น้ำค้างพร่างพราว สายลมยามเช้าในฤดูใบไม้ผลิพัดผ่านให้ความรู้สึกเย็นฉ่ำมาถึงห้องลับด้านใน
เพ่ยหนิงซุกตัวอยู่ในอ้อมอกอุ่น จ้าวเฟิ่งกอดรัดนางไว้ด้วยอ้อมแขนแข็งแรง ทั้งสองหลับสนิทและกอดกันแน่นอยู่ใต้ผ้าห่ม
ครั้นเสียงของหลี่อี้ดังขึ้นจากในห้องส่วนตัวอีกฝั่ง
“ท่านอ๋องกำลังอาบน้ำขอรัชทายาททรงรอสักครู่พ่ะย่ะค่ะ”
“น้องสี่อาบน้ำตอนเช้าด้วยรึ? รักสะอาดเกินไปหรือไม่?” เสียงรัชทายาทถามขึ้น เสียงนั้นดังอยู่ทางห้องฝั่งเดียวกันกับหลี่อี้
ขันทีตอบเร็ว “เมื่อคืนท่านอ๋องมีเหงื่อออกมากพ่ะย่ะค่ะ จึงลุกขึ้นอาบน้ำตั้งแต่ฟ้ายังไม่สว่าง”
“อ้อ...”
สิ้นเสียงสนทนา ทั้งสองในห้องลับพลันตื่นเต็มตา
เพ่ยหนิงที่ได้สติฉับพลันรีบออกจากวงแขนอย่างรังเกียจ จ้าวเฟิ่งขมวดคิ้ว สีหน้าไม่ยินดี พลางดึงนางเข้ามาแนบชิดอีกครา แต่เพ่ยหนิงไม่ยอม จึงมีการยื้อยุดมุดตัวอยู่ในผ้าห่ม
“ปล่อยข้านะ” ใต้ผ้าห่ม สาวน้อยถลึงตาโต
เขากระซิบดุดัน “เจ้าอย่าฝันว่าจะได้ออกไปพบหน้าเขา”
เพ่ยหนิงกัดแขนเขาทีหนึ่ง ดวงตาวับวาวราวกับแมวป่า “ข้ากับเขามีวาสนาต่อกัน ท่านจะกีดกันข้าเพื่ออันใดนักหนา”
จ้าวเฟิ่งชะงัก พลันนึกถึงคำพูดที่นางเคยสารภาพความจริงถึงสาเหตุในการลอบฆ่ารัชทายาทในวันนั้น
เพ่ยหนิงเห็นท่าทางของเขาก็ได้ใจ นางไม่ลังเลที่จะสร้างรอยร้าวฉานให้สองพี่น้องราชวงศ์จ้าวคู่นี้ซ้ำแล้วซ้ำเล่า
“ข้าจะบอกท่านอีกครั้ง ข้าชอบรัชทายาทมาก หลงรักหัวปักหัวปำ ข้าอยากอยู่กับเขา วันนั้นในห้องอาบน้ำ ข้าก็แค่เรียกร้องความสนใจ เขามีสตรีข้างกายมากมาย ข้าจึงทำได้แค่วิธีนั้น ข้า...”
ยังพูดไม่จบ ริมฝีปากพลันถูกประกบ ทั้งร้อนแรงและดุดัน จ้าวเฟิ่งกดจูบเพ่ยหนิงแนบแน่นจมที่นอน จูบอีกครั้งและอีกครั้ง
ด้วยขนาดร่างกายที่แตกต่างอย่างชัดเจน นางจะต่อต้านร่างสูงใหญ่ของเขาได้อย่างไร จ้าวเฟิ่งเองที่ถูกนางกระตุ้นอารมณ์จนโกรธเคืองจะยั้งใจได้เช่นไร
อ๋องหนุ่มจูบแล้วจูบอีกอย่างดุดัน บดขยี้กลีบปากที่ดื้อรั้นกระทั่งนางหมดสิ้นเรี่ยวแรงไม่อาจต่อกร เขากลับยังไม่เลิกรา
ร่างอรชรอ่อนปวกเปียก ผมยาวสลวยดุจแพรไหมของนางแผ่เต็มหมอน เกี่ยวพันกับเส้นผมของเขาราวกับเงื่อนตายชนิดหนึ่ง
เพ่ยหนิงถูกเขากระทำจนมัวเมาลุ่มหลง สัมผัสที่คุ้นเคยส่งผลให้การต่อต้านลดลง เรียวแขนโอนอ่อนโอบรัดลำคอแกร่ง
เสียงอู้อี้ขัดขืนแต่เดิมเริ่มแปรเปลี่ยนเป็นเสียงลมหายใจหอบกระเส่า
เขาก็เช่นกัน เริ่มเปลี่ยนจูบดุดันเป็นจูบหวานละมุนละไม หลอกล่อนางให้คล้อยตามไปจนสุดทางหวามยากหยุดยั้ง
เพ่ยหนิงอ่อนระทวย จ้าวเฟิ่งก็แข็งขึง
คราวนี้เขาไม่เพียงกดนางด้วยสองมือทับนางด้วยสองขา แต่โถมใส่นางทั้งตัว ตรึงร่างของนางไว้ด้วยกันอย่างแนบแน่น
เพ่ยหนิงอยู่ใต้ร่างเขาราวถูกคีบเหล็กร้อนๆ กดไว้บนเตียง ถูกจุมพิตจู่โจมของเขาดูดพละกำลังทั้งหมดไป การต่อสู้ดิ้นรนนับว่าเปล่าประโยชน์โดยสิ้นเชิง
เมื่อชายหนุ่มเปลี่ยนจากจูบดูดดื่มไล้ปลายลิ้นไปปลายคาง หญิงสาวจึงกัดฟันเอ่ย “ข้านึกเสียใจจริงๆ ที่วันนั้นช่วยท่านไว้”
จ้าวเฟิ่งขบเม้มติ่งหูนาง ฟังเสียงด่าทอของนางที่พลันแปรเปลี่ยนเป็นเสียงครางแผ่วเบาอย่างพึงพอใจ
“แต่ข้าไม่เคยนึกเสียใจที่ได้ช่วยเจ้า”
“ท่านไม่ควรช่วยข้า” เพ่ยหนิงเบี่ยงหน้าหนีเมื่อริมฝีปากและฟันของเขารุกรานไม่หยุด การขบเม้มลงบนเนื้อนุ่มแต่ละที ทำคนยากสะกดกลั้นเสียงสั่นหวิว ตัวสั่นระริก
และนั่นจึงกลายเป็นเปิดทางให้จมูกโด่งสันฝังตรงลำคอ แล้วดูดเม้มเล็มปลายลิ้นหนักสลับเบา ท้ายที่สุดนางก็ทำได้เพียงเม้มปากกลั้นเสียงครางเพื่อมิให้เสียงเล็ดลอดออกไปนอกกำแพง
นางยามนี้แม้แต่เรี่ยวแรงจะโกรธก็ยังไม่มี
การเคลื่อนไหวของจ้าวเฟิ่งลื่นไหลเป็นไปอย่างธรรมชาติ การตอบสนองของเพ่ยหนิงเช่นกัน นางรับเขาเอาไว้ทุกสัมผัส คล้ายร่างกายต้องการซึมซับทุกอย่างที่เป็นเขา
สองร่างเปลือยเปล่าที่กำลังแนบชิดทุกอณูใต้ผ้าห่มเช่นนี้ ร่างกายส่วนหนึ่งจึงแนบสนิทสอดลึกได้อย่างง่ายดาย
“อา...”
สุ้มเสียงทุ้มลึกเล็ดลอดอย่างสุดจะกลั้น ชายหนุ่มสูดปากเมื่อนางบีบรัดทันทีที่เขาส่งตัวตน
หญิงสาวมุ่นคิ้ว จิกเล็บลงบนบ่ากว้าง
“อ๊ะ! ท่าน...”
“หืม...”
“เบาๆ”
“อืม...”
ใต้ผ้าห่ม เสียงกระซิบถกเถียงพลันเปลี่ยนเป็นเสียงครางแผ่ว
แม้เวลาจะผ่านไปไม่ถึงหนึ่งเค่อ ทว่าสองร่างใต้ผ้าห่มกลับทำเวลาได้ดี พวกเขากระตุกเบาๆ พร้อมกัน คนหนึ่งกัดไหล่หนา คนหนึ่งซุกหน้าขบเม้มซอกคอขาว กลางกายร้อนผะผ่าวเต้นตุบๆ ในจังหวะทรมาน ทั้งตื่นเต้นสุขสมและเร้าใจ
ความรู้สึกอันหลากหลายขีดสุดนี้เกิดขึ้นในขณะเดียวกับที่เสียงของรัชทายาทคล้ายเข้ามาใกล้กำแพงยิ่งกว่าเดิม
“สักครู่ของเจ้า ข้าว่านานเกินไปกระมัง ข้านั่งรอจนน้ำชาหมดกาแล้ว ขอข้าเข้าไปดูหน่อย หากน้องสี่เหงื่อออกมากเกินไป เขาอาจป่วยได้นะ”
“อ๊ะ! รัชทายาท พระองค์ทรงรอให้กระหม่อมเข้าไปแจ้งท่านอ๋องตามกฏระเบียบก่อนเถิดพ่ะย่ะค่ะ”
“เจ้านี่นะ บังอาจยิ่ง แต่เอาเถอะ ถือว่าเป็นคนซื่อตรงภักดีต่อน้องสี่ เราจะไม่ถือสา”
“ขอบพระทัยพ่ะย่ะค่ะ”
ในตอนนั้นเอง จ้าวเฟิ่งที่กอดรัดเพ่ยหนิงให้ใบหน้าฝังอยู่ตรงแผ่นอกก็โผล่ออกจากผ้าห่มเพียงผู้เดียว
เขาม้วนตัวนางเก็บไว้ใต้ผ้าห่มอย่างแน่นหนาไร้ช่องลม รีบหยิบเสื้อคลุมบนพื้นห้องมาสวมร่างเปล่าเปลือยของตนพลางก้าวข้ามประตูเล็กที่ทะลุห้องอาบน้ำไปอย่างรวดเร็ว
หลี่อี้ยืนปาดเหงื่ออยู่หลังประตูห้องอาบน้ำ เมื่อได้รับสัญญาณทางสายตาของจ้าวเฟิ่งที่ทำท่าเพิ่งลุกออกจากถังไม้ก็หันไปเปิดประตู ค้อมเอวผายมือเชิญรัชทายาทเดินเข้ามาอย่างผ่าเผย
“น้องสี่” จ้าวไท่หรงทักทายน้องชายอย่างอารมณ์ดี สายตายังแอบสำรวจไปทั่ว ตั้งแต่ห้องส่วนตัวและห้องอาบน้ำ ขื่อเพดาน
“พี่ใหญ่” จ้าวเฟิ่งหรี่ตา แค่นเสียงอย่างรู้ทัน “ท่านคงมิได้มาตรวจสอบผลจากงานเลี้ยงเมื่อคืนกระมัง?”
ฉับพลันนั้น เขาจึงได้เข้าใจ ยาในสุราเมื่อคืน ไม่แน่ว่าคือฝีมือของหวังซูเหยากับรัชทายาทร่วมมือกันหรือไร?
คำถามแฝงนัยทำรอยยิ้มเจ้าเล่ห์ประดับมุมปากจ้าวไท่หรง ส่งผลให้ใบหน้ายิ่งงดงามน่าหลงใหล “มีเพียงน้องสี่ที่รู้ใจพี่ใหญ่”
ขณะเอ่ย รัชทายาทหนุ่มยื่นใบหน้าหล่อเหลาเข้าใกล้ มองสำรวจไปทั่วเนื้อตัว ก่อนที่สายตาจะหยุดลงที่เส้นเลือดหลังมือของน้องชาย