ดิสถอดหน้ากากอนามัยออกก่อนจะยกกาแฟขึ้นจิบเบาๆ โชคดีจริงๆ ที่ร้านนี้ไม่ค่อยมีลูกค้า จะได้ไม่ต้องระแวงว่าจะมีใครจำเขาได้
ดิสรู้ดีว่าบอดี้การ์ดตนต้องเดินทางมาถูกแน่ เพราะร้านกาแฟนี้ตนมาประจำตอนเรียนกับยานเกราะ และมิกส์ก็รู้ก็เห็นทุกครั้ง
แล้วก็เป็นไปตามคาด
มิกส์เปิดประตูร้านเดินเข้ามาในสภาพหอบๆ เหงื่อโชกตัวเปียกปอนไปทั่วสูทสีดำที่สวมใส่อยู่
บอดี้การ์ดหนุ่มเดินหมดแรง มาทิ้งตัวนั่งลงตรงข้ามกับดิส
“กว่าผมจะฝ่านักข่าวมาได้แม่งโคตรเหนื่อย แต่คุณมานั่งจิบกาแฟชิลๆ เนี่ยนะ”
เมื่อเห็นมิกส์บ่นแบบนั้นดิสก็ยิ้มมุมปากเล็กๆ “ใครว่าผมชิล ผมก็กำลังทำใจให้สงบรอปรึกษาคุณนี่ไง”
บอดี้การ์ดหนุ่มได้ยินแบบนั้นก็ถอนหายใจเบาๆ ก่อนจะเอ็นหลังพิงกับพนักที่นั่ง
ดิสจิบกาแฟอีกครั้งก่อนจะเริ่มบทสนทนา
“มันไปไกลขนาดไหนแล้วล่ะเรื่องนี้?”
มิกส์ถอนหายใจอีกครั้ง “สื่อต้องการจะสัมภาษณ์คนในเหตุการณ์เมื่อคืนทั้งหมด ตอนนี้ทางสำนักงานพรานทมิฬเหมือนกำลังเร่งติดต่อพวกเราอยู่”
เมื่อดิสได้ยินแบบนั้นก็ยกมือขึ้นนวดขมับเบาๆ “คุณก็โดนด้วยสินะ”
มิกส์พยักหน้าตอบ “ใช่… ต้นสังกัดของผมเหมือนจะไม่ค่อยชอบเท่าไหร่ที่ผมก็ติดไปในคลิปด้วย และเมื่อเช้ามีหมายเรียกมา ถ้าเรายังลอยชายแบบนี้สักพักก็คงกลายเป็นหมายจับแน่ๆ”
ดิสรู้ดีว่าบอดี้การ์ดตนโดนหางเลขไปด้วยแน่ เพราะไปที่ดันเจี้ยนนั้นกับเขา ส่วนมิกส์นั้นก็ประมาทและเห็นแก่เงินเกินไปจึงคิดไม่ถี่ถ้วน
ทั้งที่บอดี้การ์ดระดับตอง A อย่างเขาควรจะห้ามดิสไว้ได้แท้ๆ แต่ดันทำผิดกฏหมายไปพร้อมกัน อย่างกับแก๊งวัยรุ่นเกเรซะงั้น ไม่แปลกเลยหากจะถูกลงโทษจากบริษัท
ดิสถอนหายใจ เขาก็อยู่ของเขาเฉยๆ ทำไมเรื่องวุ่นวายต้องพุ่งเข้ามาใส่เขาไม่หยุดแบบนี้
‘ไอ้พวกบอส เควส มอนเตอร์ ระบบเวร!’
ดิสสบถด่าในใจ เขาอยากเป็นพรานทมิฬก็จริง แต่อย่างน้อยมันก็ควรจะเป็นขั้นเป็นตอน ไม่ใช่ถาถมมามั่วซั่วแบบนี้ เขารับมือไม่ถูก
ขณะที่ทั้งสองคนกำลังนั่งเคร่งเครียดอยู่ในร้าน ชายร่างกายกำยำสวมแว่นกันแดดคนหนึ่งก็เปิดประตูเข้ามา
เขาสวมแจ็คเก็ตหนังสีน้ำตาลคู่กับกางยีนส์ บนใบหน้าที่ดูดุดันมีหน็วดเคราเล็กน้อยและไว้ผมลองทรงสูงปัดข้าง
ดูแล้วคงอายุไม่ต่ำกว่า 30 ปี
ดิสและมิกส์นั้นไม่ได้สนใจสักเท่าไหร่ พวกเขานั้นกำลังปรึกษาหาทางออกด้วยกันอยู่อย่างจริงจัง
ชายแปลกหน้าเดินตรงมาทางพวกเขา ก่อนจะทิ้งตัวนั่งลงข้างดิส ทั้งคู่หันไปมองชายคนนั้นพร้อมกันพร้อมกับขมวดคิ้ว
ชายคนนั้นมองทั้งสองด้วยใบหน้าเรียบนิ่งก่อนจะยกมือขึ้นโบกไปมาเพื่อทักทาย “นั่งด้วยได้มั้ยเด็กๆ”
ดิสเลิกคิ้วสูงก่อนจะกล่าวถามอีกฝ่ายอย่างไม่เข้าใจ “คุณมีธุระอะไรกับเรารึเปล่าครับ?”
ชายแปลกหน้าคนนั้นเริ่มยิ้มขึ้นมาเล็กน้อย ก่อนจะควักตราอะไรสักอย่างขึ้นมาวางไว้บนโต๊ะ
มิกส์ที่ก็งงไม่น้อยรีบหยิบขึ้นมาดู ก่อนจะขม็วดคิ้วอ่านออกเสียงเพื่อความแน่ใจ
“เจ้าหน้าที่ ตรีชาติ ผดุงนคร หัวหน้าหน่วยควบคุมและปราบปรามผู้มีพรสวรรค์ (คปพส.) ”
ชายคนนั้นยิ้มมองดิสที่ตะลึงก่อนจะยกมือขึ้นถอดแว่นกันแดดบนหน้าตนออก
“ช่วยมากับเราหน่อยได้มั้ย พอดีมีเรื่องจะคุยด้วย”
ดิสยิ้มตอบอีกฝ่ายก่อนจะหันไปทางมิกส์เพื่อขอความคิดเห็น บอดี้การ์ดหนุ่มขยิบตาส่งซิกว่ามีเรื่องจะคุยด้วยก่อน ทำให้ดิสที่เข้าใจได้ทันทีพยักหน้ารับคำ
ชายหนุ่มมองไปยังเจ้าหน้าที่คนนั้นหรือที่ชื่อว่าตรีชาติ ก่อนจะกล่าวตอบ “พวกเราขอคุยกันแปปหนึ่งนะครับ”
ตรีชาติผายมือไปทางดิส “ตามสบาย”
ดิสและมิกส์ลุกขึ้นพร้อมกันโดยเป้าหมายคือมุมร้าน พอทั้งสองมาถึง มิกส์ยกมือขึ้นปาดเช็ดเหงื่อบนใบหน้าเล็กน้อย
“เราซวยแล้วล่ะครับ ถ้าหัวหน้าหน่วยถึงขั้นมาหาเราส่วนตัวแบบนี้มันไม่ธรรมดาแล้ว”
เมื่อดิสได้ยินแบบนั้นใบหน้าก็ตรึงเครียดขึ้น เขาหันไปมองทางตรีชาติเล็กน้อยก่อนจะหันกลับมาหามิกส์ “มันหมายความว่ายังไง?”
มิกส์กลืนน้ำลายลงคอดังอึ่กก่อนจะเริ่มเล่า
“หน่วยคปพส. คือหน่วยงานที่รับผิดชอบเรื่องของผู้มีพรสวรรค์โดยเฉพาะ… โดยขึ้นตรงกับรัฐบาลเหมือนพรานทมิฬ”
“คุณเคยสงสัยมั้ยล่ะว่าในประเทศไทยที่เต็มไปด้วยผู้มีพลังพิเศษแบบนี้ ทำไมถึงไม่ค่อยมีไอ้บ้าน่าไหนกล้าแตกแถวกันนัก?”
เมื่อดิสได้ยินแบบนั้นก็ขมวดคิ้ว “เพราะกลัวหน่วยนี้งั้นเหรอ?”
มิกส์พยักหน้า “ใช่แล้ว ทหารในหน่วยนี้ได้ชื่อว่าเป็นสัตว์ประหลาดกันทุกคน ทหารทุกนายถูกฝึกมาเป็นอย่างดีจนแม้แต่พรานทมิฬยังต้องกลัว ไม่เคยมีผู้มีพรสวรรค์คนไหนที่ถูกล้อมเข้าจับกุมแล้วรอดเลยสักราย”
ดิสถอนหายใจ แต่มิกส์ก็คงกล่าวต่อ “และการที่หัวหน้าหน่วยมาหาด้วยตัวเองแบบนี้คงเพราะว่าระดับของคุณที่สามารถปิดดันเจี้ยนแรงค์ A และประจัญหน้ากับมอนเตอร์คลาส S ได้ คุณคงถูกเพ่งเลงเป็นพิเศษแล้วล่ะ”
มิกส์เว้นช่วงเล็กน้อย “ต่อให้คุณรวยแค่ไหนก็คงจะรอดยาก”
เมื่อดิสได้ยินแบบนั้นก็ยกมือขึ้นกุมขมับ เขาตั้งใจจะหันไปมองตรีชาติเล็กน้อย แต่วินาทีนั้น ตรีชาติกลับมายืนประชิดเขาซะแล้วตั้งแต่ตอนไหนไม่รู้
ดิสตกใจแต่เก็บอาการเอาไว้ แต่ทันไดนั้นหัวใจกลับเต้นดัง สายตาเขาจ้องประสานกับอีกฝ่ายที่ประจัญหน้ากันอยู่ก่อนจะเปลี่ยนสีทอง
อีกฝ่ายไม่ต้องแผ่ออร่าเขาก็รับรู้ได้โดยสัญชาตญาณเลยว่าตรีชาติอันตรายแค่ไหน
เขาควรทำยังไงดี? บัดนี้ร่างร่างกายเขามันร้อนรุ่มขึ้นมาซะแล้วอย่างควบคุมไม่ได้
'ตอนนี้เนี่ยนะ?'
To be continued →