บทที่ 1 ฝันของแม่ทัพ

1584 Words
“ครั้งนี้เจ้าตายแน่ จีหลุน!” ร่างในชุดเกราะสีน้ำตาลเข้มแผดเสียง “แน่ใจนะว่าไม่ใช่วันตายของเจ้า หากมั่นใจก็เข้ามาเลย”​ แม่ทัพหนุ่มที่ทวนเหล็กเอาไว้มือขยับปลายนิ้วเพื่อคลายเหงื่อ คนทั้งสองต่อสู้กันมาร่วมหนึ่งชั่วยาม เรี่ยวแรงของฝ่ายนั้นดูเหมือนจะลดลงไปไม่น้อย จีหลุนหรี่ตาลง เหงื่อที่ไหลลงมาจากไรผมโดนปลายหางตา เขาพยายามสะบัดหน้า ควบคุมสติให้มั่น ขยับสองมือเพื่อคลายนิ้วหวังระบายเหงื่อที่ชุ่มโชก ทวนเหล็กเคลือบด้วยความชื้น เท้าของชายหนุ่มเคลื่อนไปด้านข้าง ดวงตาจับจ้องที่คู่ต่อสู้ไม่วางตา “อ๊าก!” บุรุษตรงหน้ากระโดดขึ้นสูงเงื้อดาบใหญ่ขึ้นเหนือศีรษะหมายพิชิตศึกครั้งนี้ให้เด็ดขาด คนผู้นั้นส่งเสียงดังจนชวนหวาดหวั่น จีหลุนยกทวนขึ้นขวาง ใช้มือซ้ายรองส่วนปลายทวนเอาไว้ เขาย่อตัวลงด้วยการถอยเท้าข้างหนึ่ง ปล่อยให้ศัตรูกดดาบลงได้เล็กน้อย ก่อนจะใช้พลังภายในผลักจนอีกฝ่ายกระเด็น ร่างในชุดสีน้ำตาลลอยถอยหลัง ก้นของคนผู้นั้นกระแทกลงพื้น ก่อนที่จะหงายหลังลงไป ดาบพลันกระเด็นออกจากมือ แม่ทัพหนุ่มแห่งแคว้นหมิงได้ทีกระโจนตามไปคร่อมร่างนั้นเอาไว้ ใช้มือซ้ายบีบไปที่คอของอริที่ต่อสู้กันมานับครั้งไม่ถ้วนตลอดเวลาสามปี “วันนี้เป็นวันตายของเจ้า!” จีหลุมออกแรงบีบที่มือขึ้นอีก พลันชายหนุ่มนักรบต้องชะงัก ในดวงตาของเขาปรากฏภาพตนเองกำลังกอดจูบ ปลดเปลื้องอาภรณ์บุรุษตรงหน้า ใจของเขาเต้นกระหน่ำ กระแสความร้อนถูกส่งผ่านผิวที่ลำคอของศัตรูมาถึงฝ่ามือแล้วไหลเข้าสู่ร่างกายอย่างรวดเร็ว คนที่ถูกบีบคออยู่เตรียมจะดิ้นอย่างสุดชีวิต ทว่าพอจ้องตาอีกฝ่าย กลับเห็นดวงตาของจีหลุนกำลังแข็งค้าง มือที่บีบคออยู่ค่อยๆ คลายออก พลั่ก! ร่างของเขาถูกกัวเยี่ยนสือถีบกระเด็นจนกลิ้งไปหลายตลบ พลันรองแม่ทัพซ้ายและรองแม่ทัพขวาของทัพพยัคฆ์ไฟก็พุ่งเข้ามาช่วยอย่างรวดเร็ว พญายมคู่อิ่นเฉินตวัดกระบี่ป้องกันขุนศึกฝ่ายตรงข้ามแล้วรีบลากเอาแม่ทัพจีพร้อมด้วยทวนสะท้านฟ้าออกจากสมรภูมิ ชายหนุ่มสะบัดร่างจากการประคองของอิ่นเหว่ยถิงและเฉินอี้ชิง แล้วแย่งเอาทวนคู่ใจของตนไปถือไว้ “ปล่อยข้า! ยังไม่รู้แพ้รู้ชนะ” “ไม่ทันแล้วขอรับ พวกเขาล่าถอยไปแล้ว” สายตาของแม่ทัพหนุ่มฉายความเสียดายอย่างชัดแจ้ง นี่เป็นเพียงครั้งเดียวที่เขาสามารถเข้าประชิดตัวของศัตรูได้ ที่ผ่านมา ต่างคนต่างได้รับบาดเจ็บแล้วล่าถอย ไม่เคยล่วงล้ำเข้าไปเกินสมรภูมิเลือดแห่งนี้ได้เลยสักครั้ง “บัดซบ! เกือบฆ่ามันได้แล้วแท้ๆ” “ท่านแม่ทัพ! ถึงประตูเมืองหลวงแล้ว” จิ่งอี้องครักษ์ประจำตัวที่นั่งอยู่คู่กับคนขับรถม้าร้องบอกคนด้านใน ลี่เทียนเป่าเห็นสหายขยับเปลือกตาขยุกขยิกแต่กลับไปไม่ยอมตื่น ทั้งยามนี้เหงื่อของแม่ทัพหนุ่มไหลย้อยจึงยื่นมือไปเขย่าต้นแขนเบาๆ “แม่ทัพจี ตื่นเถิด!” จีหลุนค่อยๆ ลืมตาขึ้น ศีรษะที่พิงรถม้ามีเหงื่อซึมออกมาตามไรผม กุนซือหนุ่มเลิกคิ้ว “เจ้าฝันร้ายอีกแล้วหรือ? อย่าบอกนะว่าฝันเรื่องที่ต่อสู้กับกัวเยี่ยนสือ” “อืม...” “เจ้าคงจะเสียดายที่คราวนั้นฆ่าเขาไม่สำเร็จ” จีหลุนพูดไม่ออก ครั้งนั้นไม่เพียงเสียดายที่ไม่อาจจะฆ่าผู้นำทัพฝ่ายตรงข้ามไม่สำเร็จ แต่ยังมีความรู้สึกบางอย่างที่พลุ่งพล่านหลงเหลืออยู่ด้วย ความรู้สึกในวันนั้นทำให้เขายังคงฝันถึงเรื่องนี้อยู่เป็นระยะ ตลอดหลายปีที่มาประจำการอยู่ที่ค่ายพยัคฆ์ไฟซึ่งเป็นค่ายทหารฝั่งตะวันตกของแคว้นหมิง ชายหนุ่มทำหน้าที่อย่างเข้มแข็ง ชนเผ่าเขตทะเลทรายมักจะรุนรานเข้ามาอยู่เรื่อย อาจเป็นเพราะความพยายามฆ่าล้างในเขตทุ่งหญ้ามังกรที่อยู่เลยทะเลทรายหมื่นลี้ ทำให้กระทบถึงห้าเผ่าที่อาศัยอยู่บนเนินเซี่ยงซาวาน ทำให้พวกเขามองหาแผ่นดินใหม่ที่จะตั้งรกราก เมื่อห้าเผ่าพยายามรุกเข้ามาแบ่งดินแดนอันอุดมสมบูรณ์ในแคว้นหมิง จึงเป็นหน้าที่ของแม่ทัพจีที่ต้องยกไพร่พลไปต้านเอาไว้ แม่ทัพหนุ่มนิ่งไปครู่หนึ่ง เขายังอยู่ในอาการงัวเงีย มือใหญ่รูดผ้าม่านหน้าต่างรถม้า ยื่นหน้าออกไปมองแถวชาวบ้านที่กำลังรอการตรวจหนังสือเข้าเมือง “ถึงเสียที ข้าจะได้นอนเตียงใหญ่สบายๆ แล้ว”​ “จะว่าไปพวกเราไม่ได้กลับเมืองหลวงเกือบสามปีแล้วนะ มาคราวนี้ข้าจะถือโอกาสเที่ยวเล่นเสียให้ทั่ว” ลี่เทียนเป่ายิ้มกว้าง “พรุ่งนี้ก็อย่าลืมแล้วกันว่าต้องเข้าเฝ้า” “ไม่ลืมแน่นอน” “ไม่ดีๆ คืนนี้เจ้าไปนอนที่วังจีกับข้าก่อนก็แล้วกัน” กุนซือหนุ่มยิ้มกริ่ม “นึกว่าจะไม่ชวนเสียแล้ว ข้าชอบอาหารที่พ่อครัว สกุลจีทำที่สุดเลย รสชาติดี ละมุนลิ้น กินอาหารที่ค่ายจนเบื่อแล้ว” “เหล่าลี่ หากว่ามีคนอื่นที่พึ่งพาได้มากกว่าเจ้า ข้าคงไม่พาเจ้ามาด้วยแน่” จีหลุนทำหน้าเอือม “คืนนี้ห้ามดื่มสุรานะ จำเอาไว้” “ได้ๆ ข้าไม่ดื่มแน่นอน” จีหลุนมองลี่เทียนเป่าด้วยความเอือมปนขำ คนผู้นี้มีฉายาว่า ‘กุนซือสื่อสวรรค์’ ไม่เพียงแต่เชี่ยวชาญในตำราพิชัยยุทธ ช่วยวางกลศึกได้อย่างแยบยล ทำนายทายทักเหตุการณ์ที่ต้องการคำตอบ คำนวณดินฟ้าอากาศได้แม่นยำ แต่ยังการอ่านใจผู้อื่นจากท่วงท่าและการแสดงออกได้อย่างถูกต้อง ครั้งนี้...เขาจำต้องลากเอาลี่เทียนเป่ามาด้วย แม้จะต้องสิ้นเปลืองสุราสักหน่อยแต่ก็หวังว่าคนผู้นี้จะช่วยให้หนักกลายเป็นเบา “เอาเถอะเหล่าลี่ หากว่าทุกอย่างผ่านพ้นไปได้ด้วยดี ข้าจะหาสุราแสงจันทร์ให้เจ้าสักไห” “จริงหรือ?” สีหน้าของลี่เทียนเป่ากระตือรือร้น “เจ้าเห็นข้าเป็นคนสับปลับหรือไร?” “มิได้ๆ ท่านแม่ทัพเป็นผู้มีสัจจะยิ่ง กล่าวคำใดย่อมเป็นคำนั้น” การเดินทางครั้งนี้จีหลุนให้ทหารฝีมือดีร่วมร้อยคนของเขาแต่งกายอย่างชาวบ้าน ทว่าจำนวนรถม้าและม้าที่ตามกันมานั้น ดูแล้วก็ยังชวนให้คนเกรงขามเพราะมีเพียงบุรุษวัยฉกรรจ์ ก่อนจะเข้าประตูเมือง ท่านแม่ทัพหนุ่มให้คนทั้งหมดเก็บอาวุธรวมกันที่รถม้าคันกลาง เมื่อเห็นลักษณะสดุดตาของคนขบวนใหญ่ ทหารที่เฝ้าประตูเมืองก็รีบวิ่งเข้ามาสอบถาม ลี่เทียนเป่าจึงลงจากรถม้านำเอาหนังสือแสดงตัวของตนกับจีหลุนให้ พอทหารเฝ้าประตูเมืองเห็นเช่นนั้นก็ชี้ให้พวกเขาไปยังประตูเล็ก “พวกท่านคือทหารจากค่ายพยัคฆ์ไฟนี่เอง มีคำสั่งจากเบื้องบนมาแล้วขอรับว่าให้เปิดทางสะดวกให้พวกท่าน ทางโน้นขอรับประตูทางด่วน” ลี่เทียนเป่าพยักหน้ารับ โบกมือให้ขบวนของตนเข้าประตูอีกฝั่งหนึ่ง จีหลุนที่นั่งบนรถม้ามองดูผู้คนที่กำลังเดินทางเข้าออกประตูเมืองด้วยความสนใจ เขาไม่ได้กลับมาเมืองหลวงนานแล้ว เป็นเพราะชายแดนตะวันตกมีปัญหามากมาย การสู้รบกับพวกชนเผ่าติดพันจนไม่อาจจะปลีกตัวขอพักกลับมาบ้านได้ ห้าชนเผ่าในทะเลทรายหมื่นลี้พยายามจะบุกรุกเพื่อแย่งชิงดินแดนส่วนหนึ่งของแคว้นหมิง พวกเขาอยากจะมีผืนแผ่นดินอุดมสมบูรณ์เพื่ออยู่อาศัยและการเพาะปลูก เริ่มแรกจากมีผู้อพยพทยอยเข้ามาในเขตชายแดน จากนั้นก็กลายเป็นการปล้นชิงทรัพย์ และลุกลามมาเป็นสงครามแย่งดินแดน ลี่เทียนเป่าขึ้นมาบนรถม้าอีกครั้ง เขามองดูหญิงสาวในเมืองหลวงที่เดินขวักไขว่ตามท้องถนนแล้วยิ้มกว้าง “นี่ เหล่าจี ข้ารู้สึกว่าในเมืองหลวงยามนี้มีหญิงสาวเดินไปมามากกว่าเมื่อก่อน เจ้าเห็นเหมือนข้าหรือไม่?” “อืม...เจ้าจำไม่ได้หรือ? จดหมายข่าวนกกระจิบเคยลงบทความเรื่องของบทบาทของหญิงสาวในเมืองหลวง ทุกวันนี้พวกนางล้วนเลียนแบบหลวนฮองเฮากับพระชายาของท่านอ๋องเก้า” “อ้อ...พอพวกนางไม่ได้หวังพึ่งพาบุรุษแล้ว ก็เลยมีสตรีออกมาเดินตามท้องถนนกันมากขึ้น ทั้งไปสำนักศึกษาอย่างเค่อเฉิง เรียนการค้า เรียนงานฝีมือ และมีทั้งฝึกวรยุทธ์” ลี่เทียนเป่ามองเห็นขบวนของมือปราบเมืองหลวงเดินผ่านมา พอมองดีๆ เขาถึงกับทำตาโต “เฮ้! เหล่าจี ข้าเห็นมือปราบหญิงด้วยล่ะ หน้าตาน่ารักเสียด้วย” “เจ้าตื่นเต้นไปไย? น้องสาวของข้าก็ยังเป็นหัวหน้าสำนักข่าวนกกระจิบได้ พวกมือปราบหญิงในเมืองหลวงจะนับเป็นกระไร?” “เออ...จริงของเจ้า ยุคสมัยล้วนแตกต่าง” พลันกุนซือหนุ่มก็มองเห็นสตรีสวมหมวกคลุมศีรษะอีกหลายคน “แต่ก็ยังมีพวกยึดขนบธรรมเนียมอยู่เหมือนกันนะ ดูท่าพวกแม่นางน้อยเหล่านั้นคงจะเป็นคุณหนูที่ยังไม่แต่งงาน” ***************
Free reading for new users
Scan code to download app
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    Writer
  • chap_listContents
  • likeADD