ดวงตากลมโตของแองจี้ เพ่งอ่านข้อมูลสำคัญที่เธอกำลังให้ความสนใจ ดวงตาที่ก่อนหน้านี้เคยสดใส จนผู้คนรอบข้างรู้สึกสดชื่นไปด้วย แต่ตอนนี้กลับเศร้าหมองลงอย่างเห็นได้ชัด ความสดใสที่หายไปเริ่มแสดงออกมาบนใบหน้า จนชายหนุ่มที่แอบมองใบหน้าหวานอยู่ตลอดเวลาจับสังเกตได้
เมื่อใกล้ถึงเวลาเข้าเรียนในช่วงบ่าย2โมง แองจี้จึงรีบนำหนังสือไปเก็บไว้ที่ชั้นหนังสือตามเดิม และออกจากห้องสมุดของคณะแพทย์ไปด้วยท่าทีเหม่อลอย ไม่ได้สนใจมองบรรยากาศรอบๆอาคารเรียนอีกเลย
ชานนท์รีบเดินไปหยิบหนังสือ เล่มที่พึ่งถูกวางเก็บเข้าชั้นขึ้นมาอ่าน เนื่องจากเนื้อหาทั้งเล่มเป็นเรื่องเกี่ยวกับเนื้องอกที่เกิดขึ้นในร่างกาย เขาจึงสันนิษฐานว่าอาจจะมีคนในครอบครัวของเธอ กำลังป่วยในอาการเหล่านี้ จึงได้มีสีหน้าเศร้าใจขนาดนั้น
เวลาบ่ายโมงครึ่ง แองจี้เดินกลับเข้ามาในคณะบริหารธุรกิจ ด้วยเพราะมีอาการเหม่อลอยจากความไม่สบายใจก่อนหน้า จึงเดินชนเข้ากับผู้หญิงคนหนึ่ง ที่กำลังหอบหิ้วหนังสือมาเต็มอ้อมแขน
“โอ๊ย จะรีบไปไหนคะปี1 ทำไมเดินไม่ระวังเลย”
น้ำเสียงเกรี้ยวกราดสาดอารมณ์ใส่แองจี้เต็มที่ เพราะเห็นเป็นคนที่ตนเองหมั่นไส้อยู่ก่อนหน้านี้แล้ว ใบหน้าสวยหวานนี้ ดึงดูดสายตาของเพื่อนสนิทที่เธอแอบรักไปอย่างเห็นได้ชัด
“ขอโทษค่ะรุ่นพี่ ฉันไม่ทันได้มองทางจริงๆ รุ่นพี่เป็นอะไรมากไหมคะ”
น้ำเสียงรู้สึกผิดกล่าวออกไปเพื่อขอลุแก่โทษ ถึงจะเป็นอดีตศัตรูหัวใจ แต่ตอนนี้แองจี้ไม่ได้โกรธแค้นใครอีกแล้ว เธอปล่อยวางจนหมดสิ้น ยิ่งได้รับรู้ข้อมูลบางอย่างก็ยิ่งปลดปลงในชีวิตมากยิ่งขึ้น
“ก็เจ็บน่ะสิถามมาได้ หนังสือก็เปรอะเปื้อนหมดแล้ว”
เสียงแหลมๆบ่นออกไป เพราะอยากเอาเรื่องผู้หญิงที่ตนเองไม่ชอบหน้า ให้รู้สึกอับอายไปทั้งคณะ
“ฉันช่วยเช็ดค่ะ แล้วจะเก็บขึ้นให้”
“เหอะเอาหน้า เห็นพวกผู้ชายกำลังจ้องมองอยู่ล่ะสิ เลยทำตัวเป็นนางฟ้านางสวรรค์”
“ขอโทษนะคะ ถ้าไม่อยากให้ช่วยเก็บ ฉันคงต้องขอตัวเพราะต้องรีบไปเข้าเรียน”
พูดจบแองจี้ก็เดินจากไปทันที เพราะเริ่มรำคาญเสียงแหลมๆ ที่พูดจากันไม่รู้เรื่องสักที ถึงเธอจะย้อนเวลากลับมาแต่นิสัยเกือบทุกอย่างก็ยังอยู่ตามเดิม โดยเฉพาะนิสัยใจร้อนและเอาแต่ใจ ที่ตัวเธอกำลังพยายามปรับปรุงให้ดีขึ้นอยู่
ชายหนุ่มที่พึ่งเดินเข้ามาในคณะ มาทันได้เห็นเหตุการณ์ในช่วงท้าย ตอนที่น้องรหัสปี1ของเขาไม่ยอมช่วยเหลือเพื่อนสนิทของตนเอง ทั้งๆที่เป็นคนเดินมาชนก่อนแท้ๆ
“ชลลี่เป็นอะไรมากรึเปล่า”
เสียงทุ้มกล่าวขึ้นเมื่อเดินมาเห็นเพื่อนสาว กำลังก้มลงเก็บหนังสือขึ้นมาทำความสะอาด
“ไม่เป็นไรมากหรอก แต่น้องปี1ไม่มีมารยาทเลย ชนแล้วก็ไม่ขอโทษ ชลลี่ไม่อยากมีปัญหาเลยปล่อยไปไม่เอาเรื่อง”
ชลลี่พูดเสียงเศร้ากับเพื่อนชาย ท่าทางก็เหมือนคนที่กำลังจะร้องไห้ กองทัพมองไปที่แขนของเพื่อนก็เห็นรอยแดงเป็นทางยาว คงเพราะถูกหนังสือกระแทก ตอนที่ถูกน้องรหัสของเขาเดินชน
“มาเราช่วย เธอยืนรอเฉยๆเถอะ”
กองทัพนั่งลงเก็บหนังสือให้ชลลี่จนครบทุกเล่ม จากนั้นก็หอบหนังสือเดินไปส่งเพื่อนที่ห้องเรียน เพราะเขาก็มีเรียนวิชาเดียวกันพอดี
เวลาบ่าย3โมง แองจี้พึ่งเลิกเรียนวิชาสุดท้ายของวัน จึงตั้งใจจะรีบเดินทางไปโรงพยาบาล เพราะเธอร้อนใจอยากรู้ความจริงเต็มที
ขาเรียวยาวกำลังก้าวเดินออกจากคณะด้วยความเร่งรีบ มือก็ล้วงหากุญแจรถในกระเป๋าถือ ทันใดนั้นได้มีกำแพงมนุษย์ที่สูงใหญ่ยืนขวางทางเธอเอาไว้ จนจมูกเรียวชนเข้ากับแผงอกที่แน่นตึง
“โอ๊ย”
“เดินไม่มองทางจนชนคนอื่นเขาไปทั่ว”
“พี่รหัส ขอโทษค่ะ ฉันรีบเลยมัวแต่ก้มมองหากุญแจรถ”
“ขอโทษก็พูดได้อยู่นี่ ทำไมก่อนหน้านี้เดินชนคนแล้วไม่ขอโทษ”
น้ำเสียงนิ่งเรียบเอ่ยขึ้น เสมือนกำลังตำหนิเด็กในปกครองที่ไม่ได้ความ
“อ้อ”
เมื่อได้ยินเขาพูดขึ้นมา เธอก็เข้าใจแล้วว่าเกิดอะไรขึ้น คงถูกเพื่อนสนิทที่รักไปฟ้องเรื่องราวแบบผิดๆ และคนรับฟังก็เชื่อแบบไม่ลืมหูลืมตา แต่ช่างเถอะเธอไม่ได้อยากยุ่งเกี่ยวกับชายหญิงสองคนนี้ จะเข้าใจว่าอะไรก็ปล่อยไปตามที่เขาสบายใจ
“หืม ไม่อธิบายอะไรหน่อยรึ”
“ไม่ค่ะ คนที่เชื่อไปแล้วพูดไปก็เสียเวลาเปล่า เอาเป็นว่าเวลานี้ฉันขอโทษพี่รหัส และขอตัวก่อนนะคะ”
แองจี้เดินจากไปทันที เพราะเวลานี้สมาธิของเธออยู่ที่โรงพยาบาลแล้ว ถึงในใจจะยังเสียใจอยู่บ้าง ที่ไม่ว่าจะครั้งไหนๆ กองทัพก็ไม่เคยมองเธอในแง่ดีเลย แม้กระทั่งเวลานี้ที่พึ่งรู้จักกัน และเธอก็ไม่ได้เข้าไปวุ่นวายในชีวิตของเขาเลยสักครั้ง เขาก็ยังมองเธอในแง่ลบไม่เคยเปลี่ยน
เวลา 3เดือนสุดท้ายในช่วงชีวิตก่อน เธอร้องไห้เสียใจให้กับความรักที่ไม่สมหวังมามากพอแล้ว ชีวิตใหม่นี้ขอทำทุกอย่างเพื่อให้มีชีวิตรอด จะได้กลับไปอยู่กับพ่อแม่ที่เชียงใหม่ ส่วนเรื่องของความรักเป็นเพียงเรื่องที่ผ่านมาให้เจ็บปวดก็เพียงเท่านั้น
เวลานี้รถยุโรปคันเล็ก ที่บิดาซื้อให้เป็นของขวัญวันเรียนจบมัธยมปลาย ขับมุ่งหน้าตรงไปยังโรงพยาบาลธารนินท์ โรงพยาบาลเอกชนชื่อดัง ที่อยู่ไม่ไกลจากคอนโดที่พักของเธอ
ร่างบางเดินเข้าไปติดต่อแผนกประชาสัมพันธ์ของโรงพยาบาล เพื่อแจ้งเรื่องขอตรวจสุขภาพ เมื่อได้โปรแกรมการตรวจสุขภาพที่ตรงตามความต้องการ ซึ่งมีการแสกนสมองรวมอยู่ในโปรแกรมด้วย เธอจึงเดินตามเจ้าหน้าที่ไปยังแผนกตรวจสุขภาพทันที
ชานนท์ที่เริ่มเข้ามาช่วยงานของครอบครัว บังเอิญมองเห็นคนที่อยู่ในความนึกคิด เข้ามาที่โรงพยาบาลของครอบครัว จึงเดินเข้าไปสอบถามประชาสัมพันธ์ว่าเธอมาติดต่อเรื่องอะไร
“พี่บุ๋ม เอ่อ รุ่นน้องที่มหาวิทยาลัยของผม เขามาติดต่อเรื่องอะไรหรือครับ”
ชานนท์เอ่ยถามสาวใหญ่แผนกประชาสัมพันธ์ที่รู้จักกันดี เพราะเป็นญาติห่างๆที่มารดาของเขา รับเข้ามาทำงานที่โรงพยาบาลตั้งแต่สมัยสาวๆ
“อ้อ น้องผู้หญิงคนสวยๆใช่ไหมคะ”
“ใช่ครับ”
“เธอมาติดต่อเรื่องตรวจสุขภาพค่ะ”