ทะ..ท่านพ่อ ท่านจะไปหาน้องกับข้าหรือไม่ขอรับ" "น้องหรือ! เจ้ามีลูกกับนางแล้วหรือมั่วชง" ถึงจะเตรียมใจเอาไว้บ้างแล้วแต่ก็อดตกใจไม่ได้อยู่ดี หยางเล่อจึงหันไปถามเอาความจริงกับสหาย "ข้าพูดถึงน้องสาวฝาแฝดของข้าต่างล่ะ" อิงเล่ยขัดขึ้น "เจ้ามีแฝดด้วยหรือ" "ขอรับ แต่น้องยังไม่รู้ว่ามีท่านอยู่ ท่านพ่อจะไปหานางไหมขอรับ" "ไปแน่นอน..พ่อจะไปกับเจ้า" หยางเล่อตอบออกไปอย่างลิงโลดที่จะได้เจอบุตรสาวอีกคน สวรรค์ช่างเมตตาแท้ ๆ ที่ไม่ใจร้ายกับคนโง่งมเช่นเขา แม้ไม่อยากให้อิงอินตั้งครรภ์ในตอนแรกแต่พอรู้ระแคะระคายว่านางอาจจะมีบุตรเขาก็ไม่ได้นิ่งนอนใจที่จะตามหานางและลูกเลย การได้เป็นบิดามันดีอย่างนี้นี่เอง "เดี๋ยวก่อนสหายเจ้ายังไปวันนี้ไม่ได้ อิงอินเอาข้าตายแน่ บ้านสกุลอิงที่หมู่บ้านอู่ซานก็ไม่ได้ไกลวันหลังเจ้าค่อยไปก็แล้วกัน ให้นางได้เตรียมใจเสียก่อนเถอะ" "ข้าขอโทษ ข้าลืมไปว่าเจ้ากับนาง.." "เจ้าคิดได้เช่นนั้นก็ดี เรื่องของอาเล่ยกับอาเอินเจ้าค่อยไปเจรจากับนางเอง นางไม่ใจร้ายถึงกับไม่ยอมให้บิดาและบุตรพบเจอกันหรอก แต่ข้าขออย่างเดียวไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นอย่าเอาตำแหน่งของเจ้ามาบังคับนาง" มั่วชงไม่ได้บอกความจริงระหว่างเขากับอิงอินให้สหายรู้ เพราะว่าอย่างไรพวกเขาก็ไม่ได้รักกัน อีกหน่อยก็คงรู้ความจริงเองนั่นแหละ "ได้ข้าสัญญา" เมื่อให้คำมั่นกับสหายแล้วเขาก็จำต้องปล่อยบุตรชายลงจากตัก "อาเล่ย พ่อจะไปหาเจ้ากับน้องอีกครั้งก่อนไปยังแดนเหนือ ให้เจ้าจำเอาไว้ว่าพ่อไม่ได้รังเกียจพวกเจ้า เพราะพ่อไม่รู้ว่ามารดาของเจ้าท้องพ่อเลยไม่ได้ใส่ใจนางและลูกทั้งสองคน พ่อขอโทษนะ อาเล่ย" น้ำตาที่พยายามสะกดกลั้นเอาไว้เพราะไม่อยากให้บุตรชายได้เห็น แต่ตอนนี้มันกลับไหลออกมาโดยไม่รู้ตัว "ข้ายกโทษให้ท่านพ่อก็ได้ สัญญานะขอรับว่าท่านจะไปหาข้ากับน้อง" "อืม..พ่อสัญญา ขอบใจนะลูกชาย" ฟอดด.. หยางเล่อหอมแก้มบุตรชายหนัก ๆ ไปหนึ่งที "คิก ๆ ท่านพ่อสวมหน้ากากเถอะร้องไห้แบบนี้อายเขา" อิงเล่ยใช้นิ้วเล็กป้อมของตัวเองเกลี่ยน้ำตาออกจากใบหน้าบิดาเบา ๆ ก่อนจะจุ๊บแก้มปลอบใจไปหนึ่งทีเช่นกัน ฮ่า ๆ ๆ ๆ สหายรักทั้งสองอดหัวเราะไม่ได้ ชินอ๋องน่ะหรือร้องไห้ ไปเล่าให้ใครฟังใครเขาจะเชื่อกันเล่า
Free reading for new users
Scan code to download app
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    Writer
  • chap_listContents
  • likeADD