ได้ยินสหายกล่าวเช่นนั้น จีหลุนถึงกับใบหน้าอึมครึมลงไปอีกหลายส่วน เขาลืมเรื่องนี้ไปเสียสนิท มัวแต่ห่วงเล่ห์เหลี่ยมกลโกงของศัตรู
“เอ๊ะ! จริงด้วย ข้ายังไม่ได้เห็นใบหน้านางชัดๆ เลยสักคราว นางเอาแต่อ้างว่าเป็นธรรมเนียมของเผ่าที่ไม่อาจจะเปิดหน้าให้บุรุษเห็นได้ หากว่าความจริงนางขี้ริ้วขี้เหร่ล่ะก็ มิใช่ว่าข้าได้ภรรยาทั้งทีทั้งพิการทั้งขี้ริ้วหรอกนะ”
ลี่เทียนเป่ามองซ้ายมองขวาก่อนจะกัดฟันพูดกับสหาย “เหล่าจี การที่เจ้าได้รับสมรสพระราชทานครั้งนี้ก็ไม่นับว่าเสียเปรียบหรอกกระมัง เดิมเจ้าก็มีอาการบาดเจ็บนั่นอยู่แล้ว เจ้าแต่งกับนางที่เป็นคนพิการก็ไม่ต้องร่วมรัก ดีแล้วจะได้ไม่มีผู้ใดรู้ความลับของเจ้า”
จีหลุนแสยะยิ้ม “หึ! เพราะความแค้นนี้นี่ล่ะ ข้าจึงอยากจะฆ่าพี่ชายของนางให้ตายคามือ ไหนเลยจะอยากแต่งไปร่วมเครือญาติ”
กุนซือหนุ่มพลันนึกได้อย่างหนึ่ง “เหล่าจี นี่มิใช่ว่า กัวเยี่ยนสือรู้เรื่องที่เจ้าบาดเจ็บตรงนั้นหรอกนะ? ที่ส่งน้องสาวมาแต่งงานกับเจ้าก็เพราะเรื่องนั้น”
แม่ทัพหนุ่มกัดฟันกรอดๆ “มันคิดจะเยาะเย้ยข้าอย่างนั้นหรือ?”
“ข้าว่าเป็นแผนมากกว่า ได้ยินมาว่าหัวหน้าเผ่าเหลียนซารักใคร่บุตรสาวคนนี้ยิ่งนัก ผู้ใดจะส่งบุตรสาวสุดที่รักมาแต่งกับบุรุษที่พร้อมจะมีภรรยาได้หลายคนเล่า? หากว่าให้นางแต่งงานกับเจ้า เรื่องนี้เป็นอันว่าไม่ต้องห่วง”
“ข้าไม่เชื่อว่าพวกเขาที่รบไม่ถอยมาสี่ปี จู่ๆ จะคิดเรื่องง่ายๆ อย่างนี้ออกมา บางทีห้าเผ่าอาจจะมีแผนการซ่อนอยู่”
“ต่อให้เจ้าจะสงสัย แต่ยามนี้เจ้าก็ต้องแต่งงานกับนางแล้ว พรุ่งนี้ พระราชโองการก็คงจะไปถึงวังจี เรากลับไปเตรียมตัวกันจะดีกว่า” ลี่เทียนเป่าเห็นใบหน้าของสหายเปลี่ยนสลับเขียวสลับแดงด้วยความโมโหก็รีบเตือนสติ
จีหลุนได้แต่ขบเขี้ยวเคี้ยวฟัน นึกสาปแช่งหัวหน้าเผ่าเหลียนซาและบุตรชาย “ได้ ในเมื่อพวกเขาวางแผนเช่นนี้ ข้าก็จะเอาแค้นทั้งหมดมาลงไว้ที่นางก็แล้วกัน”
ฝูกั๋วกงกับฮูหยินได้ยินเรื่องที่บุตรชายบอกก็ถึงกับตะลึงไปเล็กน้อย ก่อนจะหุบยิ้มลงทำสีหน้าเคร่งขรึม
“พ่อ ดูดวงดาวของเจ้าก็เห็นว่าประกายมงคล แต่ขณะเดียวกันก็มีดาวศัตรูอยู่ทิศที่เล็งเข้าหา ไม่คิดว่าจะเกิดเรื่องเร็วเช่นนี้”
จีหลุนใจหายวาบ “ข้าไม่ได้ดูดวงดาวประจำตัวของตนเองเลยขอรับ มัวแต่จัดการเรื่องในค่ายทหารและยังต้องเร่งรีบเดินทางตามพระราชโองการอีก”
“ไม่เป็นไร เรื่องนี้ไม่ได้ทำอันตรายถึงกับชีวิตของเจ้า เพียงแต่เจ้าถูกศัตรูตั้งเป้าเอาไว้แล้ว จะอย่างไรก็ยากจะสลัดพ้น หากว่าแม่นางแซ่กัวผู้นี้เป็นหญิงพิการจริงๆ อย่างนั้นเราก็ให้นางพักอาศัยอยู่ในวังจีไปเถิด เพิ่มคนอีกไม่กี่คนเราก็ดูแลได้”
มารดาของจีหลุนถอนหายใจ “ท่านพี่ เรายังไม่มีหลานสายตรงเลยนะเจ้าคะ หากว่าเสี่ยวหลุนแต่งงานกับแม่นางกัวคนนี้ วันหน้าก็คงต้องรับอนุภรรยาให้ เราจึงจะได้หลาน”
“ฮูหยิน เรื่องนั้นเอาไว้ว่ากันทีหลังเถิด ในเมื่อแม่นางกัวคนนี้ต้องเข้ามาอยู่ในสกุลจีแล้ว เราต้องระวังนางเอาไว้ก่อน ไม่รู้ว่าหัวหน้าเผ่าเหลียนซาต้องการสิ่งใดกันแน่? ข้าไม่เชื่อว่าเขาเลื่อมใสในตัวเสี่ยวหลุนจนต้องการให้บุตรสาวมาแต่งงานด้วย”
“ข้าเข้าใจขอรับท่านพ่อ จะรีบสั่งให้คนของข้าสืบเรื่องนี้โดยเร็วที่สุด”
จีหลุนเล่าให้บิดาและมารดาฟังถึงการสู้รบครั้งสุดท้ายระหว่างเขากับกัวเยี่ยนสือพี่ชายฝาแฝดของกัวเอินถง
“นางบอกว่าพี่ชายบาดเจ็บสาหัสไม่อาจจะออกรบได้อีกแล้ว หลังจากการต่อสู้ครั้งนั้น กัวเยี่ยนสือหายไปแต่มีบุตรชายของหัวหน้าเผ่าฝูซาออกมาแทน คนผู้นี้ อายุยังน้อย การต่อสู้ดุดันโหดเหี้ยม ข้าเคยประมือกับเขาสองครั้งก่อนจะมาที่นี่”
“เสี่ยวหลุน เจ้าไม่อยู่แล้วผู้ใดรับมือแทนเจ้า?”
“ข้าประเมินแล้วว่าด้วยกำลังพลและฝีมือของสองพี่น้องสกุลจิ้นเผ่าฝูซา ไม่อาจจะเอาชนะพญายมคู่อิ่นเฉินของข้าได้ ดังนั้นจึงวางใจให้พวกเขาและ แม่ทัพอาวุโสทั้งสองดูแลแทนขอรับ”
หวังหยุนผิงผู้เป็นมารดาของจีหลุนเห็นว่าต้องเตรียมวังจีเพื่อจัดการสมรสครั้งนี้ให้เหมาะสม นางจึงได้ขอตัวออกไปสั่งพ่อบ้านและบ่าวรับใช้ในเรือน
วังจีเป็นนามที่ปฐมกษัตริย์แห่งราชวงศ์หมิงพระราชทานให้ สาวใช้และบ่าวรับใช้ในวังจีล้วนเป็นคนเก่าแก่ คนเหล่านี้แม่นยำในหลักเกณฑ์และระเบียบของคนชั้นสูง เมื่อได้รับคำสั่งให้เตรียมสถานที่สำหรับการแต่งงานก็เร่งมือเตรียมข้าวของและสถานที่
“พ่อบ้านต้วน พรุ่งนี้หลูกงกงก็คงจะส่งคนมาช่วยดูแล เจ้าอย่าให้ขาดตกบกพร่องเป็นอันขาด ส่วนเรือนนอนของแม่นางกัวนั้น เจ้ารีบจัดการวางเวรยามให้แน่นหนา ปลูกต้นไม้บังตามิให้นางคอยสอดส่องในวังจีได้สะดวก”
ต้วนชางผู้เป็นพ่อบ้านเพิ่งมารับงานต่อจากพ่อบ้านคนเดิมได้ห้าปี เขาเป็นบ่าวรับใช้ที่เติบโตขึ้นมาในวังจีจึงได้รับความไว้วางใจอย่างมาก
“ขอรับ ฮูหยิน”
“แม้จะเป็นสมรสพระราชทาน แต่นางก็คือคนนอก ข้าไม่ได้วางใจแม้สักนิด พี่ชายนางกับท่านชายสู้รบกันมาสี่ปีแล้ว จู่ๆ จะมาแต่งงานเข้าวังจี ข้าเองก็ยังไม่วางใจ เมื่อนางเข้ามาแล้ว เจ้าก็คอยให้คนจับตามองให้ดี”
ขบวนอัญเชิญพระราชโองการดูแล้วชวนให้เกรงขาม หลูกงกงเป็นขุนนางคนสำคัญของวังหลวง เดินทางมาถึงวังจีด้วยตนเอง สกุลจีได้รับความไว้วางพระทัยจากหมิงฮ่องเต้หลังจากยอมทำลายตรามังกรคู่ ดังนั้นเพื่อให้เกียรติและแสดงความจริงใจ หมิงฮ่องเต้จึงส่งหลูกงกงเป็นผู้แทนพระองค์
หลูกงกงมีความเกรงอกเกรงใจในฝูกั๋วกง หลังจากประกาศพระราช โองการและมอบม้วนผ้าลายมังกรนั้นแล้วก็ยังทรุดตัวลงนั่งดื่มชาอู่หลงชั้นดีอีกครู่ใหญ่เพื่อถ่ายทอดพระดำรัสให้กับเจ้าของวังได้ทราบ
“ฝ่าบาทเองก็จนพระทัย ท่านกั๋วกงก็รู้ว่าศึกชายแดนกับห้าเผ่ายืดเยื้อมานาน สูญสิ้นชีวิตทหารและทรัพย์สินไปไม่น้อย ฝ่าบาทไม่ได้ต้องการทำให้ท่านลำบากใจ ทรงรู้ว่าท่านมีบุตรชายเพียงคนเดียวและยังไม่มีทายาทสายหลักที่เกิดจากท่านชายจี นี่เป็นเพราะมีสาส์นมาจากหัวหน้าห้าเผ่าที่ยืนยันว่าต้องการให้แม่นางกัวแต่งงานกับท่านชายจีเท่านั้น ไม่เช่นนั้นก็ไม่จะไม่ยอมสงบศึก ฝ่าบาททรงไม่มีทางเลือกจริงๆ”
ฝูกั๋วกงฟังแล้วก็นิ่งอึ้งไป นี่คงเป็นพระดำรัสที่ฝากหลูกงกงมาเป็นการส่วนพระองค์ ในเมื่อฮ่องเต้ทรงเห็นแล้วว่ากัวเอินถงเป็นสตรีพิการย่อมมิให้นางแต่งกับองค์ชายทั้งหลายที่เป็นพระอนุชา ทว่าขุนนางก็มีให้ทรงเลือกมากมายย่อมต้องละเว้นสกุลจี...นี่คงเป็นเพราะหมดทางจะหลีกเลี่ยง
“ถ้าเช่นนั้น ข้าก็ฝากกราบทูลว่าข้าเข้าใจในความลำบากครั้งนี้ และยินดีจะแบ่งเบาภาระแผ่นดิน”
“ขอบคุณท่านกั๋วกงที่เข้าใจในความลำบากพระทัยของฝ่าบาท”
ท่านชายจีนั่งดื่มสุราอยู่กับลี่เทียนเป่ามองดูบ่าวรับใช้เดินขวักไขว่ไปมา สีหน้าไม่ยินดียินร้าย เขาไม่เคยจินตนาการเลยสักครั้งว่าตนเองจะต้องมาแต่งงานด้วยการถูกยัดเยียดเช่นนี้ เมื่อหลายปีก่อนเป็นเขาที่บอกกับบิดามารดาว่าขอเลือกภรรยาด้วยตนเอง
ต่อมาก็ออกไปเป็นทหารจึงหลีกหนีเรื่องนี้ไปได้ แต่เมื่อสี่ปีก่อนตอนที่ห้าเผ่าก่อศึกครั้งแรกเขาก็เคราะห์ร้าย ถูกกัวเยี่ยนสือทำร้ายเอาที่....การไร้ความรู้สึกส่วนนั้นทำให้จีหลุนเศร้าเสียใจและหมดหวัง มีเพียงลี่เทียนเป่าที่รู้เรื่องนี้ สหายของช่วยสรรหายามาจากทั่วทุกสารทิศแต่ก็ยังไม่ได้ผล
“เหล่าจี! เหล่าจี!”
จีหลุนที่ตกอยู่ในภวังค์ดึงสติคืนมาได้ ครั้นก้มลงมองมือที่ถือกาสุรา เมื่อเห็นสุราไหลราดเลอะเทอะก็รีบตั้งบนโต๊ะ
“เจ้าคิดเรื่องนั้นอยู่หรือ?”
แม่ทัพหนุ่มนิ่วหน้าเล็กน้อย “เหล่าลี่ ข้ามีเรื่องหนึ่งที่ยังไม่ได้บอกกับเจ้า”
เห็นสีหน้าของจีหลุน ลี่เทียนเป่ารีบขยับเข้ามาใกล้ เขารู้สึกว่าสหายมีเรื่องสำคัญมากที่อยากจะบอก “ว่ามาสิ”
“ข้าไม่แน่ใจว่าเป็นเพราะยาที่เจ้าหามาให้พวกนั้นหรือไม่? แต่ยามนี้ข้ารู้สึกว่าร่างกายของข้าเริ่มมีการตอบสนองแล้ว”
“ไอหยา! เจ้าพูดจริงหรือ?” สีหน้าของกุนซือหนุ่มเบิกบานยิ่ง ที่ผ่านมาเขากลุ้มใจกับเรื่องของจีหลุนไม่ต่างไปจากเรื่องของตนเอง
ในยามที่สหายตกอยู่ในห้วงความทุกข์สาหัส ลี่เทียนเป่าก็ไม่อาจจะสงบใจ ที่เขามักจะออกจากค่ายพยัคฆ์ไฟไปเที่ยวเล่นในเมืองฉู่จิ้ง ตามความเข้าใจของคนทั้งหลายคิดว่าเขาเป็นบุรุษเหลวไหลเสเพล ชื่นชอบหญิงคณิกา และมักจะไปร่ำสุราอยู่บ่อยๆ
แท้จริงลี่เทียนเป่าออกไปข้างนอกก็เพื่อเสาะหาตำราและผู้คนที่รู้วิธีการรักษาอาการบาดเจ็บของจีหลุน อาการที่ทำให้บุรุษเจ็บปวดที่ใจยิ่งกว่าการไร้ซึ่งแขนขา
....อาการนี้ไม่อาจจะเอ่ยปากต่อผู้อื่นให้ได้รู้...
***************