“อ้า…. ไม่นึกเลยว่ามันจะเลยเถิดมาถึงขั้นนี้”
มิกส์ในร่างหมูเหล็กถอนหายใจเฮือกใหญ่ สภาพห้องและสิ่งของด้านในนั้นเละเทะไปหมด ไม่สิ ต้องเรียกว่าไม่เหลือชิ้นดีเลยมากกว่า
ส่วนดิสน่ะเหรอ? ตอนนี้เขานอนสลบหมดสภาพอยู่กลางห้อง
บอดี้การ์ดเพ่งสายตามองไปทางอีกฝ่าย “ก็รู้อยู่หรอกว่าบอกให้ใส่เต็มที่ แต่ทำแบบนี้ไม่กลัวบ้านพังเลยรึไง?”
พอว่าจบมิกส์ก็ก้มลงมองแขนซ้ายตัวเองที่ถูกบิดหักจนผิดรูป มันคือฝีมือของดิส
เฮ้อออ….
“จ่ายค่ารักษาให้ด้วยแล้วกัน”
จริงอยู่ที่มิกส์สามารถชนะมาได้ แต่ถ้าดิสได้เรียนจากเขาจนช่ำชอง ลูกศิษย์คนนี้อาจจะเหนือกว่าอาจารย์ก็เป็นได้
ห้องนอนดิส
อึกก!
อื้อ…
อืม….
ดิสส่งเสียงครางในลำคอก่อนจะค่อยๆ ลืมตาตื่นขึ้นมาบนเตียงนุ่มๆ ในห้องตัวเอง
‘นี่เราหมดสติไปงั้นเหรอ? ’
ดิสจำทุกอย่างก่อนหน้าได้เล็กน้อย เขาวัดระดับกับบอดี้การ์ดของตนด้วยการต่อสู้ หลังจากนั้นก็รู้สึกควบคุมตัวเองไม่ได้ ดิสค่อยๆ ยันกายลุกขึ้นนั่งบนเตียงพร้อมทั้งอาการปวดระบมทั่วร่าง
‘นี่เราโดนอัดจนสลบไปอย่างงั้นเหรอ? ’
ดิสยกมือนวดศีรษะตนเองเล็กน้อย ตอนนี้เขาค่อนข้างมึนหัวนิดหน่อย
‘นี่มันผลข้างเคียงจากการโดนอัดสินะ’
“จ่ายค่ารักษามาเลย”
เสียงอันคุ้นหูดังมาจากข้างเตียงเขา ดิสหันควับไปมองทันทีอย่างตกใจ ภาพที่เห็นคือบอดี้การ์ดหนุ่มนั่งเก้าอี้มองมายังเขาด้วยใบหน้าบึ้งตึง และที่สำคัญ แขนข้างซ้ายของอีกฝ่ายนั้นใส่เฝือกอยู่
ดิสมองไปเฝือกนั้นก่อนจะเลิกคิ้วแล้วชี้นิ้วมาที่ใบหน้าตน “นั่นฝีมือผมเหรอ?”
มิกส์พยักหน้า ก่อนจะกล่าวต่อ “จ่ายค่ารักษามาเลย แล้ววันหลังก็ไม่ต้องเอาจริงเอาจังขนาดนั้นก็ได้ครับ”
เมื่อดิสได้ยินแบบนั้นก็หรี่ตามองอีกฝ่าย “ค่ารักษาเดี๋ยวจะชดใช้ให้ครับ แต่คุณบอกให้ผมเอาจริงเองไม่ใช่เหรอ?”
เมื่อได้ยินดิสพูดแบบนั้น มิกส์ก็ถึงขั้นถอนหายใจออกมาเสียงดัง “ก็รู้ว่าบอก แต่ห่วงคนในบ้านจะโดนลูกหลงบ้างก็ได้ คุณไม่กลัวโดนคนในบ้านเลยรึไง ถ้าหากว่าการต่อสู้มันเลยเถิดไปจนถึงนอกห้อง”
พอมิกส์กล่าวจบก็ฉุกคิดอะไรบางอย่างขึ้นได้ “ว่าแต่ทำไมวันนี้ผมไม่เห็น พ่อบ้านคนขับรถหรือใครเลยล่ะ?”
ดิสยกมือขึ้นบีบไหล่ตัวเองนิดหน่อยด้วยอาการปวด ดูเหมือนเขาเพิ่งจะสังเกตได้ว่าบนใบหน้าตนมีพลาสเตอร์แปะอยู่ทุกที่ที่มีอาการช้ำหรือแผลถลอก
‘ฝีมือเขาสินะ’
พอเช็คเสร็จดิสก็หันไปตอบอีกฝ่าย “พ่อกับแม่ไปต่างประเทศ ส่วนลูกจ้างในในบ้านผมให้ผมลาพักได้ 1 อาทิตย์น่ะ”
เมื่อบอดี้การ์ดหนุ่มได้ยินแบบนั้นก็ถึงกับอ๋อ เขาเข้าใจแล้วว่าทำไมเสียงดังขนาดนั้นยังไม่มีใครมาดู แต่เขามีเรื่องที่แปลกใจกว่า
‘ทำไมทั้งๆ ที่แพ้ แต่เขาดูไม่เจ็บใจเลยนะ? ’
มิกส์หรี่ตามองดิส “เอาเป็นว่าตอนนี้ผมรู้ระดับคุณแล้ว คุณเก่งกว่าที่ผมคิด พรุ่งนี้ผมจะเริ่มสอนแล้วกัน วันนี้พอแค่นี้ก่อน”
เมื่อดิสได้ยินดังนั้นก็พยักหน้ารับอย่างเข้าใจ “เข้าใจแล้วครับ เย็นนี้ผมมีนัดด้วย”
‘โดนบอดี้การ์ด ระดับ AAA ชมแล้วรู้สึกใจชื้นแฮะ’
มิกส์ที่ได้ยินดิสพูดแบบนั้นก็หันไปมองนาฬิกาที่แขวนอยู่บนผนังห้อง “นี่ก็กำลังจะทุ่มแล้วนะ มันไม่ใช่ว่าเลยตอนเย็นมาแล้วเหรอ?”
“ว่าไงนะ?”
ดิสหันไปมองนาฬิกาด้วยอีกคนทันที นี่มันเลยเวลาที่ดิสนัดกับราชาวดีแล้ว!
ดิสเลิกคิ้วสูงพร้อมรีบดีดตัวเองลงจากเตียงทันที แต่นั่นไม่ใช่เรื่องง่ายนักเมื่ออาการบาดเจ็บจากการต่อสู้มันกำเริบหนัก
ดิสล้มลงไปกองกับพื้นห้อง แล้วร้องโอดโอยออกมาอย่างทรมาน บอดี้การ์ดที่เห็นแบบนั้นก็ถอนหายใจ มิกส์จึงใช้แขนข้างเดียวของตนพยุงอีกฝ่ายลุกขึ้นยืน
“ยังไงหลักๆ แล้วคุณก็จ้างผมมาเป็นบอดี้การ์ด ถ้างั้นจนกว่าจะสิ้นเดือน ให้ผมดูแลคุณตามหน้าที่เถอะ เดี๋ยวผมไปส่ง”
ดิสที่ได้ยินแบบนั้นถอนหายใจออกมา เขาไม่มีทางเลือกสักหน่อย “ช่วยพาผมไปที่โรงพยาบาลแห่งหนึ่งหน่อย เดี๋ยวผมจะบอกทางเอง”
รถแท็คซี่ขับมาจอดที่หน้าตึกโรงพยาบาล นี่เป็นสถานที่แสนคุ้นเคยสำหรับเขา ดิสค่อยๆ เปิดประตูลงมาจากรถโดยที่ยังมีมิกส์ที่ใส่เฝือกพยุงอยู่
ตอนนี้เขาเริ่มจะทรงตัวได้แล้ว คงเพราะพักพื้นไปพอสมควร
ดิสควักมือถือออกมาก่อนจะโทรติดต่อหาราชาวดีว่าตอนนี้ตนได้มาถึงแล้ว
ไม่นานนักหญิงสาวผมสีชมพูสวมแว่นสายตาก็เดินตรงมาหาเขา เธอดูท่าทางอารมณ์เสียเล็กน้อย
พอมาหยุดตรงหน้าราชาวดีที่กำลังอารมณ์ไม่ดี พอเห็นสภาพดิสก็ถึงกับชะงัก
“รอยช้ำพวกนี้คงไม่ได้เกี่ยวข้องกับที่มาสายหรอกใช่มั้ย?”
ดิสยิ้มแห้งเมื่อได้ยินอีกฝ่ายถามแบบนั้น “ก็เกี่ยวอยู่นิดหน่อยแต่อย่าไปสนใจเลย มันไม่ใช่อะไรสำคัญหรอก”
ราชาวดีไม่ค่อยเชื่อดิสสักเท่าไหร่ เธอหันไปมองบอดี้การ์ดหนุ่มเล็กน้อยก่อนที่ฝ่ายตรงข้ามจะยกมือข้างที่ใส่เฝือกโบกไปมาแล้วยิ้มให้เธอ
ราชาวดีถอนหายใจแล้วมองไปทางดิส ก่อนปรับเปลี่ยนอารมณ์ให้ผ่อนคลายลง “ไม่เป็นไรก็ดีแล้ว…”
“ว่าแต่มีเรื่องอะไรจะคุยกับเราล่ะ ถึงได้นัดมาเจอแบบนี้”
พอได้ยินราชาวดีถามมาตรงประเด็นแบบนี้ ดิสก็หันไปทางมิกส์เล็กน้อย ก่อนกลับมามองราชาวดี
“คือเราขอคุยแบบเป็นส่วนตัวกว่านี้ได้มั้ย?”
พอว่าจบแล้วดิสก็ยื่นหน้าไปกระซิบข้างหูราชาวดี “มันเกี่ยวกับพญาครุฑน่ะ”
To be continued →