“ยินดีที่ได้รู้จักนะคะพี่ชานนท์”
“ยินดีที่ได้รู้จักครับแองจี้ แล้ววันนี้มาตรวจสุขภาพหรืออย่างไรครับ”
“อ้อ แองจี้มาขอพบคุณหมอชาญชัยค่ะ แผนกโรคเกี่ยวกับสมอง แองจี้จะมาขอบคุณที่คุณหมอชาญชัย ทำเรื่องส่งตัวแองจี้ให้คุณหมอไมเคิลที่โรงพยาบาลในเยอรมนี คุณหมอไมเคิลเป็นเพื่อนของคุณหมอชาญชัย ทางนู้นเลยเสี่ยงที่จะรับเคสของแองจี้ค่ะ”
“แองจี้ป่วยหรือครับ หมอชาญชัยเป็นคุณพ่อของพี่เอง เดี๋ยวพี่พาไปพบนะครับช่วงนี้คุณพ่อน่าจะพักผ่อนอยู่ชั้นบนสุดของโรงพยาบาล”
“ใช่ค่ะแองจี้เป็นคนไข้ของหมอชาญชัย รบกวนพี่ชานนท์ด้วยนะคะ”
“เรียกพี่นนท์ก็พอครับ”
แววตาอ่อนโยนจ้องมองคนสวยที่ยืนอยู่ข้างกายอย่างสื่อความหมาย จนแองจี้รู้สึกเขินอายกับสายตาที่จ้องมองมา เพราะผู้ชายตรงหน้าก็รูปหล่อมาก อีกทั้งรูปร่างยังสมาร์ทและสูงใหญ่ ยิ่งชายหนุ่มอยู่ในชุดกาวน์ของแพทย์แบบนี้ ยิ่งดูดีเข้าไปใหญ่
“ค่ะพี่นนท์”
ชานนท์พาแองจี้ขึ้นลิฟท์ไปยังชั้น10ของโรงพยาบาล ซึ่งเป็นชั้นที่ทำไว้พักผ่อนสำหรับผู้บริหารของโรงพยาบาล แองจี้รู้สึกได้ถึงสายตาของผู้ชายที่ยืนอยู่ข้างๆ ที่จ้องมองเธออยู่ตลอดเวลา จึงรีบเบี่ยงหน้าเข้ามุมหนึ่งของลิฟท์แล้วหยิบโทรศัพท์มือถือขึ้นมาทำทีเป็นอ่านข้อความต่างๆ
“พี่ขอเบอร์ติดต่อแองจี้ได้ไหมครับ”
เมื่อเห็นหญิงสาวก้มหน้าหยิบโทรศัพท์มือถือมาอ่านข้อความข่าวสาร ชานนท์จึงถือโอกาสขอช่องทางติดต่อเอาไว้ทันที
“ได้ค่ะ”
แองจี้ยื่นโทรศัพท์มือถือของเธอ ให้ชานนท์กดเบอร์โทรศัพท์ของเขาลงไปในช่องโทรออก
“พี่ขอแอดไลน์ กับไอจี และเฟสบุ๊คด้วยนะครับ”
“ได้ค่ะ แองจี้จะกดรับทุกช่องทางการติดต่อเลย”
เมื่อสัญญานของลิฟท์แจ้งเตือนว่าถึงชั้น10แล้ว ทั้งสองคนก็เดินมุ่งหน้าไปยังห้องพักผ่อนของผู้บริหาร ชานนท์เคาะประตูเล็กน้อย แล้วเปิดเข้าไปยังห้องพักผ่อนของผู้บริหาร ซึ่งออกแบบทำเป็นห้องรับแขกไปในตัว
“อ้าวตานนท์ ขึ้นมาพักหรือ แล้วมากับใครล่ะนั่นหน้าตาคุ้นๆ”
“ผมพารุ่นน้องที่รู้จักมาพบคุณพ่อครับ เธอเคยเป็นคนไข้ของคุณพ่อมาก่อน เลยอยากมาขอบคุณเรื่องการรักษา”
“คุณหมอชาญชัยสวัสดีค่ะ แองจี้ที่คุณหมอส่งเคสผ่าตัดเนื้องอกในสมอง ให้คุณหมอไมเคิลเมื่อ8ปีที่แล้ว แองจี้ได้รับการรักษาจนหายดีแล้วนะคะ พึ่งเดินทางกลับมาประเทศไทย วันนี้จึงอยากมาขอบคุณสำหรับความเมตตาของคุณหมอที่ช่วยชีวิตแองจี้เอาไว้ค่ะ”
แองจี้ยกมือไหว้ขอบคุณอย่างนอบน้อม เพราะคุณหมอท่านนี้เธอจึงได้มีชีวิตอยู่ต่อ ความเมตตากรุณาที่เธอได้รับนั้นมากล้น จนเธอไม่รู้ว่าจะต้องตอบแทนอย่างไรจึงจะเหมาะสม
“หมอจำได้แล้ว เด็กสาวอายุเพียง18ปีแต่เข้มแข็งมากเหลือเกิน หมอกับหมอไมเคิลเห็นถึงความพยายามที่จะมีชีวิตอยู่ของคนไข้ พวกเราเลยยอมเสี่ยงที่จะส่งตัวการรักษาในครั้งนั้น”
“ใช่ค่ะ เสี่ยงมากเหลือเกินแองจี้ก็เกือบจะไม่ได้กลับมาแล้ว เห็นคุณหมอไมเคิลแจ้งว่า แองจี้หมดสติไปนานหลายเดือนทีเดียวค่ะ”
แองจี้มอบกระเช้าขอบคุณ ให้กับคุณหมอชาญชัยด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม ชานนท์ที่นั่งลงข้างกายคนตัวเล็ก ก็เงียบฟังบทสนทนาระหว่างหมอกับคนไข้ เขาพอจะสรุปบางอย่างได้คร่าวๆบ้างแล้ว
ใบหน้าหล่อเหลามีสีหน้าเคร่งเครียดขึ้นมา เมื่อได้รับรู้ความจริงถึงการหายตัวไปอย่างไร้ร่องรอย ของคนที่เขาตามหามาโดยตลอด เมื่ออยากรู้รายละเอียดเพิ่มเติมจึงได้เอ่ยปากสอบถามออกไป
“แองจี้ มีเนื้องอกในสมองเลยมีอาการของโรคความจำเสื่อมใช่ไหมครับ”
“ใช่ค่ะพี่นนท์ แองจี้จำอะไรไม่ค่อยได้ โดยเฉพาะเรื่องราวก่อนการผ่าตัด จึงต้องคอยอ่านสมุดจดไดอารี่เวลามีคนมาทักทาย แองจี้เริ่มจดบันทึกเอาไว้ เมื่อครั้งที่ไปอ่านเจอข้อมูลของอาการเนื้องอกในสมอง ในห้องสมุดคณะแพทย์ตอนที่แองจี้ยังไปเรียนที่มหาวิทยาลัยK แต่เรื่องราวหลังจากที่รักษาหายดีแล้วก็จดจำได้ทั้งหมดค่ะ”
“เคสของหนูแองจี้เป็นเคสที่อันตรายมาก หากผิดพลาดนั่นหมายถึงชีวิต แต่หากไม่รักษาโดยวิธีการผ่าตัด ก็จะมีชีวิตอยู่ได้เพียง1ปีเท่านั้น เวลานั้นเด็กสาวอายุเพียง18ปี เดินมาหาพ่อที่แผนกโรคทางสมอง บอกว่าเธอจะเข้ารับการผ่าตัดโดยด่วน และมีใบอนุญาตจากครอบครัวมายื่นให้พ่อดูอย่างครบครัน”
“พ่อเลยส่งเรื่องให้อาไมเคิลผ่าตัดหรือครับ”
“ใช่แล้ว เพราะที่โรงพยาบาลของเราไม่พร้อมสำหรับเคสนี้สักเท่าไหร่ และพ่อก็ไม่เคยรับเคสที่เสี่ยงมากขนาดนี้มาก่อน ให้ไมเคิลรักษาแทนเป็นทางออกที่ดีที่สุดแล้ว”
“หมอไมเคิลใจดีและเก่งมากค่ะ แองจี้มีความหวังทุกครั้งที่ได้พูดคุยกับหมอไมเคิล”
เมื่อเสร็จธุระที่โรงพยาบาลธารนินท์แล้ว แองจี้จึงตั้งใจจะกลับคอนโดที่พักของเธอ ยังไม่ทันจะได้เดินไปยังลานจอดรถ ก็มีเสียงนุ่มทุ้มเรียกเอาไว้เสียก่อน
“แองจี้ ไปกินข้าวด้วยกันไหมครับ พี่หิวข้าวมากเลย”
“พี่นนท์ยังไม่กินข้าวเที่ยงหรือคะ นี่บ่าย2โมงแล้วนะ”
“เอ่อ ยังครับพี่ติดเคสผ่าตัดคนไข้เลยพึ่งได้พักครับ”
น้ำเสียงร้อนรนของชายหนุ่มรีบแก้ต่างออกไป เขากินบะหมี่ไปเมื่อช่วงเที่ยง ก็นับว่าไม่ใช่ข้าวถือว่าไม่ได้โกหก
“ถ้าอย่างนั้นก็ไปกันค่ะ ว่าแต่จะกินที่ร้านไหนดีคะ แองจี้ก็จำร้านแถวนี้ไม่ค่อยได้แล้ว”
แองจี้ตอบตกลงโดยง่าย เมื่อได้ยินว่าเขาพึ่งได้พักผ่อนหลังการรักษาคนไข้
“ไปที่ร้านของพี่ก็ได้ครับ จะได้นั่งกินในห้องส่วนตัวไม่มีคนพลุกพล่าน และอยู่ไม่ไกลจากโรงพยาบาลด้วย”
“ไปค่ะ”
“เอากุญแจรถของแองจี้มาสิครับ เดี๋ยวพี่ขับเอง”
ชานนท์ยื่นมือไปข้างหน้าเพื่อขอกุญแจรถมาขับเอง ดวงตากลมโตของคนข้างกายก็จ้องมองเขาอย่างจับผิด จนเขานึกขบขันในการระวังตัวของเธอ
“อ้าวพี่นนท์ไม่ขับรถไปเองหรือคะ”
“รถพี่เข้าศูนย์อยู่ครับ พอส่งแองจี้ถึงที่พักแล้ว เดี๋ยวพี่นั่งแท๊กซี่กลับครับไม่ต้องเป็นห่วง”
“อ้อ แบบนี้นี่เอง”
แองจี้จองมองใบหน้าหล่อเหลาอย่างจับผิด แต่คนตัวโตก็เสมองไปทางอื่น ไม่ยอมให้เธอจ้องมองเข้าไปในดวงตาของเขา เธอเห็นเพียงมุมปากที่กำลังอมยิ้มของเขา
หนุ่มหล่อสาวสวยเดินตามกันเข้าไปในร้านอาหารนั่งชิลล์ ที่เวลานี้ยังไม่มีดนตรีสดมาขึ้นเล่นบนเวที เพราะดนตรีสดจะมีเฉพาะช่วงเวลากลางคืนเท่านั้น ตอนนี้จึงเห็นเพียงร้านอาหารที่มีบรรยากาศร่มรื่นสวยงามและสงบเงียบ
ระหว่างทางที่เดินไปยังห้องอาหารส่วนตัว ที่ชานนท์โทรแจ้งให้พนักงานของร้านจัดการเอาไว้ให้ ทั้งสองต้องเดินผ่านซุ้มนั่งรับประทานอาหารของลูกค้าที่ตั้งเรียงรายอยู่หลายซุ้ม
“หมอริสา หมอชานนท์พาใครมากินข้าว หน้าตาสวยมาก รูปร่างก็เรียกได้ว่าเซ็กซี่ได้เลย หรือที่เขาไม่เคยสนใจเธอเลยก็เพราะว่ามีแฟนอยู่แล้ว”
“ไม่จริงหมอนนท์ยังไม่มีแฟน หมออังอย่าเดาสุ่มไปเรื่อย ฉันตามเฝ้าเขานานหลายปียังไม่เคยเห็นเขาสนใจใครเลย”
“แต่คนนี้ต่างออกไป เธอทำใจไว้บ้างนะหมอริสา”
เพื่อนอีกคนในกลุ่มกล่าวเสริมขึ้นมา เพราะเห็นสายตาอ่อนโยนของคุณหมอหนุ่มสุดหล่อประจำโรงพยาบาล กำลังจ้องมองผู้หญิงแสนสวยข้างกายของเขาโดยไม่ละสายตา
“ไม่หมอนนท์ต้องเป็นของฉันคนเดียวเท่านั้น”
หมอริสา พูดออกมาด้วยน้ำเสียงดื้อรั้น และไม่ยอมรับความเห็นต่างใดๆทั้งสิ้น
แองจี้รู้สึกขนลุกแปลกๆ จึงหันไปมองรอบๆร้านอาหาร ก็ได้พบกับสายตาชิงชังจากผู้หญิงหน้าตาดีคนหนึ่ง ที่ตอนนี้กำลังจ้องมองเธอตาเขม็ง เหมือนภรรยากำลังมองเห็นสามี กำลังแอบพาชู้มาทำอะไรกันลับหลังอย่างไรอย่างนั้น
“ผู้หญิงคนนั้นแฟนพี่นนท์หรือเปล่าคะ เธอจ้องมองเหมือนแองจี้กำลังตีท้ายครัวเธออยู่เลย”
แองจี้เบนสายตาไปยังทิศทางที่ผู้หญิงคนนั้นนั่งอยู่ เพื่อให้ชานนท์มองตามเธอไป ชานนท์ถึงกับขมวดคิ้วด้วยความไม่พอใจ ที่เห็นสายตาของหมอในโรงพยาบาลธารนินท์ กำลังจ้องมองแองจี้แบบน่ารังเกียจจริงๆ
“ไม่ใช่อย่างแน่นอนครับ ผู้หญิงกลุ่มนั้นเป็นเพียงหมอในโรงพยาบาลของครอบครัวพี่ เพราะพี่ยังไม่เคยมีแฟนเลยสักคน แต่อีกไม่นานจะต้องมีให้ได้”
สายตาวาววับของชานนท์ จ้องมองใบหน้าเนียนสวยอย่างโจ่งแจ้ง เพื่อให้เธอรู้ว่าใครกันแน่ที่จะต้องมาเป็นแฟนของเขา