ตอนที่ 6/2

1945 Words
ดลเทพขับรถไม่นานก็พาตัวเองเข้าสู่เขตคฤหาสน์หลังใหญ่สไตล์ตะวันตกซึ่งสองข้างทางประดับประดาไปด้วยไม้ดอกและต้นไม้ที่ได้รับการตกแต่งดูแลจากคนสวนเป็นอย่างดี แลดูสวยงามและให้ความร่มรื่นแก่ผู้อาศัยอยู่ไม่น้อย ไหนจะน้ำพุที่ตั้งตระหง่านตรงหน้าคฤหาสน์ที่เขากำลังนำรถมาจอดอยู่ในขณะนี้ก็ให้ความสวยงามไม่แพ้ไม้ดอกไม้ประดับบริเวณรอบบ้าน ดลเทพจัดการดับเครื่องยนต์เตรียมตัวลงจากรถ ทว่ายังไม่ทันได้เปิดประตูรถยนต์คันหรู เสียงเครื่องมือสื่อสารข้างกายก็ดังขึ้นมาอีกครั้ง ส่งผลให้หัวคิ้วเข้มขมวดเข้าหากันเล็กน้อย ก่อนจะกดรับสายเมื่อเห็นว่าเป็นหมายเลขโทรศัพท์ของผู้ช่วยหนุ่ม “ว่าไง?” “ผมส่งรัญนราถึงบ้านแล้วนะครับบอส” “อืม” เขาครางเสียงเป็นการรับรู้ จากนั้นก็กดวางสาย ภาพร่างเล็กเปียกปอนที่ยืนสั่นราวกับเจ้าเข้าฉายวกเข้ามาในหัวอีกครั้ง ปกติเขาไม่เคยสนใจหรือลงไปยุ่งกับพนักงานคนไหนเลย แต่ทำไมกับรัญนราเขาถึงรู้สึกเห็นใจเธอขนาดนี้ด้วยนะ! ดลเทพส่ายหัวเล็กน้อยให้กับความคิดในขณะนี้ก่อนที่จะก้าวลงจากรถแล้วพาตัวเองเข้าไปในบ้าน ภายในห้องโถงที่กว้างขวางโอ่อ่า แต่มันกลับว้าเหว่เงียบเชียบราวกับป่าช้าก็ไม่เชิง แม้เขาจะอยู่ในคฤหาสน์หลังใหญ่ที่รายล้อมไปด้วยคนงานและยังมีคุณพ่อที่นั่งวีลแชร์มายี่สิบกว่าปีแล้ว ทว่าในบางครั้งเขากลับรู้สึกเหมือนอยู่คนเดียวบนโลกใบนี้ ร่างสูงก้าวเข้าไปหาบิดาซึ่งนั่งอยู่ในรถเข็นที่ตอนนี้กำลังนั่งเหม่อลอยเหมือนรอคอยอะไรบางอย่าง ก่อนจะคุกเข่าลงนั่งตรงหน้าท่านเหมือนอย่างทุกครั้ง แม้บิดาของเขาจะเลยเข้าหกสิบกว่าไปแล้ว หากทว่าใบหน้าคมคร้ามนี้สะอ้านเกลี้ยงเกลา เพราะได้รับการดูแลอย่างดีจากพยาบาลที่ชายหนุ่มจ้างมาและถึงแม้ว่าท่านจะเดินไม่ได้แต่เพราะได้นักกายภาพมาดูแลตลอดอย่างเคร่งครัด จึงทำให้บิดายังแข็งแรงอย่างทุกวันนี้ หากแต่ช่วงนี้ท่านผอมซูบลงไปมากอาจเป็นเพราะช่วงนี้ทานได้น้อย “คุณพ่อเป็นอย่างไรบ้างครับ?” นี่เป็นประโยคที่เขามักจะถามบิดาทุกครั้งเมื่อมานั่งลงตรงหน้าของท่าน ทว่าสิ่งที่ได้กลับมามีแต่ความเงียบเท่านั้น ดลเทพทำได้แค่คุยอยู่คนเดียวเล่าเรื่องที่บริษัทบ้าง เล่าเรื่องทั่วไปบ้าง เพื่อให้พ่อได้รับรู้โลกภายนอก เมื่อก่อนตอนที่คุณปู่ยังอยู่คุณพ่อจะพูดมากกว่านี้ แต่หลังจากคุณปู่จากไปเมื่อสี่ปีก่อน คุณพ่อแทบจะไม่พูดคุยกับใครเลย แม้แต่กับเขาก็เหมือนกัน ถึงจะหานักจิตวิทยาที่ดีที่สุด บิดาก็ยังคงเหมือนเดิม… ในระหว่างรอแม่บ้านนำอาหารมาให้บิดา ดลเทพก็ยังคงพูดคุยเรื่องโน้นเรื่องนี้ให้ท่านฟัง กระทั่งเมื่อแม่บ้านเข้ามาพร้อมกับข้าวผัดปูร้อนๆ ชายหนุ่มจึงหยุดการสนทนากับบิดา จากนั้นรับจานข้าวผัดปูชวนส่งกลิ่นหอมน่ากินมาจากแม่บ้านขอป้อนผู้เป็นบิดาเอง “คุณพ่อลองกินสักคำนะครับ” ดลเทพจับช้อนตักเม็ดข้าวสวยที่มีเนื้อปูอยู่ด้วยแล้วยกขึ้นมาป้อนบิดา ซึ่งท่านก็ยอมกินแต่กินได้ไม่กี่คำก็เบือนหน้าหนี เขาเลยทำได้แค่ส่งจานข้าวที่พร่องไปนิดเดียวคืนให้แม่บ้านยกออกไป ก่อนจะหันมาสนใจบิดาบนวีลแชร์อีกครั้ง เห็นท่านทานข้าวได้น้อยแบบนี้แล้วอดเป็นห่วงไม่ได้ “คุณพ่อไม่สบายตรงไหนหรือเปล่าครับ?” ถามออกไปแล้วสิ่งที่ได้กลับมาคือความเงียบเหมือนเดิม ในเมื่อไม่สามารถทำอะไรได้มากกว่านี้อีกแล้ว ดลเทพจึงลุกออกไปโทรเรียกหมอประจำตระกูลให้มาตรวจดูอาการของบิดาที่บ้าน เนื่องจากเกรงว่าหากปล่อยท่านไว้แบบนี้อาจทำให้ร่างกายทรุดลงกว่าเก่า เพียงไม่นานคุณหมอวัยกลางคนซึ่งเป็นหมอประจำตระกูลก็มาถึงโดยมีคนขับรถไปรับ และเมื่อหมอตรวจดูอาการของท่านดิฐาอย่างคร่าวๆ แล้ว เผยรอยกังวลปรากฏขึ้นบนใบหน้าอีกฝ่าย “ถ้าคุณดิฐาทานน้อยแบบนี้ ผมเกรงว่าอาจจะทำให้ร่างกายอ่อนแอไปมากกว่านี้ แล้วเมื่อร่างกายไม่แข็งแรงอาจเป็นเหตุให้เจ็บป่วยได้ง่าย ทางที่ดีตอนนี้เราควรพาท่านไปให้สารอาหารที่โรงพยาบาลก่อนนะครับ” “โอเคครับคุณหมอจัดการตามที่เห็นสมควรเถอะครับ” ดลเทพพยักหน้าพร้อมกับหันไปสั่งการพยาบาลพิเศษเตรียมของใช้ส่วนตัวของบิดาเพื่อไปนอนให้สารอาหารที่โรงพยาบาลตามที่คุณหมอแนะนำ ความจริงดลเทพขยาดโรงพยาบาลเป็นที่สุด หากไม่สบายหนักหนาสาหัสเขาจะไม่มาเหยียบสถานที่นี้เด็ดขาด! เพราะเขาเคยต้องมานอนเฝ้าบิดาเกือบค่อนปี หลังจากเกิดอุบัติเหตุกับท่าน แล้วหลังจากออกจากโรงพยาบาลแล้ว เวลาที่ท่านต้องมาพบหมอทำกายภาพบำบัด คุณปู่มักจะให้เขามาเป็นเพื่อนคุณพ่อบ่อยๆ ก็เพราะแบบนี้เขาถึงไม่ถูกกับโรงพยาบาล ดลเทพนั่งมองบิดาที่นอนให้สารอาหารอยู่บนเตียงผู้ป่วยอย่างเงียบๆ รอจนกระทั่งผ่านไปเกือบสามชั่วโมงได้ชายหนุ่มจึงหันไปสั่งการกับพยาบาลพิเศษสองถึงสามประโยค จากนั้นร่างสูงใหญ่ถีบเท้าออกจากห้องแล้วมุ่งหน้าไปทางลิฟต์เพื่อกลับบ้าน ทว่าในขณะยืนรอลิฟต์อยู่นั้น เสียงทักของใครคนหนึ่งดังมาจากด้านหลัง “อ้าวดล! มีใครเป็นอะไรหรือเปล่า?” ร่างเพรียวยาวในชุดกาวน์ซึ่งเป็นหมอศัลยแพทย์สมองประจำที่นี่ เดินเข้ามาหาเขาด้วยสีหน้าสงสัย “คุณพ่อมารับวิตามินน่ะ” ดลเทพเอ่ยกับเพื่อนสนิทเพียงคนเดียวก่อนจะพากันไปนั่งบนโซฟาสีครีม “คุณลุงไม่ได้เป็นอะไรมากใช่ไหม?” คุณหมอสาวเอ่ยถามคนทำหน้าเคร่งเครียด “อืม แค่เบื่ออาหารน่ะ นอนให้น้ำเกลือสักวันสองวันก็ดีขึ้นแล้ว” ยามกล่าวถึงบิดาหัวคิ้วเข้มเริ่มขยับชิดมุ่น จนมนัญญาเห็นแล้วต้องยกมือบีบบ่ากว้างของเขาเบาๆ “ดีแล้วที่คุณพ่อไม่เป็นอะไรมาก” ดลเทพรู้จักมนัญญามาตั้งแต่เด็กและสนิทกันมากจนคนนอกที่ไม่รู้จักพวกเขาต่างพากันเข้าใจว่าพวกเขาทั้งสองเป็นแฟนกันเสียด้วยซ้ำ ทั้งที่ในความเป็นจริงแล้วเขากับเธอเป็นแค่เพื่อนกันเท่านั้น และเป็นเพื่อนที่สนิทกันมากด้วย เวลาเขามีเรื่องไม่สบายใจมีเพียงเธอคนเดียวที่เขาสามารถปรึกษาและปรับทุกข์ได้เสมอ ซึ่งเธอก็ทำหน้าที่เพื่อนให้คำปรึกษาเขาดีสมกับที่เป็นคุณหมอจริงๆ ดลเทพคุยกับเพื่อนสาวสักพักจึงขอตัวกลับ “โอเคงั้นเรากลับก่อน” ดลเทพลุกขึ้น ใบหน้าเริ่มปรากฏร่องรอยแห่งความเหนื่อยล้าพาให้คนเป็นเพื่อนนึกเป็นห่วง “อือไปเถอะ ไว้ค่อยเจอกันใหม่นะ” คุณหมอสาวกล่าวอย่างเข้าใจก่อนจะแยกตัวไปอีกทาง ส่วนดลเทพก็พาตัวเองลงไปยังโรงจอดรถชั้นใต้ดินของโรงพยาบาลเพื่อกลับไปพักเช่นกัน ใช้เวลาไม่ถึงครึ่งชั่วโมง รถหรูซึ่งขับโดยดลเทพก็เข้ามาจอดที่หน้าคฤหาสน์ ชายหนุ่มไม่ได้เข้าไปนั่งในห้องโถงสีทองแต่กลับเดินขึ้นไปเปลี่ยนชุดแล้วลงมาออกกำลังกายในห้องฟิตเนส ซึ่งอยู่ติดกับห้องรับแขก เขาใช้เวลาในห้องนี้ไปกับการวิ่งบนลู่วิ่งและยกเวทเกือบสองชั่วโมง ก่อนจะพาตัวเองออกมานั่งพักที่ห้องโถง ไม่นานก็เห็นป้าแมวเดินเข้ามาหาเขาด้วยรอยยิ้มชื่นมื่น “คุณหนูอยากกินอะไรเป็นพิเศษไหมคะ เดี๋ยวป้าจะได้ทำให้กินค่ะ” “ผมกินมาเรียบร้อยแล้วครับ ป้าแมวไปพักผ่อนเถอะครับ” ดลเทพบอกหญิงวัยกลางคนที่มักจะเป็นห่วงและใส่ใจเขาเสมอด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน “ค่ะ งั้นพรุ่งนี้ป้าทำโจ๊กหมูสับให้คุณหนูกินก่อนไปทำงานนะคะ” ป้าแมวก่อนออกไป ดลเทพพยักหน้าอย่างขอบคุณ จากหน้าก็ก้มลงอ่านข่าวเศรษฐกิจในหน้าจอแท็บเลตต่อ ….. รุ่งเช้าวันต่อมารัญนรามาทำงานแต่เช้า แต่ในระหว่างที่กำลังยืนรอลิฟต์อยู่พร้อมกับทุกคน ญานิศากับรนิดาที่เพิ่งมาถึงรีบเดินเข้ามายืนขนาบข้างพร้อมกับกระซิบกระซาบ “ได้ข่าวว่าเมื่อวานตอนเย็นผู้ช่วยสุดหล่อของท่านประธานไปส่งน้องเมย์ที่บ้านเหรอ แหมมาทำงานไม่เท่าไรก็มีหนุ่มๆ มาขายขนมจีบแล้วนะยะ” ญานิศาหยอกก่อนหัวเราะคิก ตามมาด้วยเสียงหัวเราะเบาๆ ของรนิดา เมื่อถูกรุ่นพี่สาวแซวหนักเข้า รัญนรารีบแก้ต่างให้ตัวเอง เพราะไม่อยากให้รุ่นพี่ทั้งสองที่เปรียบเสมือนกล้องวงจรปิดประจำออฟฟิศเย้าแหย่เธออีก กลัวคนอื่นจะเข้าใจผิดไปกันใหญ่ “เปล่าค่ะ พอดีเจอกันโดยบังเอิญพี่เขามีน้ำใจเลยไปส่งก็แค่นั้นเอง ไม่มีอะไรจริงๆ” แต่ดูเหมือนคำอธิบายของเธอจะไม่เป็นผลในเมื่อรุ่นพี่สาวยังแซวไม่เลิก “ไม่ต้องอายหรอกค่ะน้องเมย์ เชื่อไหมว่าตั้งแต่พี่มาทำงานที่นี่มาเกือบห้าปีแล้ว พวกพี่ยังไม่เคยเห็นผู้ช่วยโยธินไปส่งพนักงานสาวคนไหนกลับบ้านเลย น้องเมย์เป็นคนแรก แสดงว่ามือขวาของบอสอาจจะชอบและจีบน้องเมย์ก็ได้นะ” “นั่นสิ เฮ้ออยากกลับไปเป็นเด็กจบใหม่บ้างจังจะได้มีคนมาสนใจบ้าง” รนิดาเสริมทับอีกตามเคยพร้อมแกล้งทำหน้าเศร้า จนรัญนราอดยิ้มไม่ได้ เตรียมจะบอกว่าไม่มีอะไร ทว่าสายตาเหลือบไปเห็นดลเทพกับโยธินเดินเข้ามาทางลิฟต์ผู้บริหารพอดี เธอรีบหยุดประโยคที่จะพูด ก่อนค้อมหัวลงเล็กน้อยแล้วคำพูดของโยธินเมื่อเย็นวานก็ผุดขึ้นมาในหัว ‘ไม่ต้องขอบคุณพี่หรอก พรุ่งนี้น้องเมย์ไปขอบคุณท่านประธานเองก็แล้วกัน’ รัญนราเงยหน้ามองใบหน้าคมเข้มที่มีความหล่อไม่ต่างจากพระเอกในหนัง แม้อยากจะขอบคุณเขาที่ให้ผู้ช่วยหนุ่มไปส่งเธอที่บ้าน ทว่าตรงนี้ไม่ได้มีแค่เธอคนเดียวที่ยืนรอลิฟต์อยู่ ยังมีญานิศาและรนิดารวมถึงพนักงานอีกสองถึงสามคนที่ตอนนี้กำลังกล่าวทักทายท่านประธาน ไว้มีโอกาสเธอค่อยขอบคุณเขาก็แล้วกัน แต่ถึงอย่างนั้นก็ส่งยิ้มน้อยๆ ให้ร่างสูงในชุดสูทสีครีมและผู้ช่วยหนุ่ม โยธินส่งยิ้มให้เธอเช่นกัน ต่างจากอีกคนกลับทำหน้านิ่งขรึม ทำให้รอยยิ้มของรัญนราค่อยๆ มลายหายไป ยอมรับว่าทำตัวไม่ถูกที่ได้รับเพียงความเฉยชาจากเขา ขณะที่คนอื่นๆ นั้นชายหนุ่มกลับยิ้มรับคำทักทาย ***********
Free reading for new users
Scan code to download app
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    Writer
  • chap_listContents
  • likeADD