เหมือนโลกถล่มทลาย

1401 Words
ร่างบางนั่งรอผลตรวจสุขภาพบางรายการ ที่ทางโรงพยาบาลสามารถแจ้งผลได้เลยในวันนี้ ซึ่งก็คือผลตรวจแสกนสมอง ที่เธอตั้งใจรอคอยอย่างใจจดใจจ่อ แองจี้นั่งรอคอยอย่างสงบ ถึงแม้ในใจจะเป็นกังวลมากเพียงใดก็ตาม เวลาผ่านไป2ชั่วโมง เจ้าหน้าที่ก็มาเรียกให้เธอเข้าไปฟังผลการตรวจแสกนสมอง ที่ห้องตรวจของนายแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ ด้านโรคทางสมองโดยเฉพาะ นายแพทย์วัยกลางคนก้มลงอ่านข้อมูลรายงาน ผลการตรวจแสกนสมองของผู้เข้ารับการตรวจ ด้วยใบหน้าที่เคร่งเครียด แองจี้เห็นดังนั้นจิตใจก็เริ่มสั่นไหวอย่างรุนแรง เพราะปฏิกิริยาแบบนี้ของคุณหมอ เธอจดจำได้เป็นอย่างดี เมื่อครั้งที่ได้รับแจ้งผลการตรวจร่างกายในชีวิตก่อน “ผิดปกติหรือคะคุณหมอ” น้ำเสียงประหม่าตัดสินใจเอ่ยถามออกไป เมื่อในห้องตรวจมีแต่ความเงียบงันเกิดขึ้น ด้วยความร้อนใจเธอจึงตัดสินใจเปิดประเด็นคำถามออกไป “เห้อ คุณพอจะรู้บ้างแล้วหรือครับ จึงได้ตั้งใจมาตรวจแสกนสมอง ทั้งๆที่ยังไม่มีใบส่งตัวมาตรวจจากแพทย์เจ้าของไข้” “ดิฉันมีอาการแบบที่อ่านเจอในหนังสือเกี่ยวกับโรคทางสมองค่ะ จึงได้เป็นกังวลเลยมาขอตรวจสุขภาพในวันนี้” แองจี้ตอบออกไปด้วยอาการร้อนรน เพราะเธออยากรู้ผลการตรวจจนแทบนั่งไม่ติดเก้าอี้อยู่แล้ว แต่คุณหมอก็ยังไม่แจ้งผลสักที เพราะเห็นว่าเป็นเด็กสาวที่ไม่มีผู้ปกครองมาด้วย “คุณอายุยังน้อย มีปกครองมาด้วยไหมครับ เพราะโรคทางสมองอาจจะต้องมีความเห็นพร้อมจากผู้ปกครอง” นายแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ เมื่อรับรู้อายุของผู้เข้ารับการตรวจก็ยิ่งเป็นกังวล เพราะอายุของเธอเพียงแค่18 ปีเท่านั้น ซึ่งถือว่ายังน้อยมาก กับการที่ต้องมารับฟังปัญหาใหญ่ขนาดนี้ “พ่อแม่ของดิฉันอยู่ต่างจังหวัดค่ะ คุณหมอสามารถแจ้งดิฉันได้เลย หากมีอาการรุนแรงก็คงได้ติดต่อพ่อแม่ในภายหลัง แต่ดิฉันอยากรู้ผลก่อนในเบื้องต้น เพราะไม่อย่างนั้นคงเครียดจนนอนไม่หลับแน่ๆ” แองจี้แจ้งความประสงค์ออกไปตามตรง เพราะเธออยากรู้ผลตรวจด้วยตนเองเสียก่อน ที่จะได้เรียบเรียงคำพูดไปบอกเล่าให้พ่อกับแม่รับรู้ในภายหลัง ยิ่งแม่ของเธอที่มีปัญหาด้านหัวใจอยู่เล็กน้อย ต้องกินยาเป็นประจำทุกวัน จึงไม่อยากให้พวกท่านมารับฟังจากปากของคุณหมอโดยตรง เพราะอาจจะเป็นกังวลจนเกินไปเหมือนเธอในเวลานี้ “ตกลงครับ คุณเข้มแข็งมากผมขอชื่นชม ตั้งสติให้ดีนะครับ ผลการตรวจออกมาว่าคุณมีเนื้องอกในสมอง ตอนนี้ก็เติบโตจนทับเส้นประสาทสำคัญแล้ว จำเป็นต้องรักษาด้วยวิธีการผ่าตัดถึงจะมีโอกาสรอด ซึ่งโอกาสรอดอยู่ที่ประมาณ2เปอร์เซนต์เพียงเท่านั้น ตามสถิติที่ได้รวบรวมไว้ทั่วโลก” เหมือนโลกกำลังถล่มทลายลงตรงหน้า เมื่อได้ฟังผลตรวจจากคุณหมอ ทั้งๆที่เธอได้ย้อนเวลากลับมาก่อนถึง2ปี แต่เนื้องอกก็ยังตามเธอมาเหมือนเดิม ทั้งยังเติบโตจนทับเส้นประสาทบ้างแล้ว แองจี้สูดลมหายใจเข้าปอดลึกๆ แล้วตัดสินใจสอบถามในเรื่องที่สำคัญที่สุดออกไป “รักษาได้ไหมคะ แล้วฉันมีเวลาอีกเท่าไหร่” น้ำเสียงสั่นเครือพยายามเอ่ยออกไปให้สงบนิ่งที่สุด เพราะไม่อยากร้องไห้รบกวนเวลา และสมาธิของคุณหมอ หากจะร้องไห้ เธอขอกลับไปร้องไห้ที่คอนโดของตนเองจะดีกว่า “1ปีครับ แต่ผมมีเพื่อนที่โรงพยาบาลต่างประเทศ เขาเชี่ยวชาญด้านการผ่าตัดก้อนเนื้อในสมอง ตรงจุดที่เป็นอันตรายมากที่สุด ถ้าคุณจะลองเสี่ยงดูก็เป็นอีกทางเลือกหนึ่ง” แองจี้เข้าใจในความหมายที่คุณหมอต้องการจะสื่อ ความหมายคือคุณหมอที่นี่ ไม่รับผ่าตัดในจุดที่อันตรายเกินไป คงเพราะหลายๆเหตุผล ที่ทำให้ไม่สามารถรับเคสได้ แต่มีคุณหมอที่ต่างประเทศ เคยผ่าตัดในจุดที่เสี่ยงต่อชีวิตสำเร็จ ซึ่งถ้าหากเธอไม่เข้ารับการรักษาโดยการผ่าตัด ก็จะมีชีวิตอยู่ได้อีก1ปี ถ้ามองในแง่บวก ก็ยังถือว่าเธอมีชีวิตอยู่ได้นานกว่าในชีวิตก่อน “เท่านี้ก็ถือว่ามีความหวังมากแล้วค่ะ ดิฉันรบกวนขอคอนแทคของคุณหมอที่ต่างประเทศได้ไหมคะ เพราะจะได้แจ้งให้ครอบครัวรับทราบ ว่าต้องจัดการอย่างไรกันต่อไป” “ได้ครับ หากตัดสินใจได้แล้ว ให้คุณมาติดต่อที่แผนกโรคทางสมองโดยตรง ผมจะทำเรื่องส่งต่อการรักษา ให้คุณหมอที่เป็นเพื่อนของผมด้วยตนเอง” “ขอบคุณมากค่ะ คุณหมอ” แองจี้เดินออกจากโรงพยาบาล มุ่งตรงไปยังลานจอดรถด้านหน้าโรงพยาบาล ด้วยแววตาเศร้าหมองแต่สภาพจิตใจของเธอก็เริ่มเข้มแข็งขึ้นบ้างแล้ว ชีวิตก็คงมีเพียงเท่านี้ เกิดขึ้น ตั้งอยู่ ดับไป เมื่อเริ่มปลดปลงกับชีวิตได้บ้างแล้ว จึงขับรถกลับคอนโดที่พักด้วยสติตั้งมั่น เพราะไม่อยากเกิดอุบัติเหตุ ให้ชีวิตคนอื่นมาเดือดร้อนเพราะอารมณ์ไม่คงที่ของเธอ แองจี้ตั้งใจจะกลับไปหาครอบครัวที่เชียงใหม่ ในช่วงสุดสัปดาห์นี้ เพื่อให้ทุกคนตัดสินใจร่วมกันว่า จะเลือกทางไหน หากไม่รักษาโดยวิธีการผ่าตัด เพราะค่อนข้างเสี่ยงต่อชีวิต หากผิดพลาดหมายถึงเธอจะจากไปทันที เธอก็จะกลับกรุงเทพฯ เพื่อมาลาออกจากมหาวิทยาลัย แล้วกลับไปอยู่เชียงใหม่ถาวรจนกว่าจะจากไปอีกครั้ง แต่ถ้าหากทุกคนในครอบครัวเลือกการผ่าตัด เธอก็จะทำเรื่องดรอปเรียนไว้ก่อน แล้วเดินทางไปรักษาตัวที่ต่างประเทศทันที ที่มีการส่งตัวจากโรงพยาบาลในประเทศไทยสำเร็จ ซึ่งนั่นก็หมายถึง เธอจะต้องเดินทางไปอยู่รักษาตัวที่ต่างประเทศคนเดียว เพราะพ่อกับแม่ก็มีภาระการงานที่ประเทศไทย และแม่ของเธอก็สุขภาพร่างกายไม่ได้แข็งแรง ถึงขนาดที่จะเดินทางไกลๆได้บ่อยครั้ง พวกท่านทั้งสองคน คงไม่สามารถไปอยู่กับเธอได้ตลอดเวลา ซึ่งเรื่องนี้ไม่ใช่ปัญหาที่สำคัญเลย เพราะเธอสามารถอยู่คนเดียวและเอาตัวรอดได้ วันศุกร์แองจี้มีเรียนแค่ช่วงเช้า เธอจึงตั้งใจรีบกลับคอนโดที่พัก เพื่อไปเตรียมตัวเดินทางในตอนเย็น เพราะซื้อตั๋วเครื่องบินในรอบค่ำของวันนี้เอาไว้ ระหว่างที่กำลังเดินออกจากคณะด้วยความเร่งรีบ ก็มีเสียงผู้ชายเรียกเธอเอาไว้เสียก่อน แองจี้จึงหันหลังกลับไปมองก็เจอพี่รหัสปี 4 หรือที่เรียกๆกันว่าปู่รหัส เดินมาพร้อมกับเพื่อนสนิทแสนรักของเขา “ปี1วันนี้ตอนเย็นมีกินเลี้ยงสายรหัส เธอควรจะไปร่วมงานกินเลี้ยงในครั้งนี้” กองทัพบอกกล่าวออกไปทันที เพราะเขาไม่เห็นน้องรหัสคนนี้อ่านไลน์กลุ่ม คงยังไม่รู้เรื่องงานเลี้ยงในวันนี้แน่ๆ “อ้าวหรือคะ ฉันขอโทษที่ไม่ได้ดูข่าวสารในไลน์กลุ่ม เพราะกำลังยุ่งหลายเรื่อง แต่วันนี้คงไปไม่ได้จริงๆค่ะ ฉันต้องกลับบ้านที่เชียงใหม่” แองจี้ก้มหัวลงเพื่อขอโทษด้วยความจริงใจ ใบหน้าสวยหวานสลดลงด้วยความรู้สึกผิด เพราะครั้งนี้เธอผิดเองที่ไม่อ่านข่าวสารในไลน์กลุ่ม จึงไม่รับรู้ว่าสายรหัสทั้ง4ชั้นปี นัดกินเลี้ยงกันในตอนเย็นของวันนี้ “กองทัพ น้องปี1เขาไม่ใส่ใจก็ปล่อยไปเถอะ ไว้ค่อยจัดงานเลี้ยงต้อนรับน้องเขาในครั้งหน้าก็ได้ แต่คนอื่นๆจะว่างอีกทีเมื่อไหร่ก็ไม่รู้นะ วันนี้ก็ไปเท่าที่ว่างเดี๋ยวชลลี่ไปงานเป็นเพื่อนค่ะ” “ไม่มีปี1 แล้วจะเรียกว่างานเลี้ยงสายรหัสได้ยังไง” น้ำเสียงนิ่งเรียบเอ่ยขึ้นด้วยความหงุดหงิด เพราะงานในวันนี้จัดเพื่อต้อนรับคนตรงหน้าโดยเฉพาะ ถ้าเธอไม่ไปร่วมงานเห็นทีคงต้องยกเลิกไปก่อน
Free reading for new users
Scan code to download app
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    Writer
  • chap_listContents
  • likeADD