...ปีนั้นดอกไห่ถังร่วงโรยท่านมาลา
ยามนี้ดอกไม้บาน
เหตุใดท่านไม่มา
แม้ล่วงเข้าสามปี
เหตุใดข้ายังคอย...
หุบเขาเดียวดาย เมื่อสักหลายปีก่อนเกรงว่าจะไม่ได้ชื่อนี้ แต่เพราะผู้คนที่ขึ้นมาบนเขาแล้วได้พบกับชายหนุ่มที่เฝ้ารอคอยคนรักอยู่เพียงลำพัง คนผู้นั้นช่างดูเดียวดายนัก พวกเขาจึงเรียกที่แห่งนี้ว่า หุบเขาเดียวดาย
ชายหนุ่มแม้จะดูเปลี่ยวเหงา แต่กลับเต็มไปด้วยศรัทธาอันแรงกล้า ความหวังจากก้นลึกของหัวใจคือการเห็นคนรักของตนเดินขึ้นมาจากเนินดินลูกนั้น
แต่สามปีผ่านไป ยังไร้เงาคน ใครๆ ต่างก็ลงความเห็นว่าคนรักของชายหนุ่มคงจากไปไม่หวนคืนแล้ว เหลือทิ้งไว้เพียงคนรักผู้รอคอยการกลับมาอย่างคนโง่เขลา
ผู้ใดจะบอกว่าท่านไม่กลับมา
ไม่เป็นไรข้าจะเชื่อท่าน
ผู้ใดจะบอกว่าท่านลืมข้าแล้ว
ไม่เป็นไรข้าจะเชื่อท่าน
ทว่าท่านกลับทำลายความเชื่อนั้นของข้าเสียหมดสิ้น ด้วยข้อความเพียงไม่กี่คำว่า
‘ลืมข้าเถิด’
สามปี สามปีที่ข้ารอ สามปีที่ข้าเสียไป ข้าได้อะไรกลับมา มีเพียงอักษรไม่กี่คำ กับกระดาษกลางเก่ากลางใหม่
นี่หรือคือสิ่งที่ข้ารอ...
ข้าอ่านมันซ้ำอีกรอบและอีกรอบ ก่อนจะหัวเราะออกมาเสียงดัง เงยหน้ามองฟ้าแต่มันกลับขมุกขมัวไปด้วยหยาดน้ำตา หัวสมองว่างเปล่าอย่างไม่รู้จะทำเช่นไรต่อดี
กระทั่งมืดค่ำ ยุงป่าเริ่มกัดข้าจึงหาไฟมาจุด มองกองไฟสีแดงเหมือนใจข้าโดนแผดเผา วูบหนึ่งคิดอยากโดดลงไปเสียอย่างนั้น แต่วูบต่อมาข้าก็นึกได้ว่า กองไฟเล็กน้อยเท่านี้จะทำให้ข้าตายได้อย่างไร อย่างมากก็เพียงทำให้ข้าปวดแสบปวดร้อนจากแผลไฟไหม้ไปอีกหลายวัน
ข้ามองกระดาษในมือที่ขยุ้มจนยับอีกรอบ ตอนที่คนผู้นั้นหยิบกระดาษขึ้นมาเขียน เคยนึกถึงหน้าข้าบ้างหรือไม่ ยามจรดน้ำหมึกลงไป เคยนึกถึงคำมั่นสัญญาที่ให้ไว้บ้างหรือไม่ หรือยามที่ตวัดปลายพู่กัน คนผู้นั้น ...เคยรักข้าบ้างหรือไม่
สายลมยามราตรีแม้พัดพาเพียงแผ่วเบา แต่กลับทำให้ข้าอ่อนแอยิ่งกว่าทุกวัน
ช่างว่างเปล่ายิ่งนัก