ซ่งจุ้นรุ่ยกำลังนั่งอ่านเอกสารสำคัญในการร่วมทุนของซีกรุ๊ปกับจางกรุ๊ปบริษัทของตระกูลจางที่ซ่งเหว่ยหนานลูกชายคนโตเป็นผู้ส่งมาให้เขาดู ก่อนที่จะมีการเซ็นต์สัญญาร่วมทุนกันระหว่างสองบริษัทในเร็วๆ นี้ ผลงานชิ้นนี้นับว่าเป็นผลงานใหญ่ชิ้นโบว์แดงที่สำคัญมากของลูกชายคนโตอย่างซ่งเหว่ยหนาน
ซ่งจุ้นรุ่ยที่กำลังคิดจะวางมือเพื่อส่งต่อกิจการให้ลูกชายรับสืบทอดต่อจากตนเองในปีนี้ ดังนั้นเรื่องการเซ็นต์สัญญาร่วมทุนครั้งนี้จึงสำคัญเป็นอย่างมากและเป็นโจทย์ที่เขามอบให้ซ่งเหว่ยหนานและซ่งเทียนเหิงลูกชายทั้งสองไปเป็นธุรจัดการเพื่อให้ทั้งสองได้แสดงฝีมือว่าใครคู่ควรที่จะรับสืบทอดตำแหน่งจากเขามากกว่ากัน
สุดท้ายก็กลายเป็นซ่งเหว่ยหนานที่สามารถเจรจากับตระกูลจางได้สำเร็จอย่างงดงามตามที่เขาคาดคิดได้ก่อนลูกชายคนรอง
แม้จะให้สองพี่น้องแข่งขันกันทำผลงานแต่ซ่งจุ้นรุ่ยก็เพียงแต่ต้องการให้ลูกชายคนโตอย่างซ่งเหว่ยหนานตื่นตัวและพร้อมตลอดในการที่จะสืบทอดกิจการต่อจากเขา เขาเพียงใช้ลูกชายคนรองในการกระตุ้นพี่ชายและสอนงานให้สองพี่น้องไปด้วยในตัวเพราะซ่งจุ้นรุ่ยรู้ดีว่าทุกอย่างบนโลกนี้ไม่มีอะไรแน่นอน อย่างน้อยหากวันหนึ่งเขาไม่สามารถดูแลที่นี่ต่อไปได้อ**บริษัทนี้ก็ยังมีทายาทถึงสองคนที่พร้อมจะช่วยกันสืบทอด
พวกเขากำลังจะขยายตลาดการลงทุนจึงจำต้องมีคู่ค้ามาร่วมมือ ซีกรุ๊ปเป็นบริษัทรับเหมาก่อสร้างรายใหญ่ของประเทศที่มักประมูลงานใหญ่ๆ ของรัฐบาลได้ บริษัทเขารับสร้างตั้งแต่ตึกระฟ้า สะพานข้ามแม่น้ำ ถนนหนทาง ไปจนถึงโครงการหมู่บ้านให้กับรัฐบาลและเอกชนมากมาย
ซีกรุ๊ปเป็นมืออาชีพที่ทำงานด้านนี้และยืนหนึ่งมาหลายสิบปีพร้อมทีมงานและวิศวะกรคุณภาพที่ซีกรุ๊ปยอมเสียเงินจ้างมาด้วยค่าตอบแทนที่คุ้มค่ากับผลงานที่พวกเขาจะได้รับ
บริษัทตระกูลซ่งก้าวหน้าอย่างก้าวกระโดดในระยะเวลาสิบกว่าปีมานี้ภายใต้การบริหารของซ่งจุ้นรุ่ยประธานบริษัทรุ่นที่สองที่รับช่วงต่อจากซ่งจื่อรุ่ยคุณปู่ของซ่งเหว่ยหนานผู้ที่สร้างบริษัทนี้ไว้ให้เป็นมรดกของลูกหลานตระกูลซ่งและกลายเป็นอาณาจักรที่ยิ่งใหญ่ภายใต้ชื่อซีกรุ๊ปหลังจากซ่งจุ้นรุ่ยนำบริษัทเข้าสู่ตลาดหลักทรัพย์เมื่อสิบกว่าปีที่แล้วตอนที่เขาเข้ามารับช่วงต่อจากพ่อของตัวเอง
หลายปีมานี้เขาแก่ลงไปมากและกำลังคิดจะให้ลูกชายทั้งสองช่วยสืบทอดธุรกิจ แต่ก็ดูเหมือนว่าซ่งเหว่ยหนานและซ่งเทียนเหิงสองพี่น้องจะไม่ค่อยลงรอยกันเท่าไหร่นัก สองพี่น้องยังคงแก่งแย่งชิงดีกันอย่างหนักลับหลังเขาอยู่เสมอ ซึ่งเป็นเรื่องที่ซ่งจุ้นรุ่ยรู้ดีและรู้สึกหนักใจมาตลอด
“คุณคะ ทานข้าวหรือยังคะ”น้ำเสียงหวานเอ่ยทักทันทีที่ก้าวเข้ามาในห้องของประธานบริษัทพร้อมด้วยปิ่นโตอาหารร้อนในมือ
“คุณพ่อ” เด็กสาวที่เดินตามมารดาเข้ามาเอ่ยทักคนเป็นพ่อด้วยน้ำเสียงสดใส ซ่งชิงหยุนลูกสาวคนเล็กของเขาและหวงหว่านอิ๋งหรือคุณนายซ่งที่พนักงานในบริษัทแห่งนี้เรียกขานกันเดินตามแม่ของเธอเข้ามาก่อนจะหยุดที่ข้างเก้าอี้แล้วลงมือบีบนวดไหล่ให้คนเป็นพ่ออย่างเอาใจ
“เหนื่อยไหมคะคุณพ่อ มาพักทานข้าวก่อนนะคะหนูกับคุณแม่ทำอาหารมาให้หลายอย่างเลย น่าทานมากเลยค่ะ”
“นี่พวกคุณมาที่ทำงานกันทำไม เดี๋ยวผมก็กลับไปทานข้าวที่บ้านก็ได้” เขาหันไปเอ่ยกับภรรยาที่กำลังจัดการจัดวางอาหารลงบนโต๊ะรับแขกกลางห้อง
“ก็ลูกสาวคุณสิคะ รบเร้าให้มาหาคุณที่นี่ ปิดเทอมแล้วว่างมากเลยเบื่อจะอยู่บ้านแล้วมั้งคะ” หวงหว่านอิ๋งเอ่ยด้วยรอยยิ้ม
“ก็หนูอยากมาดูคุณพ่อทำงานนี่คะ อยู่บ้านเหงาจะตาย สู้ออกมาข้างนอกไม่ได้มีอะไรน่าสนุกเยอะแยะเลย”
“เอาล่ะมาทานข้าวก่อนเถอะค่ะคุณ ลูกด้วยจ่ะทานข้าวพร้อมคุณพ่อกันเลยดีกว่า”
“เดี๋ยวหนูไปตามพี่เทียนเหิงกับพี่เหว่ยหนานมาทานด้วยกันนะคะ”
“ไม่เป็นไรลูก นั่งลงเถอะ สองคนนั้นไม่อยู่บริษัทหรอกวันนี้พ่อให้พวกเขาออกไปพบลูกค้า” คนเป็นพ่อเอ่ยบอกลูกสาวด้วยรอยยิ้มเอ็นดู
แม้ลูกชายสองคนจะรบรากันแค่ไหนแต่ก็เป็นเรื่องปกติของคุณชายในตระกูลใหญ่ดังนั้นคนเป็นพ่อแม้จะหนักใจอยู่บ้างแต่ก็รู้ดีว่าระหว่างพี่น้องคงไม่ถึงกับห้ำหั่นกันถึงตาย อย่างน้อยในบ้านหลังนี้ก็มีภรรยาและลูกสาวที่สามารถทำให้เขารู้สึกคลายใจและสบายใจมากกว่ามองดูลูกชายหน้าตาบูดบึ้งอย่างซ่งเหว่ยหนานและลูกชายที่ปั้นหน้ายิ้มแต่แอบเจ้าแผนการอย่างซ่งเทียนเหิง
สามคนพ่อแม่ลูกนั่งกินข้าวกลางวันร่วมกันอย่างมีความสุขต่างจากลูกอีกสองคนที่กำลังไม่ต่างจากอยู่ในสมรภูมิรบ
ซ่งเหว่ยหนานกับซ่งเทียนเหิงถูกส่งให้มาพูดคุยรายละเอียดเพิ่มเติมกับคู่ค้าคนสำคัญอย่างตระกูลจาง เกี่ยวกับการจัดงานแถลงข่าวที่จะเซ็นสัญญาร่วมกันระหว่างซีกรุ๊ปและจางกรุ๊ปที่จะมีการร่วมทุนกันในอีกไม่กี่วันข้างหน้า เพื่อสร้างความสนิทสนมระหว่างสองบริษัทให้มากขึ้นซ่งจุ้นรุ่ยจึงอยากให้ลูกชายทั้งสองได้ทำความรู้จักกับตัวแทนของอีกฝ่ายซึ่งเป็นลูกชายของประธานจางเอาไว้เช่นกัน
แม้บรรยากาศการพูดคุยของสองบริษัทเป็นไปอย่างเรียบง่ายและดูสบายๆ แต่สองพี่น้องก็แอบกดดันกันไปมาอยู่เบื้องหลัง ซ่งเหว่ยหนานมีท่าทีไม่เป็นเดือดเป็นร้อนอะไรนักกับการเจรจาในครั้งนี้เพราะเขาและจางอี้ห้าวรู้จักกันเป็นการส่วนตัวอยู่ก่อนแล้ว
พวกเขาเคยเรียนห้องเดียวกันตอนไฮสกูล แม้ว่าการเจอกันใครครั้งนี้จะเป็นเรื่องบังเอิญที่อีกฝ่ายถูกส่งตัวมาพูดคุยแทนพี่ชายก็ตาม ส่วนซ่งเทียนเหิงกลับเกร็งไปหมดจนอดไม่ได้ที่จะรู้สึกประหม่าเพราะสายตาที่มองเขาแบบแปลกๆ จากอีกฝ่ายตลอดการสนทนา
“น้องชายนายน่ารักดีนะ” จางอี้ห้าวแอบกระซิบซ่งเหว่ยหนานทั้งที่สายตายังไม่เลิกมองซ่งเทียนเหิงแม้แต่น้อย ซ่งเหว่ยหนานพอจะเดาได้ว่าเขาคิดอย่างไร แต่ยังไงเสียเทียนเหิงก็ยังเป็นน้องชายหากเขาไม่เต็มใจซ่งเหว่ยหนานก็ไม่คิดจะทำร้ายกันลับหลัง
“น้องฉัน นายอย่าคิดแผลงๆ เชียวถึงฉันจะไม่ค่อยชอบหน้ามันเท่าไหร่ก็เถอะ แล้วก็นะ หมอนี่มันก็ไม่ธรรมดาหรอกเห็นแบบนี้ร้ายใช่ย่อยนายก็อย่าหาเรื่องใส่ตัวจะดีกว่า”
ซ่งเหว่ยหนานกระซิบกลับด้วยท่าทีสบายๆ ขณะที่ซ่งเทียนเหิงทำหน้าที่บรรยายการจัดงานให้ทั้งสองฟังด้วยความรู้สึกอึดอัดแปลกๆ บางอย่างจากสายตาของคนตรงหน้า
“คุณชายจางไม่ทราบว่าชอบรูปแบบงานที่ทางเราจัดเตรียมไหมครับ”ซ่งเทียนเหิงถามอีกฝ่ายอย่างนอบน้อมพยายามทำให้คู่ค้าพึงพอใจอย่างเต็มที่เพื่อไม่ให้เสียชื่อเสียงบริษัทแม้ว่าจะเริ่มรู้สึกไม่ชอบใจคนตรงหน้าสักเท่าไหร่แล้วก็ตาม
“ครับดีมากครับ คุณว่ายังไงก็ตามนั้นเลยครับผมไม่มีปัญหา”
“ครับ อย่างนั้นผมจะให้คนของบริษัทเราจัดการเรื่องนี้ให้เรียบร้อยทางจางกรุ๊ปไม่ต้องเป็นห่วงครับ”
“เอาล่ะ ประชุมกันเสร็จแล้วไปทานข้าวกันเถอะครับ นายด้วยนะเหว่ยหนานเราจะได้คุยกันต่อไปหาอะไรกินแล้วดื่มรำลึกความหลังกันหน่อยเป็นไง”
“ได้ยังไงฉันก็ว่างอยู่แล้ว”
“คุณล่ะครับคุณชายรอง”
“ครับ แน่นอนครับ”
ซ่งเทียนเหิงรับคำอย่างไม่เต็มใจนักแต่เพราะเห็นอีกฝ่ายเป็นลูกค้าสำคัญจึงยอมรับแบบเสียไม่ได้ อีกทั้งเขาไม่วางใจให้ซ่งเหว่ยหนานได้หน้าไปคนเดียวอีกครั้งแน่นอน
พวกเขาไปทานอาหารในร้านอาหารหรูแห่งหนึ่งที่ซ่งเทียนเหิงเป็นคนจัดการจองโต๊ะให้ในห้องดินเนอร์ส่วนตัว หลังทานอาหารเสร็จแน่นอนว่าพวกเขายังคงพูดคุยกันและดื่มต่ออยู่ในสถานที่นั้น ซ่งเทียนเหิงตั้งใจดูแลจางอี้ห้าวเป็นอย่างดี ขณะที่ซ่งเหว่ยหนานเพียงแต่ดื่มอยู่ในห้องนั้นเงียบๆ อย่างไม่สนใจใครนัก
ซ่งเทียนเหิงเริ่มรู้สึกว่าตัวเองเมาหลังจากดื่มไปพอสมควรแล้วจึงทิ้งตัวเอนลงบนโซฟาในห้อง สุดท้ายก็เผลอหลับไปทั้งอย่างนั้น ขณะที่ซ่งเหว่ยหนานนั้นยังดื่มต่อไปเรื่อยๆ กับจางอี้ห้าวที่เริ่มหันมาคุยกับเขาแทนน้องชายที่เมาหลับ
“น้องนายน่ารักมากจริงๆ นะ”
“นายอย่าบอกนะว่า”
“อืม..”
“เห้ย... นายอย่าทำเป็นเล่นนะ ฉันจะเกลียดมันยังไงมันก็น้อง นายมันพวกเจ้าชู้ฉันเห็นนายทิ้งขว้างมากี่คนแล้วเด็กของนายน่ะได้ข่าวว่าควงไม่ซ้ำหน้า อีกอย่างอาเหิงมันคงไม่ชอบแบบนี้หรอก”
“ว่าไม่ได้ฉันยังไม่ลองจีบเขาเลย ถ้าฉันจีบติดล่ะพี่ชาย”
“ถ้ามันชอบนายฉันจะห้ามอะไรได้ แต่ห้ามบังคับใจกันเด็ดขาดไม่งั้นฉันไม่ยอมนายน่าจะรู้จักนิสัยฉันดี”
“เอาน่า เพื่อน น้องนายฉันจริงใจมาก ฉันจะพยายามให้เขาชอบฉันถ้าเขาไม่ชอบจะไม่บังคับใจเด็ดขาดฉันสัญญา”
“ว่าแต่ที่ว่าแสบนี่จริงไหม”
“นายคิดว่าไงล่ะ”
ซ่งเหว่ยหนานมองดูไอ้น้องชายตัวดีที่เมาหลับไม่รู้เรื่องไม่อยากคิดว่าถ้าเขาไม่มาด้วยมันคงถูกเพื่อนเขาหิ้วขึ้นห้องไปแล้ว คนอย่างคุณชายจางใช่คนดี ๆ ที่ไว้ใจได้เสียที่ไหน มันเจ้าชู้จะตายข้อนี้เขารู้ดี
ซ่งเหว่ยหนานมองน้องชายตัวเองอย่างเย้ยหยัน ไอ้หมอนี่มันทำได้ทุกอย่างจริงๆ เพื่อแย่งชิงกับเขา ก่อนหน้านี้เขาเพิ่งรู้ว่าที่สองคนผัวเมียนั่นและผู้หญิงคนนั้นเข้าถึงตัวเขาได้เพราะมีซ่งเทียนเหิงอยู่เบื้องหลัง
ในวันนั้นเขาเกือบมาไม่ทันประชุมกับบริษัทของจางกรุ๊ปเพราะมัวยุ่งกับเรื่องของผู้หญิงคนนั้นจนเกือบเลยเวลา ยาที่โดนวางมันแรงมากจนทำให้เขาตื่นสายเกือบไปไม่ทัน ทั้งยังต้องเสียเงินซื้อคลิปบ้าๆ นั่นไปตั้งสิบล้าน เพราะไอ้ตัวดีที่นอนเมาพับอยู่ตรงนั้นแท้ๆ
หากไม่ใช่น้องซ่งเหว่ยหนานจะปล่อยให้มันถูกเพื่อนจางของเขาหิ้วไปกินบนห้องบ้างเป็นการแก้แค้นเสียให้สะใจ
“เอาล่ะ เล่นกับนายมาทั้งวันแล้ว ฉันขอตัวก่อน”
“อะไรกันจะกลับแล้วเหรอ”
“อืม จะให้ฉันอยู่ต่อทำไมอีก นายนัดเด็กมาแล้วไม่ใช่เหรอ” ซ่งเหว่ยหนานว่าพลางพยุงตัวปัญหาที่มันยังหลับไม่รู้เรื่องขึ้นมาประคองไว้
“ก็แค่เสียดาย” คุณชายจางเอ่ยอย่างเสียดาย เขานัดเด็กไว้ก็จริงแต่สุดท้ายก็สนใจซ่งเทียนเหิงมากกว่า คนตรงหน้าไม่สามารถทำให้เขาละสายตาไปได้จนอยากจะปล่อยให้นอนอยู่ตรงนี้ด้วยกันให้เขาได้นั่งมองอีกฝ่ายทั้งคืน
“วันเซ็นสัญญาเป็นนายหรือพี่นายที่จะมาร่วมงาน” ซ่งเหว่ยหนานถามคุณชายรองตระกูลจางเพราะรู้ว่าอีกฝ่ายเพียงแค่มาแทนพี่ชายตนเองเท่านั้น
“ก็ไม่รู้ ระยะนี้พี่ไม่ค่อยว่าง พ่อเลยให้ฉันจัดการทุกอย่างแทน เขายังไปต่างประเทศอยู่เลย แต่จะเป็นใครยังไงสัญญาของพวกเราสองบริษัทก็ไม่เปลี่ยนแปลงอยู่ดี พ่อฉันพอใจมากกับการเจรจาครั้งนี้” จางอี้ห้าวเอ่ยทั้งที่ยังคุยกับซ่งเหว่ยหนานอยู่แต่เขากลับเรียกชายหนุ่มหน้าตาน่ารักที่เพิ่งมาถึงให้เข้ามานั่งตักแล้ว กอดอีกฝ่ายเอาไว้ทั้งที่สายตาตัวเองยังจ้องซ่งเทียนเหิงตาเป็นมัน
“โอเค ถ้างั้นฉันไปล่ะ” ซ่งเหว่ยหนานเอ่ยลาและลากน้องชายออกไปเมื่อเห็นว่าอีกฝ่ายกำลังจะสวีทหวานกับเด็กที่เรียกมานั่งคุย
ซ่งเทียนเหิงตื่นขึ้นมาในสภาพที่แทบจำเรื่องราวอะไรเมื่อคืนไม่ได้ นี่เขาดื่มหนักขนาดนี้เลยเหรอ โชคดีวันนี้เป็นวันหยุดเขาจึงไม่ต้องเข้าบริษัท หลังจากลืมตาสู้แสงสว่างในห้องพร้อมกับอาการปวดหัวได้สักพัก ซ่งเทียนเหิงก็ลุกขึ้นนั่งด้วยความระบมรวดร้าวไปทั้งร่าง ก่อนจะรู้สึกตัวว่าตัวเองเจ็บก้นอย่างมากจนนั่งแทบไม่ไหว
“ไม่นะ” เมื่อคิดถึงบางอย่างได้ก็หน้าเสียก่อนจะเดินพรวดพลาดออกจากห้องไปเคาะประตูห้องข้างๆ ด้วยความฉุนเฉียว
“พี่เปิดประตูเดี๋ยวนี้นะ ซ่งเหว่ยหนานบอกให้เปิดประตูไง!!” ซ่งเทียนเหิงโวยวายลั่นเมื่อคิดบางอย่างได้
“ปัง! ปัง! ปัง! ปัง!”
เขาเคาะประตูอย่างบ้าคลั่งด้วยความโกรธจนมือไม้สั่นน้ำตาคลอไปหมด ซ่งเหว่ยหนานไอ้คนใจร้ายจะใจดำกับเขาแค่ไหนก็ไม่น่ามาทำลายกันด้วยวิธีแบบนี้ยังไงเขาก็เป็นน้องนะ ไม่เห็นเขาเป็นน้องก็น่าจะเห็นแก่หน้าพ่อบ้าง กล้าเอาเขาไปบูชายันต์กับซาตานอย่างจางอี้ห้าวได้ยังไงกัน
เพราะแบบนี้สินะถึงได้เจรจางานสำเร็จใครๆ ก็รู้ว่าจางอี้ห้าวมีรสนิยมทางเพศแบบชายรักชายแถมเจ้าตัวยังเจ้าชู้บ้าตัณหาที่สุด
“บอกให้เปิดไง!!” ซ่งเทียนเหิงโวยวายน้ำเสียงเครือ มือของเขากำแน่นวางพิงบนประตูบานนั้นพร้อมกับหยาดน้ำตาที่เริ่มไหลออกมาจากความแค้นใจ
TBC.