สัญญาณเตือน

2788 Words
ไผ่ วันนี้เป็นวันเปิดเทอมวันแรกของต้าหนิง เธอคือแฟนคนสวยของผมเองครับ เราคบกันมาได้สามปีแล้ว เธอน่ารัก สดใส เธอทำให้โลกที่เคยเงียบเหงาของผมกลับมาสดใสและมีชีวิตชีวาอีกครั้ง ผมเคยมีแฟนมาก่อนที่จะคบกับต้าหนิง ผมกับเธอคนนั้นเราคบกันตั้งแต่มอต้นจนถึงมอปลาย วันหนึ่งเราทะเลาะกัน มันไม่ได้ร้ายแรงอะไรมากสำหรับผมนะ แต่กลับกลายเป็นว่ามันทำให้เธอบอกเลิกผม เพียงแค่ว่าเธออยากให้ผมไปเรียนที่เดียวกับเธอ นั่นก็คือ เรียนบริหารธุรกิจ ซึ่งผมก็ให้เหตุผลว่าผมไม่ชอบทางนั้น ผมไม่ถนัด ผมชอบเล่นกีฬา ผมชอบฟุตบอล ผมอยากติดทีมชาติเหมือนเพื่อนของผม เพราะมันคือความใฝ่ฝันตั้งแต่เด็กที่ผมอยากจะทำมันให้สำเร็จ แต่เธอกลับไม่เข้าใจ เธอมองว่ามันดูไม่มีอนาคต ดูไม่มีความเจริญก้าวหน้า เธอต้องการสังคมที่ใส่สูทผูกไท ซึ่งผมทำให้เธอไม่ได้... มีสิ่งหนึ่งหลุดออกมาจากปากเธอก่อนที่เราจะเลิกกันอย่างถาวร “เห็นว่าบ้านรวยก็นึกว่าจะทำให้ฉันมีหน้ามีตาได้ แทนที่จะเดินตามรอยพ่อแม่กลับอยากเริ่มต้นใหม่ให้ตัวเองลำบากไปทำไมก็ไม่รู้ ฉันไม่น่ามาเสียเวลาด้วยเลย” ตลอดระยะเวลาสี่ห้าปีที่คบกันมา ผมพึ่งรู้ว่า เธอคิดกับผมแบบนี้เองเหรอ เธอสนแค่เงินในกระเป๋า เธอไม่ได้สนความรักความใส่ใจที่ผมมอบให้เธอไปเลย ผมได้เจอกับต้าหนิงที่ห้างสรรพสินค้าในร้านบิงซู แวบแรกที่ได้เห็นรอยยิ้มแสนสดใสของต้าหนิง มันก็ทำให้ผมเผลอยิ้มตาม จนเพื่อนในกลุ่มแซวแล้วมันก็ยุให้ผมเข้าไปทำความรู้จักกับต้าหนิง ถึงจะมีอุปสรรคบ้างแต่ก็ทำอะไรผมไม่ได้อยู่ดี ในวันที่ผมกำลังจะเข้าคัดเลือกตัวเพื่อเป็นนักกีฬาทีมชาติ ต้าหนิงก็โทรมาหาผมพอดี เธอบอกว่า เธอตกลงที่จะคบกับผม มันทำให้ผมดีใจมาก พอกำลังใจดีอะไรๆ มันก็ดูดีไปหมด ผมสามารถผ่านการคัดเลือกเป็นนักกีฬาทีมชาติได้ แต่หลังจากที่ผมติดทีมชาติแล้วก็ไม่ค่อยมีเวลาให้ต้าหนิงเลย แต่เธอก็ไม่เคยงอแงหรือเรียกร้องอะไร มีแต่คอยให้กำลังใจผมอยู่เสมอ เมื่อเช้าผมไปส่งต้าหนิงที่มหาลัย ผมไม่ได้ตั้งใจจะฉวยโอกาสกับเธอเลย เพียงแต่ว่า ผมเห็นไอ้ราเรซ มันกำลังยืนมองมาที่ต้าหนิง แล้วความหึงหวงก็เกิดขึ้นกับผม ผมรู้ว่ามันชอบต้าหนิง แล้วคำพูดที่มันเคยบอกไว้กับผมเมื่อตอนที่แข่งฟุตบอลกันนั้นก็ผุดขึ้นมาในหัว ‘มึงอ่อนให้กูเหรอ’ ‘มึงชอบต้าหนิงจริงไหม’ ‘กูถึงได้พนันกับพวกมึงไง กูชอบต้าหนิง’ ‘ดี’ ‘สรุปมึงอ่อนให้กูจริงๆ ใช่ไหม’ ‘เปล่า กูแค่ฝากไว้ก่อน ถ้ากูพร้อมเมื่อไร กูจะมาเอาคืน...’ ‘กูไม่คืน’ “แต่กูจะเอา” นั้นคือสิ่งที่มันพูดกับผมในวันนั้น มีแค่ผมกับมันเท่านั้นที่รู้... วันนี้ผมว่างทั้งวันไม่มีอะไรทำ พอดูนาฬิกาใกล้เวลาไปรับต้าหนิง ผมก็ขับรถไปรอที่มหาลัยของต้าหนิง ผมเห็นน้องๆ ปีหนึ่งยังทำกิจกรรมรับน้องไม่เสร็จผมก็นั่งรอไปพลางๆ ไม่นานก็เห็นพวกเด็กปีหนึ่งเดินกลับบ้านกัน แต่ผมกลับไม่เห็นต้าหนิงเดินมากับเพื่อน แก้มใสก็ไม่เห็น เห็นแค่แพรวกับน้ำ ผมเดินเข้าไปถามแพรวกับน้ำทันที “ต้าหนิงล่ะ” “อ้าว พี่ไผ่ สวัสดีค่ะ ต้าหนิงกลับบ้านไปแล้วค่ะ เห็นพี่ราเรซมาบอกว่าต้าหนิงไม่สบาย แล้วพี่เขาก็อาสาไปส่ง” คำตอบของแพรวมันทำให้ผมเผลอกำหมัดแน่น มันกล้าดียังไงมายุ่งกับแฟนของผม ต้าหนิงไม่สบายงั้นเหรอ เมื่อเช้าก็ยังเห็นดีๆ อยู่เลย ผมเดินกลับมายังรถของตัวเองอย่างเร่งรีบแล้วก็ขับออกจากมหาลัยไปยังบ้านของต้าหนิงทันที ทีที คลับ “สวัสดีครับม้า” ผมเดินเข้าไปสวัสดีแม่ของแฟน ซึ่งท่านก็ยิ้มใจดีเหมือนอย่างเคย “มาหาน้องเหรอ เดี๋ยวม้าไปตามให้ ดื่มอะไรรอก่อนเนอะ” แล้วท่านก็ถือจานเค้กกับโกโก้ปั่นมาให้ผม ผมยื่นมือไปรับจานเค้กกับโกโก้เดินไปนั่งรอที่โต๊ะ ผมนั่งเล่นโทรศัพท์ไปพลางๆ รอต้าหนิง แต่แล้วสายตาของผมก็แลไปเห็น ...ไอ้ราเรซ มันเดินออกมาจากตัวบ้าน แล้วหันมาแลบลิ้นเลียริมฝีปากบนของตัวเองอย่างกวนตีน มันจงใจยั่วโมโหผม ผมพยายามนั่งข่มอารมณ์ของตัวเองไม่ให้เดือดไปกับกิริยากวนตีนของมัน มันต้องการให้ผมมีปัญหากับต้าหนิง ไม่มีทางซะหรอก... ให้หลังไอ้ราเรซออกไปได้สักพักต้าหนิงก็เดินมา “รอนานไหมคะ” ต้าหนิงเดินมานั่งโต๊ะตรงข้ามกับผม “ไม่นานค่ะ” ผมตอบพร้อมกับส่งยิ้มหวานไปให้ต้าหนิง “พี่ไปรับต้าที่มหาลัยมา แต่เพื่อนๆ บอกว่าต้าไม่สบายก็เลยกลับก่อน” “ใครบอกพี่ไผ่เหรอคะ” ต้าหนิงมีสีหน้างุนงงอย่างเห็นได้ชัด แล้วทำไมใจของผมมันถึงได้เต้นแรงขนาดนี้ เหมือนกับว่ามันกำลังกลัวอะไรบางอย่าง... เธอไม่ได้มีอะไรปิดบังผมอยู่ใช่ไหม “ก็เพื่อนที่ชื่อแพรวกับน้ำไง เขาบอกว่ารุ่นพี่ที่คณะบอกมาแบบนั้น” ผมเลือกที่จะใช่คำว่ารุ่นพี่ ทั้งที่รู้อยู่แล้วว่ารุ่นพี่ที่ว่าคือไอ้ราเรซ ต้าหนิงดูแปลกๆ ไปนะ ระหว่างที่คุยกัน ต้าหนิงพยายามหลบสายตาของผมตลอด ทั้งที่เธอไม่เคยเป็นแบบนี้มาก่อนเลย ไอ้เรซ... ผมอยากกระทืบมันนัก “อ๋อค่ะ” ผมลอบสังเกตใบหน้าหวานในตอนนี้ ที่ดูมีความกังวลอยู่หน่อยๆ นี่ผมกำลังระแวงแฟนตัวเองอยู่ใช่ไหม ทำไมต้องรู้สึกแบบนั้นด้วยวะ! “แล้วเป็นไงบ้าง” “ต้าไม่เป็นไรแล้วค่ะ” ต้าหนิงพยายามยิ้มให้ แต่ผมรู้สึกว่ารอยยิ้มของต้าหนิงในตอนนี้ดูไม่เป็นธรรมชาติเอาซะเลย “เมื่อกี้พี่เห็นเพื่อนของพี่ชายต้าหนิงด้วย พี่ชายกลับมาบ้านแล้วเหรอ” ผมลองเชิงถาม “อ๋อ เฮียโต้งไม่ได้มาหรอกค่ะ พอดีว่าพี่ราเรซเขามาทำธุระแถวนี้ ต้าก็เลยขอติดรถมาด้วย” และคำตอบของต้าหนิงมันทำให้ใจผมแทบร่วงลงไปกองกับพื้น ทำไมต้องโกหกพี่ด้วย ...ต้าหนิง ผมไม่รู้ว่าต้าหนิงคิดอะไรอยู่ถึงได้ตอบออกมาแบบนั้น หรือเธออาจจะกลัวผมโกรธ ตอนนี้ใจผมมันเริ่มระแวงนิดๆ ไอ้ราเรซมันทำสำเร็จแล้วล่ะ มันทำให้ผมรู้สึกไม่ไว้ใจต้าหนิง คงถึงเวลาแล้วสินะ มันคงจะกำลังทำตามที่พูดกับผมไว้ แต่ผมไม่มีวันให้มันทำได้สำเร็จหรอก... ผมก็ไม่ยอมเหมือนกัน ต้าหนิง เช้าวันนี้ฉันไม่อยากจะทำอะไรเลยแม้แต่วิ่งก็ไม่อยาก ไปเรียนก็ยิ่งแล้วใหญ่ ฉันอาย... อายที่จะเจอหน้าใครบางคน ต้องคอยระแวงเขาอยู่ตลอดเวลา ไม่รู้ว่าจะโดนแกล้งอะไรอีก วันนี้พี่ไผ่ไม่ได้ไปส่งฉันเหมือนเมื่อวาน เพราะพี่เขาต้องไปเก็บตัวฝึกซ้อมกับทีม เพราะมีตารางการแข่งขันเร็วๆ นี้ เขาต้องเต็มที่กับการซ้อมเพื่อที่จะได้ลงเล่นเป็นตัวจริงของทีม ตั้งแต่เมื่อวานฉันก็ไม่ได้เจอแก้มใสไม่ได้คุยกันด้วย ฉันหยิบจึงโทรศัพท์ขึ้นมากดโทรหาเพื่อน “ว่าไง ต้า” เสียงแก้มใสรับสายฟังดูเหนื่อยๆ “เป็นไรรึเปล่าแก้ม ทำไมเสียงเป็นแบบนั้น” ฉันถามเพื่อนด้วยความเป็นห่วง “อ๋อ ไม่เป็นไรจ้า แก้มช่วยแม่เปิดร้านนะ” เสียงแก้มใสตอบ แม่ของแก้มใสท่านยึดอาชีพทำขนมไทยขาย ท่านเปิดร้านเล็กๆ อยู่ที่หน้าบ้านของตัวเอง ม้าของฉันก็รับขนมไทยจากบ้านของแก้มใสมาขายที่หน้าร้านด้วยนะ ไม่ได้รับเพราะช่วยเหลือกันอย่างเดียวนะ แต่เพราะขนมไทยฝีมือแม่แก้มใสอร่อยมาก แก้มใสค่อนข้างลำบากเธอทำงานช่วยแม่เพื่อหารายได้เพิ่ม เพราะมีกันอยู่แค่สองคนแม่ลูก ส่วนพ่อของแก้มใสนั้น แก้มใสเล่าว่าท่านไปแต่งงานใหม่กับคนที่มีฐานะเท่าเทียบกัน ซึ่งแม่ของแก้มใสเป็นเพียงลูกสาวชาวบ้านธรรมดาทางครอบครัวของพ่อไม่ชอบแม่แก้มใสก็เลยกีดกัน แต่เพื่อนของฉันกับแม่ของเธอก็อยู่กันมาได้โดยที่ไม่ต้องพึ่งพาคนพวกนั้นเลยด้วยซ้ำ “ไม่อยากไปมหาลัยเลยอะ” ฉันบ่นกับแก้มใส “อะไรกัน นี่พึ่งเปิดเรียนได้แค่สองวันก็เบื่อแล้วเหรอ” แก้มใสถามเหมือนกั่วขำ “ไม่ได้เบื่อที่จะเรียน แค่เบื่อคน” พอนึกถึงหน้าใครบางคนแล้วมันก็รู้สึกร้อนผ่าวขึ้นมาบนใบหน้า เหตุการณ์มันยังฝังใจอยู่ “ใครกัน” แก้มใสถาม “ไม่มีอะไรหรอก เจอกันที่มหาลัยนะ บ๊าย” แล้วทำไมฉันต้องมานึกถึงเหตุการณ์เมื่อวานนี้ด้วย ก๊อก ๆ “ต้าหนิง แต่งตัวเสร็จหรือยังลูก” เสียงม้าเรียกดังอยู่หน้าห้อง ฉันจึงเดินไปเปิดประตูให้ม้า “เสร็จแล้วค่ะ ม้ามีไรเปล่า” “พี่ราเรซเขามารอรับไปมหาลัยนะ เสร็จแล้วก็ลงไปได้แล้ว พี่เขารอ” พูดจบม้าก็เดินลงไป แต่ฉันกลับยืนนิ่งตัวแข็งทื่อเป็นหินไม่ยอมขยับ ยิ่งไม่อยากเห็นหน้าก็ยิ่งมาให้เห็นอีก เขาต้องการอะไรกันแน่... ฉันเดินลงมายังชั้นล่างแอบย่องเดินไปที่ประตูหลังบ้าน เพราะไม่อยากไปมหาลัยพร้อมกับเขา เขามันเจ้าเล่ห์ไม่น่าไว้ใจ ต้องระวังตัวไห้ดี ๆ ฉันเปิดประตูออกอย่างระมัดระวังค่อยๆ ก้าวขาออกให้จากบ้านให้เบาที่สุดเท่าที่จะทำได้ และในที่สุดฉันก็ออกมาทางหลังบ้านได้สำเร็จ ชัยโย... “นึกแล้ว ว่าต้องออกทางนี้” ฉันหันขวับไปมองตามเสียงนั่นด้วยความตกใจ พี่ราเรซ... เขารู้ได้ไงว่าฉันจะออกหลังบ้าน จะแสนรู้เกินไปแล้วนะ “ต้าไปเองได้ ไม่เห็นต้องมารับเลย” ฉันยืนบ่นอย่างหัวเสีย “ขึ้นรถ เดี๋ยวก็ไปเรียนสายกันพอดี” “ใครอยากไปด้วยไม่ทราบ” ฉันตั้งท่าจะเดินหนี แต่พี่ราเรซก็ไวกว่าเขาเดินแค่ไม่กี่ก้าวก็ถึงตัวฉันอย่างง่ายดาย “จะไปดี ๆ หรือจะให้...” ฉันไม่รอให้พี่ราเรซพูดจบรีบเดินไปเปิดประตูรถของเขาแล้วก็เข้าไปนั่งด้วยอารมณ์หงุดหงิด ไม่ว่าจะทำยังไงก็หนีเขามาพ้นอยู่ดี ระหว่างที่อยู่ในรถฉันก็นั่งเงียบไปตลอดทางไม่ยอมพูดยอมจา “เป็นอะไร” พี่ราเรซถามขึ้น “...” “ต้าหนิง” “...” “ถ้ายังเงียบอยู่ พี่จับปล้ำในรถเลยนะ จะบอกให้” ฉันหันขวับไปมองหน้าพี่ราเรซอย่างเคืองๆ ในรถก็ไม่เว้นเหรอ คงจะทำบ่อยล่ะสิ “โรคจิต” ฉันใช้สายตาจิกกัดอย่างไม่ปิดบัง แต่พี่ราเรซกลับยิ้มหน้าระรื่นไม่สะทกสะท้านอะไร แถมยังผิวปากเป็นเพลงอย่างอารมณ์ดี “เลิกเรียนกี่โมง” พี่ราเรซหันมาถามฉัน เมื่อรถจอดสนิทที่ลาดจอดรถจุดเดิมเหมือนเมื่อวาน “บ่ายสองค่ะ” ฉันตอบกระแทกเสียงนิด ๆ อย่างไม่ค่อยพอใจ ที่จริงก็ไม่อยากจะตอบด้วยซ้ำ แต่ก็ไม่กล้าดื้อกับเขาเพราะไม่รู้จะโดนอะไรอีก เขามันไม่น่าไว้ใจ “เลิกเรียนแล้วก็มารอพี่ตรงนี้นะ” เขาชี้มือไปที่ม้านั่งไม่ไกลจากจุดที่รถจอดเท่าไหร่ “ไม่” ฉันหันไปบอกเสร็จก็รีบเปิดประตูรถหวังจะวิ่งหนีไปให้ไกล แต่...ประตูมันล็อก ฉันรอบกลืนน้ำลายเสียงดัง อึก! อย่างลำบากเพราะรู้ชะตากรรมาของตัวเอง ไม่น่าไปลองดีกับเขาเลย “ทำไมชอบลองของอยู่เรื่อยเลยนะ ต้าหนิง” พี่ราเรซพูดด้วยน้ำเสียงเย็นเยือก เหมือนพวกโจรโรคจิตพยายามข่มขู่เหยื่อด้วยเสียงที่น่าขนลุก “คือ...ต้าจะตอบว่า โอเครต่างหากล่ะ” ฉันพลิกลิ้นกลับคำทันที หวังว่าจะทันนะ “แต่เมื่อกี้ที่ได้ยินไม่ใช่แบบนี้นิ” พี่ราเรซใช้สายตามองแทะโลมตั้งแต่หน้าอกลงมายังกระโปรงของฉัน มองแรงไปแล้ว... ฉันเอื้อมมือไปขยี้ตาของเขาให้เลิกมองฉันแบบนั้น มันน่าขนลุก “ทำไมต้องมองแบบนี้ด้วย โรคจิตเหรอ คนบ้า” “ฮ่าๆ ๆ เล่นอะไรน่ะ ต้า...” พี่ราเรซนั่งขำอย่างน่ารัก... เดียวนะ น่ารักงั้นเหรอ ฉันคิดว่าเขาน่ารัก ตึกๆ ๆ ๆ ๆ ตึกๆ ๆ ๆ ๆ ๆ ฉันหยุดยีหน้าพี่ราเรซ เผลอจ้องมองใบหน้าคมเข้มอย่างลืมตัว มือหนาเลื่อนขึ้นมากุมมือบางของฉันทั้งสองข้างให้แนบลงกับแก้มของเขา ตาคมจ้องมองสบตาฉันอย่างมีความหมาย ฉันไม่รู้ว่าคิดไปเองอีกหรือเปล่า แต่ในตอนนี้ฉันรับรู้ได้ถึงความห่วงหาและความคิดถึงที่มันสะท้อนออกมาจากนัยน์ตาคู่นี้ของพี่ราเรซ ใบหน้าคมเข้มเคลื่อนเข้ามาใกล้เรื่อยๆ ลมหายใจอุ่นรดโดนบนผิวแก้มเนียน ฉันไม่อาจละสายตาจากพี่ราเรซได้เลย ทำไมเขาถึงได้น่ามองแบบนี้... ก๊อก ๆ ๆ ๆ ฉันสะดุ้งสุดตัว เมื่อมีเสียงคนเคาะที่กระจกฝั่งคนขับ ฉันชะเง้อไปมองก็เห็นพี่ซินดี้ยืนกอดอก สีหน้าแสดงออกถึงความไม่พอใจอย่างมาก “มารจริงๆ” พี่ราเรซบ่น “มีไร” พี่ราเรซเลื่อนกระจกรถฝั่งเขาออกเพื่อถามพี่ซินดี้ “ทำอะไรกัน อย่าคิดว่าซินดี้ไม่เห็นนะ” เธอแสดงความไม่พอใจอย่างชัดเจนพร้อมกับใช้สายตาจิกกัดส่งมาให้ฉัน “อย่ามาเยอะกับฉัน ซินดี้” พี่ซินดี้ยืนฟึดฟัดอย่างหัวเสียเมื่อโดนพี่ราเรซดุต่อหน้าฉัน “ต้าเข้าเรียนก่อนนะ” ฉันบอกกับพี่ราเรซ ไม่อยากมาเสียเวลากับเรื่องไร้สาระ จังหวะที่ฉันเปิดประตูรถออก พี่ราเรซก็เอื้อมมือหนามาล็อกที่ท้ายทอยบังคับให้ฉันหันหน้ากลับไปหาเขา พี่ราเรซโฉบริมฝีปากของตัวเองบดจูบริมฝีปากบางของฉันอย่างรวดเร็ว ริมฝีปากหนาแม้มหยอกเย้ากับริมฝีปากล่างของฉันอยู่สองสามครั้งก่อนจะผละออก “ตั้งใจเรียนนะ” “ราเรซ!” ฉันนั่งอึ้งไปสามวิ พอได้ยินเสียงของพี่ซินดี้ก็ทำให้ได้สติขึ้นมา รีบเปิดประตูลงจากรถของพี่ราเรซอย่างรวดเร็ว เขาจูบฉันอีกแล้ว แถมต่อหน้าพี่ซินดี้อีกต่างหาก ดูก็รู้ว่าพี่ซินดี้คิดยังไงกับพี่ราเรซ แต่ทำไมเขายังกล้าทำแบบนี้ต่อหน้าพี่ซินดี้อีก อยากให้ฉันมีปัญหาหรือไงกัน... “ต้าหนิง!” ฉันสะดุ้งสุดตัวเมื่อแพรวดึงแขนฉันไว้เกือบจะเดินชนเข้ากับเสาปูนแล้วไหมล่ะ ดีนะที่แพรวดึงไว้ก่อน มัวแต่เหม่อลอยจนไม่ได้สนใจสิ่งรอบข้าง “หนีอะไรมา ทำไมดูเร่งรีบขนาดนั้น” น้ำถาม “ปะ เปล่า ไม่มีอะไร” ฉันพยายามส่งยิ้มไปให้เพื่อนให้ดูปกติที่สุด “ไม่มีอะไรแน่นะ ต้า” แก้มใสเหล่ตามองฉันอย่างจับผิด ฉันพยักหน้าให้แก้มใสแทนคำตอบพร้อมกับฉีกยิ้มกว้างไปให้เพื่อน “เข้าเรียนกัน” แพรวบอก
Free reading for new users
Scan code to download app
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    Writer
  • chap_listContents
  • likeADD