“จริงสิ จดหมายที่หลินหว่านส่งมาให้ข้าเมื่อเช้าอยู่ไหนหรือ” เมื่อเช้ายังไม่ทันจะได้เปิดจดหมายของสหายอ่าน ท่านย่าดันเดินมาเห็นกิริยาไม่งามของนางเข้า จึงเป็นเหตุให้ถูกเคี่ยวกรำเพิ่งจะได้กลับมาพักนี่แหละ
“เดี๋ยวข้าหยิบมาให้เจ้าค่ะคุณหนู” หลิงอิงเดินไปหยิบจดหมายของคุณหนูจวนหลินมาส่งให้เว่ยซือหง
“ขอบใจเจ้าค่ะ” มือเล็กค่อนข้างอวบยื่นไปรับมาพร้อมคลี่จดหมายออกอ่าน เนื้อความบนกระดาษไม่มีอันใดมาก นอกจากการพร่ำบ่นของสหายที่ถูกครอบครัวเคี่ยวกรำให้เรียนและประพฤติตนตามหลักสตรีชนชั้นสูง
ซือหง ช่วงนี้เจ้าเป็นอย่างไรบ้าง สบายดีหรือไม่ ส่วนข้าไม่ค่อยสบายเท่าไรนัก ด้วยถูกท่านย่าเคี่ยวกรำศาตร์ศิลป์ทั้งสี่ ช่วงนี้ถูกบังคับให้เรียนฉินหนักมาก เจ็บนิ้วปวดแขนไปหมด ข้าไม่ชอบเลย ขอออกไปข้างนอกก็ไม่ได้ กล่าวว่าสตรีในห้องหอไม่ควรเยี่ยมหน้าออกไปนอกจวนบ่อยนัก โธ่เอ๊ย ไม่เห็นจะเป็นไรเลย ข้าไม่ได้ทำอันใดเสียหายสักหน่อย เจ้าบอกข้าเองไม่ใช่หรือ ว่าวัยอย่างพวกเราควรเล่นและกินให้เต็มที่ โตกว่านี้ก็ทำเช่นนี้ไม่ได้อีกแล้ว แต่เจ้าดูข้าสิ ข้าสิบขวบเองนะ สิบขวบ!
ซือหงเจ้าเห็นใจสหายอย่างข้าใช่หรือไม่ เจ้าไม่คิดว่าข้าน่าสงสารหรือ ข้ารู้สึกเหมือนปลาขาดน้ำเลย ข้ากำลังจะตาย สหายรักได้โปรดช่วยข้าด้วย เขียนจดหมายส่งเทียบเชิญนัดข้าไปเที่ยวสักวัน ไม่เช่นนั้นข้าตายจริง ๆ แน่ อย่าลืมเล่าซือหง ข้าจะรอ
หลินหว่าน
ทันทีที่อ่านเนื้อความในจดหมายจบ มุมปากได้รูปพลันยกยิ้ม ดูเหมือนจะไม่ใช่นางคนเดียวที่ถูกท่านย่าฝึกสอน เช่นนี้ค่อยรู้สึกดีขึ้นมาหน่อย
เว่ยซือหงค่อย ๆ พับจดหมายของสหายเก็บเข้ากล่องอย่างเรียบร้อย พร้อมทั้งหยิบกระดาษแผ่นใหม่และหมึกขึ้นมาฝน ฝนจนได้ที่พู่กันขนาดเหมาะมือพลันจรดลงบนแผ่นกระดาษว่างเปล่า ตามความประสงค์ของผู้เป็นเจ้าของ
เขียนเนื้อความตอบกลับสหายเสร็จรอจนหมึกแห้งดีก็พับจดหมายแล้วยื่นให้หลิงอิง
“ข้ารบกวนพี่หลิงอิงนำไปส่งให้หลินหว่านทีนะเจ้าคะ”
“ได้เจ้าค่ะคุณหนู ข้าจะไปเดี๋ยวนี้”
“พี่หลิงจูประเดี๋ยวเตรียมชุดไปเดินตลาดไว้ให้ข้าหน่อยนะเจ้าคะ อีกสองวันข้าจะไปเที่ยวเล่นกับสหายสักหน่อย”
“ได้เจ้าค่ะคุณหนู คุณหนูมีชุดที่ต้องการพิเศษหรือไม่เจ้าคะ”
“ข้าขอสีเขียวอ่อนแล้วกันนะ”
“ทราบแล้วเจ้าค่ะ”
หลังจากตอบจดหมายของสหายแล้ว เว่ยซือหงไปพักผ่อนยังศาลากลางสวนที่ตอนนี้มีพรรณไม้ดอกไม้ประดับปลูกเต็มไปหมด มองไปทางไหนก็จรรโลงตา เหลียวมองสระน้ำจำลองขนาดเล็กที่อยู่ข้าง ๆ ภายในสระมีปลาหลีสีแดงและสีทองเวียนว่ายไปมาดูมีชีวิตชีวายิ่ง
สระน้ำจำลองนี้ตระกูลเว่ยสร้างขึ้นมาภายหลังตามความต้องการของทายาทหญิงเพียงคนเดียว หลังสร้างเสร็จแต่เดิมที่เว่ยซือหงชอบไปนั่งพักผ่อนที่หลังเรือนตัวเองเพราะผักปราณเขียวชอุ่มเรียกความสดชื่น ก็กลายมาเป็นว่าชอบศาลากลางสวนยิ่งกว่า เพียงมองปลาหลีแหวกว่ายนางก็มีความสุขแล้ว ยิ่งตอนพวกมันกระโดดเพราะนางนำน้ำพลังปราณหยดลงไปในสระยิ่งมีความสุขมาก
ไม่เพียงแค่นางเท่านั้นที่ชอบพักผ่อนยังศาลานี้ คนอื่น ๆ ในจวนต่างได้รับอิทธิพลความชื่นชอบของนางไปไม่น้อยเช่นกัน
“ฟานสือหลิวเจ้าค่ะคุณหนู” หลิงจูเอ่ยขัดบรรยากาศเงียบสงบของเจ้านาย นางมาพร้อมจานฝรั่งผลไม้ปราณชนิดล่าสุดที่ไร่ตระกูลเว่ยเพิ่งได้พันธุ์มาเพาะปลูก และวางจำหน่ายไปไม่นานมานี้
“ขอบคุณพี่หลิงจู กินด้วยกันสิเจ้าคะ”
ดูเอาเถอะจะมีเจ้านายจวนใดใจดีใจกว้างกับบ่าวไพร่ได้มากถึงเพียงนี้ ผักผลไม้ปราณที่ว่าแพงหาได้ยาก บรรดาเจ้านายยังยินดีแบ่งปันให้คนในจวน บ่าวทาสตลอดบนลงล่างพลอยได้รับอานิสงส์อย่างถ้วนทั่ว หลิงจูยิ่งคิดยิ่งภูมิใจที่ได้รับใช้คุณหนูตัวน้อยและตระกูลเว่ย
“ขอบคุณเจ้าค่ะคุณหนู แต่ของบ่าวมีอยู่แล้ว เชิญคุณหนูตามสบายเลยเจ้าค่ะ”
เว่ยซือหงเพียงยิ้มพร้อมหยิบฝรั่งที่ถูกปอกและหั่นชิ้นพอดีคำเข้าปาก ไม่นานหลิงอิงก็กลับมาจากการส่งจดหมาย
“พวกพี่ทั้งสองมีพลังปราณอยู่ในระดับแม่ทัพขั้นสูงแล้วสินะเจ้าคะ อีกไม่นานคงเลื่อนขั้นข้ามระดับเดิมได้แล้ว ยินดีกับพวกพี่ทั้งสองล่วงหน้าแล้ว” เอ่ยขึ้นหลังประเมินพลังของคนสนิททั้งสองแล้ว
“ต้องยกความดีความชอบทั้งหมดให้กับคุณหนูและนายท่านนายหญิงทุกคนนั่นแหละเจ้าค่ะ หากไม่ได้รับการสนับสนุนจากพวกท่าน ไหนเลยบ่าวอย่างพวกข้าจะมีโอกาสเป็นผู้ฝึกปราณ และมีระดับพลังสูงถึงเพียงนี้” หลิงอิงเป็นคนเอ่ย นางซาบซึ้งในพระคุณของตระกูลเว่ยทุกคนยิ่งนัก ไม่เพียงไม่กดขี่บ่าวทาสในจวนแล้วยังให้การสนับสนุนทุกคนที่มีความสนใจฝึกปราณอีก ความเป็นอยู่ก็ดีเสียยิ่งกว่าชาวบ้านทั่วไป ไม่รู้พวกตนเคยกู้ชาติมาหรืออย่างไร ชาตินี้จึงได้พบเจอเจ้านายที่มีเมตตาเช่นนี้
“พี่หลิงอิงพูดถูกแล้วเจ้าค่ะ บ่าวขอบคุณคุณหนูมากนะเจ้าคะ ที่เลือกให้พวกข้าพี่น้องเป็นคนสนิท”
สายตาไม่พอใจถูกส่งไปยังคนสนิททั้งสอง เรียวคิ้วสวยขมวดเข้าหากัน “ข้าบอกแล้วเช่นไรว่าเวลาพูดกับข้าไม่ให้แทนตนเองว่าบ่าว ข้านับถือพวกพี่สองคนเหมือนดั่งพี่น้อง แล้วอีกอย่างพวกท่านอยู่กับข้าตั้งแต่ยังเด็ก เมื่อถึงเวลาเลือกผู้ติดตามข้าจะไม่เลือกพวกท่านได้เช่นไร”
“ขออภัยเจ้าค่ะคุณหนู ข้าทั้งสองจะไม่ลืมอีกแล้ว”
“ช่างเถอะ จะข้าจะบ่าวความรู้สึกข้าที่มีต่อพวกท่านก็ไม่เปลี่ยน อยากจะเรียกอย่างไรก็เรียก ตามแต่ใจต้องการเลย”
“คุณหนู”
“ไม่ต้องมาโอดครวญ ถึงมันจะขัดใจอยู่บ้างแต่ข้าก็ไม่ได้โกรธเสียหน่อย”
“ขอบคุณคุณหนูเจ้าค่ะ” เว่ยซือหงส่ายหน้าพลางยิ้มบาง ๆ ทว่าก่อนที่บทสนทนาจะดำเนินต่อ น้ำเสียงคุ้นหูที่ไม่ได้ยินมาตลอดหกเดือนพลันแทรกขึ้นมา
“แกล้งอะไรสาวใช้ทั้งสองอีกเจ้าตัวแสบ”
“พี่ใหญ่พี่รอง!” ร้องเรียกพี่ชายทั้งสองเสียงดังทั้งยังผุดลุกยืนวิ่งออกไปจับมือทั้งสองเข้ามายังศาลาอย่างรวดเร็ว
แววตาเว่ยซือหงเปล่งประกายทั้งตื่นเต้นยินดี นางมองสำรวจพี่ชายทั้งสองอย่างช้า ๆ เมื่อไม่เห็นร่องรอยบาดเจ็บค่อยโล่งใจ ไม่ลืมสำรวจพลังของพวกเขาอีกด้วย ก่อนสีหน้าภาคภูมิใจจะปรากฏบนใบหน้าของนาง
“เจ้าเด็กแก่แดด มัวคิดอะไรอยู่ทำไมไม่ตอบพี่รอง” เว่ยซือเหลียงที่แม้จะเข้าศึกษาที่สำนักศึกษาพยัคฆ์ทมิฬเหมือนพี่ชายไปแล้วสามปี ปัจจุบันมีอายุ 17 ปี ก็ยังคงความร่าเริงและขี้แกล้งเช่นเดิม เขายีหัวน้องสาวจนผมของนางยุ่งเหยิงไปหมด
“ปล่อยอาหงเดี๋ยวนี้นะพี่รอง”
“เรื่องอะไรพี่จะปล่อยเด็กแสบเช่นเจ้า ว่าอย่างไรแกล้งอะไรหลิงจูกับหลิงอิงอีก”
“อาหงไม่ได้แกล้งสักหน่อย พี่รองจะปล่อยหรือไม่” เว่ยซือเหลียงดึงหน้ายียวนน้องสาว เว่ยซือหงสะบัดหน้าใส่พี่ชายคนรองหันไปออดอ้อนพี่ชายคนโต
“พี่ใหญ่ดูพี่รองสิเจ้าคะ พี่รองรังแกอาหง”