เว่ยซือหงไล่สายตาจับจ้องไปยังทีละคนตามชื่อ เริ่มจากจิวซิน สตรีหนึ่งเดียวในกลุ่มนี้ที่เป็นถึงนักปรุงโอสถ แม้จะมีใบหน้างดงามทว่าเป็นคนหัวสูง ใครมีประโยชน์ก็คบหา หากหมดประโยชน์ไม่เพียงก้าวข้ามนางยังรอเหยียบด้วย
เตียวฝานนักอักขระที่มีรอยยิ้มประดับบนใบหน้าตลอดเวลาคนนี้ไม่ได้ดีไปกว่าจิวซินนัก เขาค่อนข้างเจ้าเล่ห์เลยทีเดียว ทว่าเก็บซ่อนตัวตนได้เก่งยิ่ง หากนางไม่มีเนตรสวรรค์ ด้วยภาพลักษณ์อ่อนโยนเช่นนั้น คงจะมองไม่ออกง่าย ๆ แน่
เสิ่นเถาคือบุรุษที่กำลังมีปัญหากับกู้เยว่สหายของพี่ชาย และยังเป็นคนเดียวกับที่กล่าววาจาดูแคลนนาง คนคนนี้เป็นคนเลือดร้อนชั่วร้ายคนหนึ่ง แต่ไม่ได้ดูน่ากลัวนัก ไม่มีความจำเป็นต้องระมัดระวังเป็นพิเศษ
ทว่าอี้ไท่หยวนบุรุษเงียบขรึมไม่พูดจา วางตัวนิ่งเฉยตัดขาดออกจากทุกคนเช่นนี้น่าสนใจกว่ามาก เพราะจิตใจของเขาดำมืดยิ่งนัก นางหาแสงสว่างสีขาวในตัวเขาไม่เจอเลย เด็กหญิงหลุบตาต่ำ
คนคนนี้อันตราย สัญชาตญาณระวังภัยของเว่ยซือหงตื่นตัวขึ้นมาทันทีที่สบเข้ากับเนตรคมกริบคู่นั้น
“ในเมื่อรู้จักกันแล้ว เช่นนั้นปล่อยผ่านเรื่องวันนี้สักครั้งได้หรือไม่เจ้าคะ” เว่ยซือหงไม่เกรงใจแม้แต่น้อย ใบหน้าเล็กยังประดับรอยยิ้มจาง ๆ
“เอ่อ เรื่องนั้น” เปียวหย่งถึงกับไปไม่เป็นทั้งยังมองหน้าคนอื่น ๆ อย่างปรึกษา
เสิ่นเถากระตุกยิ้มพลางว่า “ไม่ง่ายไปเช่นนั้นหรือคุณหนู”
“ง่ายเช่นนี้แหละเจ้าค่ะคุณชายเสิ่น”
“คุณหนูไม่ใช่ฝ่ายถูกโดนชนก็พูดได้สิ”
“แต่ฝ่ายที่ชนกลุ่มคุณชายก็เอ่ยขอโทษแล้วไม่ใช่หรือเจ้าคะ ซ้ำยังเป็นเพียงเด็กอายุห้าขวบ กลุ่มคุณชายคงไม่ใจแคบกระมัง”
“เหอะ”
“เกรงว่าหากไม่จบเพียงเท่านี้ คงมีข่าวลือแย่ ๆ ว่ากลุ่มคุณหนูคุณชายที่มาจากดินแดนเบื้องบนรังแกคนที่อ่อนแอกว่าเป็นแน่ พวกท่านไม่กลัวเสื่อมเสียชื่อเสียงหรือเจ้าคะ หากรอถึงตอนนั้นจะทำการค้ากับใครก็ยากแล้ว”
“เจ้าขู่ข้าหรือ!” เสิ่นเถาซึ่งอารมณ์ร้อนที่สุดในกลุ่มโพล่งขึ้นมาพร้อมแผ่พลังปราณระดับปราชญ์กดดันเด็กปากดีตรงหน้า
เว่ยซือหงไม่เพียงไม่กลัว นางยังนิ่งเฉยราวกับว่าพลังระดับปราชญ์ไม่มีผลอันใดต่อนางแม้แต่น้อย เด็กหญิงมองเขาด้วยรอยยิ้มบางเบา
“เปล่าเจ้าค่ะ ข้าไม่ได้ขู่ ข้าพูดจริง”
“เจ้า!” เสิ่นเถาไม่เคยถูกท้าทายเช่นนี้มาก่อน เขาเคยชินกับการที่ถูกคนอื่นยอมศิโรราบ วันนี้โดนเด็กอายุสิบขวบท้าทายขึ้นมาจะยอมได้เช่นไร ทว่าอี้ไท่หยวนซึ่งวางตัวอยู่วงนอกมาตลอดกลับกล่าวห้าม
“พอได้แล้ว”
“แต่ว่า”
“เจ้าคงไม่อยากให้ตระกูลเสิ่นรู้ว่าเจ้าขัดแย้งกับตระกูลเว่ยซึ่งเป็นตระกูลที่ค้าผักปราณกระมัง”
เจอความจริงแสกหน้าเช่นนี้แม้ไม่อยากยอมก็จำต้องยอม “ฝากเอาไว้ก่อนเถอะ!” พูดจบก็เดินจากไปอย่างรวดเร็วโดยมีจิวซินตามไปติด ๆ ไม่วายจิกตามองเว่ยซือหงอย่างคาดโทษ
“คุณหนูเว่ยช่างเก่งกาจ นับถือ ๆ” เตียวฝานเอ่ยชมด้วยสายตาเจ้าเล่ห์ก่อนปลีกตัวจากไป ตอนนี้จึงเหลือเพียงอี้ไท่หยวนและเปียวหย่งเท่านั้น
“ขออภัยคุณหนูแทนเสิ่นเถาด้วย เขาค่อนข้างอารมณ์ร้อน”
“ไม่เป็นไรเจ้าค่ะ อย่างไรฝั่งข้าก็ผิดเช่นกัน”
“เช่นนั้นข้าขอตัวก่อน”
“โชคดีเจ้าค่ะ” เปียวหย่งเดินจากไปพร้อมอี้ไท่หยวน ซึ่งก่อนหน้าใช้สายตาพิจารณาเด็กหญิงอยู่ตลอดเวลา
กลุ่มคุณหนูคุณชายจากดินแดนเบื้องบนจากไปแล้วเว่ยซือหงพลันหันหน้ากลับมาเผชิญหน้ากับพี่ชายคนรอง
“น้องเล็กไม่ควรเข้ามายุ่ง”
“หากอาหงไม่เข้ามาเรื่องคงไม่จบง่าย ๆ แบบนี้ เสิ่นเถาคนนั้นใจร้อน พี่รองเองก็ใจร้อน หากเขาไม่มีระดับพลังที่สูงกว่าพี่ ป่านนี้พี่คงประมือกับเขาไปแล้ว”
“แต่น้องก็ไม่ควรเข้ามายุ่ง มันอันตราย!” เว่ยซือเหลียงไม่จบง่าย ๆ
“อาหงรู้เจ้าค่ะ และรู้ด้วยว่าถ้าปล่อยให้พวกพี่เจรจากันต่อไปคงได้ลงไม้ลงมือกันจริง ๆ แน่ ซึ่งคนที่เจ็บเป็นฝั่งเราแน่นอน”
“แต่”
“ไม่มีแต่เจ้าค่ะ พี่รองควรใจเย็นให้มากกว่านี้ อำนาจของตระกูลเราก็มี ใช้บ้างสิเจ้าคะ บางทีกำลังก็ไม่ได้ช่วยตัดสินทุกอย่างหรอกนะเจ้าคะ จะทำอะไรต้องคิดให้มาก ประเดี๋ยวชาวบ้านจะเดือดร้อน”
“...” เว่ยซือเหลียงคิดตามและเห็นด้วยกับคำพูดของน้องสาว แต่เขาก็ไม่ชอบที่น้องสาวเอาตัวเองมายุ่งกับปัญหาอยู่ดี เมื่อครู่ต่อให้ปะทะกันจริงแล้วเขาจะแพ้ แต่ก็แพ้อย่างสมศักดิ์ศรีแน่ ทว่าพอคิดถึงชาวบ้านขึ้นมาพลันถอนใจ
น้องรองพูดถูกจริง ๆ นั่นแหละ
“เอาละพี่เข้าใจแล้ว คราวหลังจะใจเย็นให้มากกว่านี้ น้องเองก็เช่นกัน อย่าเอาตัวเองมาเอี่ยวด้วยแบบนี้อีก”
“เข้าใจแล้วเจ้าค่ะ”
“เข้าใจก็ต้องทำด้วย ไม่ใช่เข้าใจแค่ปาก”
“เจ้าค่ะ” เว่ยซือหงส่งสายตาออดอ้อนพี่ชายที่ยังคงหงุดหงิดกับการกระทำของนาง
“น้องเตรียมโดนท่านย่าลงโทษได้เลย พี่ฟ้องท่านย่าแน่”
“พี่รอง!”
“ไม่รู้แหละ อย่างไรเรื่องนี้คนในครอบครัวก็ต้องรู้ เอาตัวเองมาเสี่ยงอันตรายใช้ได้ที่ไหน หากคนพวกนั้นไม่จากไปง่าย ๆ แล้วปะทะกันจริงขึ้นมาจะทำอย่างไร”
“...” เว่ยซือหงที่โดนพี่ชายคนรองเปิดโหมดสอนและบ่นได้แต่ทำสีหน้าเศร้าซึม
“ไม่ต้องมาแสดงงิ้วให้พี่ดู พี่ไม่หลงกลหรอก” ชายหนุ่มพูดกับน้องสาวอย่างรู้ทัน ทว่าก่อนที่สองพี่น้องจะสนทนากันยืดยาวมากกว่านี้ก็มีเสียงกู้ฉีขัดขึ้นมาเสียก่อน
“เอ่อ พวกเราไปพูดกันต่อที่โรงเตี๊ยมดีไหม”
“นั่นสิเจ้าคะ ตอนนี้คนมองไปหมดแล้วเจ้าค่ะ” หลินหว่านเอ่ยเสริม
ทั้งเว่ยซือหงและเว่ยซือเหลียงจึงรู้สึกตัว มองไปรอบด้านเห็นชาวบ้านมองพวกตนอยู่มากมาย ถึงกับทำตัวไม่ถูก เดินนำกลุ่มสหายไปโรงเตี๊ยมตระกูลหลิวทันที